กราบเรียน นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ
ผมในฐานะแฟนบอลไทยคนหนึ่ง ได้อ่านแถลงการณ์ของท่านเกี่ยวกับการยุติสัญญากับ มาซาทาดะ อิชิอิ แล้ว รู้สึก "ผิดหวัง" และ "เสียดาย" อย่างสุดซึ้ง
ในฐานะแฟนบอลไทยที่ติดตามทีมชาติมาตลอด เราทราบดีว่าฟุตบอลโลกอาจยังไกลเกินเอื้อม แต่เป้าหมายที่จับต้องได้และเป็นความหวังสูงสุดของพวกเรา คือการยกระดับทีมชาติไทยให้สามารถต่อกรใน "ระดับเอเชีย" ได้อย่างสมศักดิ์ศรี การผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก "รอบ 3" หรือรอบ 18 ทีมสุดท้าย ให้ได้อย่างต่อเนื่อง คือ "มาตรฐาน" ที่เราโหยหา เพื่อให้นักเตะของเราได้ปะทะกับทีมชั้นนำของทวีปอย่างสม่ำเสมอ
การมาของ มาซาทาดะ อิชิอิ ผู้มีโปรไฟล์ระดับอดีตรองแชมป์สโมสรโลก อดีตแชมป์เจลีก และกวาดทุกแชมป์ในประเทศไทย ทำให้เราเห็น "แสงสว่าง" นั้นอีกครั้ง เป็นความหวังที่เราเคยเห็นครั้งล่าสุดในยุคของ "โค้ชซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
ผลงานของอิชิอิในเวทีระดับเอเชีย คือเครื่องพิสูจน์ที่ชัดเจน:
เอเชียนคัพ: เราผ่านรอบแรกโดยไม่แพ้ใครและ "ไม่เสียประตู" ให้ทีมใดเลยในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่
รอบ 16 ทีม: เราต่อสู้กับอุซเบกิสถานได้อย่างสูสี และแพ้ไปเพียง 1-2 ทั้งที่ก่อนหน้านั้นในรอบคัดเลือก เราสู้เขาไม่ได้เลย นี่คือ "พัฒนาการ" ที่จับต้องได้ ทั้งที่ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้นเราสู้เขาไม่ได้ ยอลคนละชั้น จนกัปตันทีมอย่าง ธีราทร บุญมาทัน ยังออกมายอมรับว่าเราต้องพัฒนากว่านี้
คัดบอลโลก: อิชิอิเข้ามาจุดไฟแห่งความหวังที่กำลังจะมอดดับให้ลุกโชนอีกครั้ง ด้วยการพาทีมชาติไทยบุกไปแบ่งแต้มจากเกาหลีใต้ถึงถิ่นอย่างเหลือเชื่อ ทำให้เรากลับมาอยู่ในเส้นทางลุ้นเข้ารอบ
การที่เราตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่การโยนความผิดไปที่ "ประตูเดียว" ที่ขาดไปในเกมกับสิงคโปร์นั้นไม่ยุติธรรมกับอิชิอิเลย เพราะหากเรามีแต้มในเกมแรกที่แพ้จีนคาบ้าน (ในยุคโค้ชคนก่อน) สถานการณ์ทั้งหมดก็จะเปลี่ยนไป อิชิอิเข้ามาในสถานการณ์ที่เป็นรอง แต่เกือบจะพาทีมพลิกนรกกลับมาได้
ในแถลงการณ์ ท่านกล่าวว่าเราแทบไม่เหลืออะไรให้ลุ้นแล้ว เหลือเพียง "เอเชียนคัพ 2027" ใช่ครับ เรายังคงอยู่บนเส้นทางนั้น แม้ว่ามันจะไม่ใช่เส้นทางหลักที่ควรจะเป็น แต่เสน่ห์ของฟุตบอลคืออะไรก็เกิดขึ้นได้ การแพ้ เติร์กมินิสถาน ในเกมเยือน ที่ฝ่ายเทคนิคของท่านอ้างถึง ควรเป็น "บทเรียน" ให้ทีมงานได้กลับมาแก้ไข ไม่ใช่ "คำตัดสิน" สุดท้ายที่ใช้ปลดโค้ช
และอีกไม่ถึง 1 เดือน พวกเรากำลังจะมีเกมเยือนที่อันตรายที่สุดเกมหนึ่ง จากผลงานที่ผ่านมา มันได้สร้าง "โมเมนตัม" ที่ดี ทั้งกับตัวนักฟุตบอลและแฟนบอล เรากำลังเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถบุกไปเก็บแต้มกลับมาได้
การตัดสินใจปลดโค้ช "ในตอนนี้" จึงเป็นการกระทำที่ผิดจังหวะเวลาอย่างร้ายแรงที่สุด ทำไมสมาคมฯ ถึงไม่ให้โอกาสเขาได้พิสูจน์ตัวเองในเกมสำคัญที่กำลังจะมาถึงนี้ก่อน? ต่อให้เลวร้ายที่สุด... หากทีมแพ้ในเกมเยือนนัดหน้า เราก็ยัง "ไม่ตกรอบ" ทันที
