ตั้งแต่จำความได้ เราอยู่กับยายมาตลอด พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่จำความได้ แม่มีเราตั้งแต่อายุ 18 แล้วก็ต้องทำงานหนักมาตลอดชีวิต เพื่อเลี้ยงดูทั้งเราและครอบครัวฝ่ายยาย ส่วนพ่อ… เขาอยู่ในความทรงจำที่ดีของเราเสมอ
ตอนเด็ก ๆ เขามาหาบ่อย พาไปเที่ยวด้วยกัน ทำให้เรารู้สึกอบอุ่น เหมือนได้เป็น “ลูกของเขาจริง ๆ”
แต่วันหนึ่ง ยายเป็นคนบอกเราว่า “เขาพูดกับยายว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกเขา”
เราจำได้ดีว่ายายเป็นคนที่ชอบให้เราโกหกอยู่บ่อย ๆ ตั้งแต่เด็ก ๆ
เลยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ยายพูดวันนั้นมันคือความจริงหรือเปล่า
แต่ไม่ว่าจะจริงหรือไม่… คำพูดนั้นก็ฝังอยู่ในใจเราตลอดมา
เราเพิ่งได้มาอยู่กับแม่จริง ๆ ก็ตอนขึ้น ม.4
แม่เป็นคนเก่งและเข้มแข็งมาก ทำงานหนักเพื่อทุกคน แต่สิ่งที่เราไม่เคยได้รับเลยคือ “คำชม”
ทั้งที่เราชนะการแข่งขันคณิตหลายครั้ง สอบได้คะแนนเต็ม วิชานี้คือสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด
แต่สิ่งที่แม่สนใจกลับเป็นจุดที่เราทำได้ไม่ดีพอ — วิชาภาษาไทย ที่ได้แค่ 11/20
ตอนนั้นแม่พูดว่า “ต้องเรียนภาษาไทยให้เยอะขึ้นนะ” โดยไม่ได้พูดถึงคณิตที่เราได้เต็มเลย
มันไม่ใช่คำพูดแรง ๆ หรอก
แม่ไม่เคยพูดว่า “ทำไมได้แค่นี้” ด้วยซ้ำ
แต่คำพูดเล่น ๆ อย่าง “อ่อนอังกฤษหรอออ” กลับทำให้เราเจ็บยิ่งกว่าการถูกตำหนิตรง ๆ
เพราะมันคือความรู้สึกว่า “สิ่งที่เราดี มันไม่เคยพอสำหรับแม่เลย”
ส่วนยาย… เราเข้าใจว่าเขารักเรานะ แต่หลาย ๆ อย่างที่เขาทำมันยิ่งทำให้เราสับสน
ครั้งหนึ่งเขาเอาตุ๊กตาตัวโปรดของเราที่พ่อให้ไปทิ้งโดยไม่ถามสักคำ
เราร้องไห้หนักมาก มันไม่ได้แค่เรื่องของเล่น แต่มันเหมือนเขาทิ้งความทรงจำดี ๆ ที่เรามีกับพ่อไปด้วย
ยายเคยพูถถึงแม่ “เพราะกูปล่อยมาตลอด เลยต้องอยู่อย่างนี้ไง”
ทั้งที่เรารู้สึกว่าแม่ก็พยายามสุดกำลังแล้ว
มันเลยทำให้เราเห็นวงจรบางอย่างในครอบครัวนี้
คนที่โดนคาดหวังมาก ก็กลายไปคาดหวังกับคนต่อไปอีกโดยไม่รู้ตัว
เพราะความทรงจำของเรา… เรารู้สึกได้ว่าเราเคย “ได้รับความรักจากพ่อ” ผ่านการแสดงออกของเขา
แต่พอเขาหายไปโดยไม่ร่ำลา และเราต้องมาอยู่กับแม่ คนที่อาจไม่รู้วิธีแสดงความรัก
