เนื้อหาจากข่าวโดยสรุป
“ผมอยากจะพูดตรงๆ ว่า อย่ากินไทลินอล อย่ากินมัน (I want to say it like it is, don’t take Tylenol. Don’t take it)”
คำกล่าวของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2568 เตือนประชาชน “อย่าให้หญิงมีครรภ์ใช้ยาไทลินอล (Tylenol) เพราะจะส่งผลให้เด็กเกิดมาเป็นออทิสติก(Autism)” และเสนอให้ใช้ ลิวโคโวริน (Leucovorin) กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สื่อทั่วโลกให้ความสนใจ ท่ามกลางคำถามว่า “จริงหรือไม่?”ผู้นำสหรัฐฯ อ้างอิงจากหลักฐานอะไร?
โคแฟคตรวจสอบ
ในวันที่ 24 ก.ย. 2568 เพจเฟซบุ๊ก “World Health Organization (WHO)” ขององค์การอนามัยโลก เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ “WHO statement on autism-related issues” โดยย้ำว่า “ขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดที่ยืนยันถึงความเชื่อมโยงที่เป็นไปได้ระหว่างออทิสติกและการใช้ยาอะเซตามิโนเฟน (หรือที่เรียกว่าพาราเซตามอล) ในระหว่างตั้งครรภ์” โดยทั่วโลกมีผู้ป่วยกลุ่มโรคออทิสติก (Autism Spectrum Disorder) เกือบ 62 ล้านคน (หรืออัตราส่วน 1 ใน 127 คน) ซึ่งเป็นกลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของสมอง
ซึ่งแม้ว่าความตระหนักรู้และการวินิจฉัยโรคจะดีขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของโรคออทิสซึมได้ และเป็นที่เข้าใจกันว่ามีหลายปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้อง ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการวิจัยอย่างกว้างขวาง ซึ่งรวมถึงการศึกษาขนาดใหญ่ที่ศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างการใช้ยาอะเซตามิโนเฟนในระหว่างตั้งครรภ์และโรคออทิสติก แต่ ณ ขณะนี้ ยังไม่มีความเชื่อมโยงที่ชัดเจน
“องค์การอนามัยโลกแนะนำให้สตรีทุกคนปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถช่วยประเมินสถานการณ์เฉพาะบุคคลและแนะนำยาที่จำเป็นได้ควรใช้ยาใดๆ อย่างระมัดระวังในระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 3 เดือนแรก และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ”รายงานขององค์การอนามัยโลก ระบุ
ท่าทีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยว่าอย่างไร?
วันที่ 25 ก.ย. 2568 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ออกจดหมายข่าวประชาสัมพันธ์ เรื่อง “อย. แจง พาราเซตามอลยังปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ แนะใช้เท่าที่จำเป็น” ระบุว่า จากการตรวจสอบข้อมูลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด รวมถึงท่าทีของหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาทั่วโลก ยืนยันว่ายังไม่มีหลักฐานที่บ่งชี้ชัดเจนว่ายาพาราเซตามอลเป็นสาเหตุของโรคออทิสติก และปัจจุบันยังคงเป็นยาทางเลือกแรกที่ปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์ในการรักษาอาการปวดและลดไข้
นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ เลขาธิการ อย. ชี้แจงว่า “แม้บางประเทศจะมีการพิจารณาปรับปรุงฉลากยาเพื่อสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่อาจมี แต่ทุกหน่วยงานยังย้ำว่า ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าเป็นสาเหตุและมีการศึกษาที่ขัดแย้งกัน” อย. จึงขอแนะนำให้สตรีมีครรภ์และประชาชนทั่วไปที่จำเป็นต้องใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้หรือบรรเทาอาการปวด สามารถใช้ยาได้ตามปกติ
“แต่ควรยึดหลักสำคัญคือ ใช้ยาในขนาดต่ำที่สุดที่ให้ผลการรักษา และใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีความกังวล ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ” เลขาธิการ อย. กล่าว
โดยสรุปแล้ว แม้จะมีงานวิจัยบางชิ้นที่บ่งชี้ความเป็นไปได้ที่อาจมีความเชื่อมโยงกันระหว่างโรคออทิสติกในเด็กกับการใช้ยาแก้ปวด – ลดไข้ไทลินอล (อะเซตามิโนเฟนหรือพาราเซตามอล) ของหญิงตั้งครรภ์ แต่เป็นข้อค้นพบที่ยังไม่ชัดเจนและต้องศึกษาเพิ่มเติม นอกจากนั้นยังขัดแย้งกับงานวิจัยอื่นๆ ที่ไม่พบความเชื่อมโยงดังกล่าว ทำให้ในภาพรวมของหน่วยงานสาธารณสุขนานาชาติ ยังคงอนุมัติให้ยาดังกล่าวยังคงใช้ในหญิงตั้งครรภ์ได้ เมื่อเทียบกับยาแก้ปวด – ลดไข้บางชนิดที่มีรายงานผลข้างเคียงต่อทารกในครรภ์ชัดเจนกว่า
ทั้งนี้ ในกรณีของหญิงตั้งครรภ์ มีคำแนะนำว่า ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาใดๆ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาแนวทางดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล!!!
โคแฟคเช็คข่าว "พาราเซตามอล ทำทารก‘ออทิสติก" เมื่อ ‘ทรัมป์’ออกมาเตือนไม่อยากให้หญิงมีครรภ์ใช้