หากท่านจะปลดเขา "ในตอนนั้น" แฟนบอลก็จะเข้าใจได้มากกว่า และท่านยังจะได้รับแรงสนับสนุนด้วยซ้ำ เพราะเราจะยังมีโอกาสแก้ตัวในอีก 5 เดือนข้างหน้า ที่จะเปิดบ้านรับการมาเยือนของเติร์กมินิสถาน แม้จะลำบาก แต่เราก็ยังได้ "กำหนดชะตาชีวิต" ด้วยตัวเราเอง
การปลดเขาตอนนี้ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม และเป็นการทำลายโมเมนตัมของทีม ในขณะที่เรายังมีภารกิจสำคัญระดับทวีปรออยู่
แต่สิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดในแถลงการณ์ของท่าน คือการที่ท่านยังให้น้ำหนักกับ "ฟุตบอลระดับอาเซียน" และ "ฟุตบอลถ้วยกระชับมิตร" (คิงส์คัพ) มาเป็นตัวชี้วัดผลงานหลัก
ในมุมมองของแฟนบอลที่อยากเห็นทีมชาติไทยก้าวข้ามอาเซียน เวทีเหล่านี้ควรเป็น "ห้องทดลอง" เพื่อทดสอบผู้เล่นหน้าใหม่ สร้างทีมสายเลือดใหม่ และเตรียมความพร้อมสำหรับทัวร์นาเมนต์ "ระดับทวีป" ที่มีความสำคัญมากกว่า ไม่ใช่เวทีตัดสินชะตากรรมของโค้ชที่มีเป้าหมายพาทีมไปสู่ระดับเอเชีย
คำแถลงของท่านในวันนี้ ทำให้พวกเราชัดเจนแล้วว่า "ความฝัน" ของสมาคมฯ กับ "ความหวัง" ของแฟนบอล อาจกำลังเดินสวนทางกัน
ท่านยังคงวนเวียนอยู่กับการ "รักษาแชมป์อาเซียน" แต่พวกเรากำลังมองไปที่การ "ต่อกรกับยักษ์ใหญ่ของทวีป"
การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ดับความหวังของแฟนบอลที่กำลังเบ่งบาน แต่มันยังบั่นทอนศรัทธาของพวกเรา ต่อแนวทางการบริหารสมาคมฯ มากกว่าการตกรอบฟุตบอลโลกเสียอีก
ด้วยความเคารพ จากใจแฟนบอลไทยคนหนึ่ง
จากใจแฟนบอลถึงนายกสมาคมฯ: แถลงการณ์ที่ตอกย้ำว่า "เราฝันไม่เหมือนกัน"
ผมในฐานะแฟนบอลไทยคนหนึ่ง ได้อ่านแถลงการณ์ของท่านเกี่ยวกับการยุติสัญญากับ มาซาทาดะ อิชิอิ แล้ว รู้สึก "ผิดหวัง" และ "เสียดาย" อย่างสุดซึ้ง
ในฐานะแฟนบอลไทยที่ติดตามทีมชาติมาตลอด เราทราบดีว่าฟุตบอลโลกอาจยังไกลเกินเอื้อม แต่เป้าหมายที่จับต้องได้และเป็นความหวังสูงสุดของพวกเรา คือการยกระดับทีมชาติไทยให้สามารถต่อกรใน "ระดับเอเชีย" ได้อย่างสมศักดิ์ศรี การผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก "รอบ 3" หรือรอบ 18 ทีมสุดท้าย ให้ได้อย่างต่อเนื่อง คือ "มาตรฐาน" ที่เราโหยหา เพื่อให้นักเตะของเราได้ปะทะกับทีมชั้นนำของทวีปอย่างสม่ำเสมอ
การมาของ มาซาทาดะ อิชิอิ ผู้มีโปรไฟล์ระดับอดีตรองแชมป์สโมสรโลก อดีตแชมป์เจลีก และกวาดทุกแชมป์ในประเทศไทย ทำให้เราเห็น "แสงสว่าง" นั้นอีกครั้ง เป็นความหวังที่เราเคยเห็นครั้งล่าสุดในยุคของ "โค้ชซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
ผลงานของอิชิอิในเวทีระดับเอเชีย คือเครื่องพิสูจน์ที่ชัดเจน:
เอเชียนคัพ: เราผ่านรอบแรกโดยไม่แพ้ใครและ "ไม่เสียประตู" ให้ทีมใดเลยในรอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่
รอบ 16 ทีม: เราต่อสู้กับอุซเบกิสถานได้อย่างสูสี และแพ้ไปเพียง 1-2 ทั้งที่ก่อนหน้านั้นในรอบคัดเลือก เราสู้เขาไม่ได้เลย นี่คือ "พัฒนาการ" ที่จับต้องได้ ทั้งที่ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้นเราสู้เขาไม่ได้ ยอลคนละชั้น จนกัปตันทีมอย่าง ธีราทร บุญมาทัน ยังออกมายอมรับว่าเราต้องพัฒนากว่านี้