มันเลยทำให้เรายิ่งโหยหาความรักจากเขามากขึ้นทุกวัน
บางครั้งเราก็ถามตัวเองว่า…
“เรายังรักพวกเขาเหมือนเดิมไหม”
คำตอบคือ “ใช่”
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่แน่ใจว่า “รักนั้น” มันกำลังทำให้เราหายไปทีละนิดหรือเปล่า
คำถามในใจเราที่ยังคงอยากได้คำตอบคงเป็นสิ่งที่ทำให้เราเอาแต่ยึดติดกับอดีต คือพ่อพูดแบบนั้นจริงรึเปล่าที่บอกว่าเราไม่ใช่ลูกเขา แล้วแม่ละถ้าเป็นในช่วงอายุ18ยังไงการที่มีเรามันก็คือความผิดพลาดในชีวิต เราไม่โทษใครแต่เราแค่อยากรู้ว่าเขารักเราอยู่จริงๆ อย่างน้อยก็ขอให้แสดงอะไรบางอย่างออกมา และบางทีเวลาแม่และยายพูดถึงพ่อในทางที่ไม่ดี สมองก็ยิ่งรื้อฟื้นทุกอย่างขึ้นมาราวกับจะทุบแก้วที่แตกแล้วให้แตกละเอียดยิ่งกว่านี้
ถ้าถามว่าทำไมไม่พูดกับแม่ จากที่สังเกตแม่เราเป็นเหมือนเด็กที่ต้องการความรักเหมือนกัน หลังเลิกกับพ่อเขาก็คบกับคนใหม่ๆมาหลายคนอยู่ ก็พอเข้าใจว่าเขาคงมีอดีตที่เจ็บช้ำเหมือนกัน เลยพยายามเข้าใจและไม่ตั้งคำถาม
เพราะงั้น เราแค่อยากรู้วิธีลืมอดีต ทั้งความเจ็บปวดความทรงจำ อย่างน้อยมันก็คงทำให้เราเดินหน้าไปแบบไม่ต้องพะวงยิ่งช่วงนี้ใกล้เข้ามหาลัย ไม่อยากจะต้องมานั่งร้องไห้กับเรื่องในอดีตอีกแล้ว
ขอวิธีลืมอดีตค่ะ
ตอนเด็ก ๆ เขามาหาบ่อย พาไปเที่ยวด้วยกัน ทำให้เรารู้สึกอบอุ่น เหมือนได้เป็น “ลูกของเขาจริง ๆ”
แต่วันหนึ่ง ยายเป็นคนบอกเราว่า “เขาพูดกับยายว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกเขา”
เราจำได้ดีว่ายายเป็นคนที่ชอบให้เราโกหกอยู่บ่อย ๆ ตั้งแต่เด็ก ๆ
เลยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ยายพูดวันนั้นมันคือความจริงหรือเปล่า
แต่ไม่ว่าจะจริงหรือไม่… คำพูดนั้นก็ฝังอยู่ในใจเราตลอดมา
เราเพิ่งได้มาอยู่กับแม่จริง ๆ ก็ตอนขึ้น ม.4
แม่เป็นคนเก่งและเข้มแข็งมาก ทำงานหนักเพื่อทุกคน แต่สิ่งที่เราไม่เคยได้รับเลยคือ “คำชม”
ทั้งที่เราชนะการแข่งขันคณิตหลายครั้ง สอบได้คะแนนเต็ม วิชานี้คือสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด
แต่สิ่งที่แม่สนใจกลับเป็นจุดที่เราทำได้ไม่ดีพอ — วิชาภาษาไทย ที่ได้แค่ 11/20
ตอนนั้นแม่พูดว่า “ต้องเรียนภาษาไทยให้เยอะขึ้นนะ” โดยไม่ได้พูดถึงคณิตที่เราได้เต็มเลย
