F-101 Voodoo หนึ่งในเครื่องบินรบที่อเนกประสงค์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา!

F-101 Voodoo หนึ่งในเครื่องบินรบที่อเนกประสงค์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา!
McDonnell F-101 Voodoo อากาศยานที่มีประวัติศาสตร์การใช้งานที่หลากหลายและซับซ้อนในช่วงสงครามเย็น แม้จะไม่โดดเด่นเท่าเครื่องบินรบอื่น ๆ ในยุคเดียวกัน แต่บทบาทที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ทำให้มันมีความสำคัญอย่างยิ่ง

1. จุดกำเนิด: ความจำเป็นทางยุทธศาสตร์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตกลายเป็นสองขั้วอำนาจโลก สงครามเย็นเริ่มต้นขึ้นด้วยการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์ ในช่วงแรกเครื่องมือหลักในการโจมตีด้วยนิวเคลียร์คือเครื่องบินทิ้งระเบิดเชิงยุทธศาสตร์ขนาดใหญ่ อย่าง B-36 และ B-52 แต่บทเรียนจากสงครามโลกครั้งที่ 2 แสดงให้เห็นว่าเครื่องบินทิ้งระเบิดต้องการเครื่องบินขับไล่คุ้มกันพิสัยไกล เพื่อป้องกันการโจมตีจากเครื่องบินสกัดกั้นของฝ่ายตรงข้าม

จากความต้องการดังกล่าว กองทัพอากาศสหรัฐฯ จึงได้ริเริ่มโครงการ "เครื่องบินขับไล่เจาะแนวป้องกัน" (Penetration Fighter) ซึ่งจะต้องมีความเร็วสูงและพิสัยบินไกลพอที่จะคุ้มกันฝูงบินทิ้งระเบิดเข้าไปในดินแดนของข้าศึกได้โดยตรง นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ McDonnell Aircraft Corporation เสนอแบบร่างของเครื่องบินที่ต่อมาจะกลายเป็น F-101 Voodoo

2. วิวัฒนาการจาก XF-88 สู่ F-101 ที่ทรงพลัง
เส้นทางการพัฒนาของ Voodoo เริ่มต้นจากเครื่องบินต้นแบบ XF-88 Voodoo ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจคุ้มกันโดยเฉพาะ แต่โครงการถูกยกเลิกในปี 1950 เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ตัดลดงบประมาณและหันไปให้ความสำคัญกับเครื่องบินสกัดกั้นเพื่อป้องกันประเทศแทน

อย่างไรก็ตาม เมื่อสงครามเกาหลีปะทุขึ้น ความจำเป็นในการมีเครื่องบินขับไล่คุ้มกันพิสัยไกลก็กลับมาอีกครั้ง ทำให้ McDonnell ได้โอกาสในการรื้อฟื้นโครงการ XF-88 ขึ้นมาใหม่ แต่เป็นการออกแบบใหม่ทั้งหมดจนกลายเป็น F-101 ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาก ติดตั้งเครื่องยนต์ Pratt & Whitney J57 ที่ทรงพลังกว่าเดิมถึง 3 เท่า รวมถึงเพิ่มความจุเชื้อเพลิงและออกแบบหางใหม่แบบรูปตัว T (T-tail) เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการบินด้วยความเร็วสูง

3. บทบาทที่หลากหลาย: จากผู้ส่งสารนิวเคลียร์สู่ดวงตาแห่งท้องฟ้า
F-101 Voodoo มีความยืดหยุ่นสูงและถูกพัฒนาออกเป็นรุ่นย่อยหลายรุ่นเพื่อรองรับภารกิจที่แตกต่างกัน:

F-101A และ F-101C: เป็นเครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดทางยุทธวิธีที่ออกแบบมาเพื่อภารกิจโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์โดยเฉพาะ ด้วยระบบ LABS (Low-Altitude Bombing System) ที่ช่วยให้นักบินสามารถทิ้งระเบิดแบบ "โยน" (toss bombing) และหนีออกจากรัศมีการทำลายล้างได้ทัน

F-101B: เป็นรุ่นที่ผลิตมากที่สุดและมีบทบาทที่โดดเด่นที่สุดในฐานะ เครื่องบินสกัดกั้นทุกสภาพอากาศ (All-Weather Interceptor) เพื่อป้องกันภัยคุกคามจากเครื่องบินทิ้งระเบิดของโซเวียตที่อาจบินข้ามขั้วโลกเหนือเข้ามาโจมตีสหรัฐฯ มีการเพิ่มห้องนักบินเป็น 2 ที่นั่งสำหรับนักบินและเจ้าหน้าที่เรดาร์ (RIO) รวมถึงติดตั้งขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ AIM-4 Falcon และจรวดนิวเคลียร์ AIR-2 Genie

RF-101A และ RF-101C: เป็น เครื่องบินลาดตระเวนถ่ายภาพความเร็วเหนือเสียงแบบไร้อาวุธ ลำแรกของโลก มีชื่อเสียงจากภารกิจสำคัญใน วิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบา ที่ภาพถ่ายจากเครื่องบินลำนี้กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ใช้ในการเผชิญหน้ากับสหภาพโซเวียต นอกจากนี้ยังปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนที่อันตรายในสงครามเวียดนามและภารกิจลับเหนือจีนแผ่นดินใหญ่

4. เรื่องเล่าจากนักบิน: "ถังบินได้" ที่ไม่น่าให้อภัย
นักบินที่เคยบังคับ Voodoo ต่างยกย่องในสมรรถนะ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นเครื่องบินที่ควบคุมได้ยากและมีอันตราย โดยเฉพาะปัญหาทางอากาศพลศาสตร์ที่เรียกว่า "Pitch-Up" ซึ่งทำให้หัวเครื่องบินเชิดขึ้นอย่างรุนแรงและอาจนำไปสู่การตกได้ และปัญหาดังกล่าวทำให้นักบินต้องใช้ทักษะ ความแม่นยำ และความระมัดระวังอย่างสูงสุด นอกจากนี้ รูปลักษณ์ที่ยาวและปีกสั้นทำให้มันได้รับฉายาที่ไม่น่าพิสมัยว่า "The Flying Barrel" (ถังบินได้)

5. อวสานและมรดกที่คงอยู่
ในช่วงทศวรรษ 1970 - 1980 F-101 Voodoo ได้ทยอยปลดประจำการจากกองทัพสหรัฐฯ และแคนาดา เพื่อเปิดทางให้กับอากาศยานยุคใหม่ที่มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่า อย่างไรก็ตาม เครื่องบินจำนวนมากยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ทั่วโลกเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์การบิน แม้จะไม่ใช่เครื่องบินที่สมบูรณ์แบบ แต่ความสามารถในการปฏิบัติภารกิจที่หลากหลายในสถานการณ์ที่สำคัญที่สุดได้ทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในอากาศยานที่สร้างร่องรอยไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การบินทหารอย่างแท้จริง

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่