คัดบอลโลก: อิชิอิเข้ามาจุดไฟแห่งความหวังที่กำลังจะมอดดับให้ลุกโชนอีกครั้ง ด้วยการพาทีมชาติไทยบุกไปแบ่งแต้มจากเกาหลีใต้ถึงถิ่นอย่างเหลือเชื่อ ทำให้เรากลับมาอยู่ในเส้นทางลุ้นเข้ารอบ
การที่เราตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่การโยนความผิดไปที่ "ประตูเดียว" ที่ขาดไปในเกมกับสิงคโปร์นั้นไม่ยุติธรรมกับอิชิอิเลย เพราะหากเรามีแต้มในเกมแรกที่แพ้จีนคาบ้าน (ในยุคโค้ชคนก่อน) สถานการณ์ทั้งหมดก็จะเปลี่ยนไป อิชิอิเข้ามาในสถานการณ์ที่เป็นรอง แต่เกือบจะพาทีมพลิกนรกกลับมาได้
ในแถลงการณ์ ท่านกล่าวว่าเราแทบไม่เหลืออะไรให้ลุ้นแล้ว เหลือเพียง "เอเชียนคัพ 2027" ใช่ครับ เรายังคงอยู่บนเส้นทางนั้น แม้ว่ามันจะไม่ใช่เส้นทางหลักที่ควรจะเป็น แต่เสน่ห์ของฟุตบอลคืออะไรก็เกิดขึ้นได้ การแพ้ เติร์กมินิสถาน ในเกมเยือน ที่ฝ่ายเทคนิคของท่านอ้างถึง ควรเป็น "บทเรียน" ให้ทีมงานได้กลับมาแก้ไข ไม่ใช่ "คำตัดสิน" สุดท้ายที่ใช้ปลดโค้ช
และอีกไม่ถึง 1 เดือน พวกเรากำลังจะมีเกมเยือนที่อันตรายที่สุดเกมหนึ่ง จากผลงานที่ผ่านมา มันได้สร้าง "โมเมนตัม" ที่ดี ทั้งกับตัวนักฟุตบอลและแฟนบอล เรากำลังเชื่อมั่นว่าเราจะสามารถบุกไปเก็บแต้มกลับมาได้
การตัดสินใจปลดโค้ช "ในตอนนี้" จึงเป็นการกระทำที่ผิดจังหวะเวลาอย่างร้ายแรงที่สุด ทำไมสมาคมฯ ถึงไม่ให้โอกาสเขาได้พิสูจน์ตัวเองในเกมสำคัญที่กำลังจะมาถึงนี้ก่อน? ต่อให้เลวร้ายที่สุด... หากทีมแพ้ในเกมเยือนนัดหน้า เราก็ยัง "ไม่ตกรอบ" ทันที
หากท่านจะปลดเขา "ในตอนนั้น" แฟนบอลก็จะเข้าใจได้มากกว่า และท่านยังจะได้รับแรงสนับสนุนด้วยซ้ำ เพราะเราจะยังมีโอกาสแก้ตัวในอีก 5 เดือนข้างหน้า ที่จะเปิดบ้านรับการมาเยือนของเติร์กมินิสถาน แม้จะลำบาก แต่เราก็ยังได้ "กำหนดชะตาชีวิต" ด้วยตัวเราเอง
การปลดเขาตอนนี้ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม และเป็นการทำลายโมเมนตัมของทีม ในขณะที่เรายังมีภารกิจสำคัญระดับทวีปรออยู่
แต่สิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดในแถลงการณ์ของท่าน คือการที่ท่านยังให้น้ำหนักกับ "ฟุตบอลระดับอาเซียน" และ "ฟุตบอลถ้วยกระชับมิตร" (คิงส์คัพ) มาเป็นตัวชี้วัดผลงานหลัก
ในมุมมองของแฟนบอลที่อยากเห็นทีมชาติไทยก้าวข้ามอาเซียน เวทีเหล่านี้ควรเป็น "ห้องทดลอง" เพื่อทดสอบผู้เล่นหน้าใหม่ สร้างทีมสายเลือดใหม่ และเตรียมความพร้อมสำหรับทัวร์นาเมนต์ "ระดับทวีป" ที่มีความสำคัญมากกว่า ไม่ใช่เวทีตัดสินชะตากรรมของโค้ชที่มีเป้าหมายพาทีมไปสู่ระดับเอเชีย
คำแถลงของท่านในวันนี้ ทำให้พวกเราชัดเจนแล้วว่า "ความฝัน" ของสมาคมฯ กับ "ความหวัง" ของแฟนบอล อาจกำลังเดินสวนทางกัน
ท่านยังคงวนเวียนอยู่กับการ "รักษาแชมป์อาเซียน" แต่พวกเรากำลังมองไปที่การ "ต่อกรกับยักษ์ใหญ่ของทวีป"
การตัดสินใจครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ดับความหวังของแฟนบอลที่กำลังเบ่งบาน แต่มันยังบั่นทอนศรัทธาของพวกเรา ต่อแนวทางการบริหารสมาคมฯ มากกว่าการตกรอบฟุตบอลโลกเสียอีก
ด้วยความเคารพ จากใจแฟนบอลไทยคนหนึ่ง