มันไม่ใช่คำพูดแรง ๆ หรอก
แม่ไม่เคยพูดว่า “ทำไมได้แค่นี้” ด้วยซ้ำ
แต่คำพูดเล่น ๆ อย่าง “อ่อนอังกฤษหรอออ” กลับทำให้เราเจ็บยิ่งกว่าการถูกตำหนิตรง ๆ
เพราะมันคือความรู้สึกว่า “สิ่งที่เราดี มันไม่เคยพอสำหรับแม่เลย”
ส่วนยาย… เราเข้าใจว่าเขารักเรานะ แต่หลาย ๆ อย่างที่เขาทำมันยิ่งทำให้เราสับสน
ครั้งหนึ่งเขาเอาตุ๊กตาตัวโปรดของเราที่พ่อให้ไปทิ้งโดยไม่ถามสักคำ
เราร้องไห้หนักมาก มันไม่ได้แค่เรื่องของเล่น แต่มันเหมือนเขาทิ้งความทรงจำดี ๆ ที่เรามีกับพ่อไปด้วย
ยายเคยพูถถึงแม่ “เพราะกูปล่อยมาตลอด เลยต้องอยู่อย่างนี้ไง”
ทั้งที่เรารู้สึกว่าแม่ก็พยายามสุดกำลังแล้ว
มันเลยทำให้เราเห็นวงจรบางอย่างในครอบครัวนี้
คนที่โดนคาดหวังมาก ก็กลายไปคาดหวังกับคนต่อไปอีกโดยไม่รู้ตัว
เพราะความทรงจำของเรา… เรารู้สึกได้ว่าเราเคย “ได้รับความรักจากพ่อ” ผ่านการแสดงออกของเขา
แต่พอเขาหายไปโดยไม่ร่ำลา และเราต้องมาอยู่กับแม่ คนที่อาจไม่รู้วิธีแสดงความรัก
มันเลยทำให้เรายิ่งโหยหาความรักจากเขามากขึ้นทุกวัน
บางครั้งเราก็ถามตัวเองว่า…
“เรายังรักพวกเขาเหมือนเดิมไหม”
คำตอบคือ “ใช่”
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่แน่ใจว่า “รักนั้น” มันกำลังทำให้เราหายไปทีละนิดหรือเปล่า
คำถามในใจเราที่ยังคงอยากได้คำตอบคงเป็นสิ่งที่ทำให้เราเอาแต่ยึดติดกับอดีต คือพ่อพูดแบบนั้นจริงรึเปล่าที่บอกว่าเราไม่ใช่ลูกเขา แล้วแม่ละถ้าเป็นในช่วงอายุ18ยังไงการที่มีเรามันก็คือความผิดพลาดในชีวิต เราไม่โทษใครแต่เราแค่อยากรู้ว่าเขารักเราอยู่จริงๆ อย่างน้อยก็ขอให้แสดงอะไรบางอย่างออกมา และบางทีเวลาแม่และยายพูดถึงพ่อในทางที่ไม่ดี สมองก็ยิ่งรื้อฟื้นทุกอย่างขึ้นมาราวกับจะทุบแก้วที่แตกแล้วให้แตกละเอียดยิ่งกว่านี้
ถ้าถามว่าทำไมไม่พูดกับแม่ จากที่สังเกตแม่เราเป็นเหมือนเด็กที่ต้องการความรักเหมือนกัน หลังเลิกกับพ่อเขาก็คบกับคนใหม่ๆมาหลายคนอยู่ ก็พอเข้าใจว่าเขาคงมีอดีตที่เจ็บช้ำเหมือนกัน เลยพยายามเข้าใจและไม่ตั้งคำถาม
เพราะงั้น เราแค่อยากรู้วิธีลืมอดีต ทั้งความเจ็บปวดความทรงจำ อย่างน้อยมันก็คงทำให้เราเดินหน้าไปแบบไม่ต้องพะวงยิ่งช่วงนี้ใกล้เข้ามหาลัย ไม่อยากจะต้องมานั่งร้องไห้กับเรื่องในอดีตอีกแล้ว