ไทม์ไลน์และไฮไลน์ของดราม่าฮุบธุรกิจ “พริมย่าคลินิก” จากฝันสู่ไฟเริ่มเรื่องกันแบบนิยายธุรกิจที่ใครก็คิดว่าไปได้สวย พริมย่าคลินิก เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ด้วยผู้ถือหุ้นทั้งหมด 4 คน ในตอนนั้นชื่อยังขายได้ ธุรกิจคลินิกเสริมความงามดูจะรุ่งโรจน์ มีทั้งทุน มีทั้งชื่อเสียง เหมือนจะปังไม่หยุด
แต่... ฟ้าก็กลั่นแกล้งขั้นสุด เมื่ออยู่ ๆ หุ้นส่วนบางรายดันมีคดีอาญาติดตัว ไม่ใช่คดีเบา ๆ แต่เป็นคดีที่สะเทือนชื่อเสียงธุรกิจสุด ๆ พอมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ใครจะกล้าทำต่อ? สุดท้ายก็ต้องขายหุ้นคืนไป เพราะลำพังเอาตัวเองยังไม่รอด จะมานั่งบริหารต่อก็คงไม่ไหว
ผลลัพธ์คือ... จากที่เคยฝันจะโกยกำไร กลับขาดทุนยับเป็นล้าน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ มันไม่มีทางง่ายอยู่แล้ว
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น... หลังจากนั้น 2 หมอ + 1 สาวเก่ง ที่ยังอยู่ในวงการ ก็เดินหน้าลุยต่อด้วยการเปิดคลินิกใหม่ชื่อแบรนด์ เดอมาทีจ (DERMATIGE) คราวนี้ถือหุ้นกันแค่ 3 คน และขยันทำคอนเทนต์สุด ๆ กลายเป็นไวรัลใน TikTok คนจำหน้าได้ คนแชร์เพียบ
แต่เหมือนหนังจะมีภาคต่อ เพราะหุ้นส่วนเก่าที่เคยออกไปตอนมีคดี กลับเข้าใจว่า “เดอมาทีจ” แค่รีแบรนด์จากพริมย่า
ไม่ได้รู้เลยว่านี่คือแบรนด์ใหม่คลินิกใหม่ คนละหุ้นแล้วจ้า พอเคลียร์คดีจบ ก็หวนกลับมาทวงสิทธิ์ ขอส่วนแบ่ง ขอชื่อ ขอที่ยืน ขอซื้อหุ้น
ขอหุ้น แต่ปัญหาคือ... เอกสารทุกอย่างมันชัด! ทั้งสัญญาขายหุ้นเดิม, MOA, เอกสารการเปิดบริษัทใหม่ ครบถ้วนแบบเปิดห้องศาลก็ไม่มีอะไรให้พลิก
ทางทีมคนนอกแต่อยากใส่ใจอย่างเรานอกจากจะมาเล่าแล้ว ก็ยังอยากหยิบประเด็น ที่ทั้งสองฝ่ายพูดไม่ตรงกัน มาแชร์
1. การซื้อขายหุ้นและการแยกทาง
2. “เดอมาทีจ” คือแบรนด์ใหม่ หรือแค่เปลี่ยนชื่อ?
ไฮไลน์อื่น ๆ
ทั้งสองฝั่งต่างก็ยืนยันเสียงแข็งว่า “ฉันพูดความจริง!”
ฝั่งคุณเมก็ลุกขึ้นมาทวง “ความยุติธรรม” พร้อมอยากเห็นมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทแบบไม่ต้องมีใครมาปัดฝุ่นใส่แสงเพิ่ม ส่วนฝั่งญาญ่าก็ยังคงยิ้มสวยๆ แต่พูดตรงๆ ว่า “ทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายค่ะ” และตอนนี้ก็กำลังอยู่ในขั้นตอน “ชำระบัญชีบริษัท” อย่างเป็นทางการ
เรียกได้ว่า…คนหนึ่งอยากเคลียร์ใจ อีกคนขอเคลียร์บัญชี
ต่างคนต่างมั่น แต่ดูเหมือน “ความจริง” จะมีเพียงหนึ่งเดียว งานนี้ใครจะพูดจริง ใครจะพูดเนียน คงต้องรอให้เอกสารเปิดปากออกมา ก่อนละกันงานนี้
https://youtu.be/aucEeOPtJrk?si=NIZGZMUmPDs6FS0c
https://youtu.be/V803To2HBc4?si=iVs-R9QQ9iA3j9TJ
มีหลายสำนักข่าวเลยที่ไปถามความเห็นจาก ทนายชื่อดัง ซึ่งแต่ละคนต่างพูดไปในทางเดียวกันว่า
“เอกสารแน่นขนาดนี้... พลิกยากครับ” ⚖️
งานนี้เลยไม่รู้ว่า “เรือล่มเพราะใคร” หรือจริง ๆ แล้ว... “กอดคอกันล่ม” ตั้งแต่ต้น
ระหว่างที่คดีอยู่ในกระบวนการศาล ฝั่งที่รู้สึกเสียเปรียบก็เลย “เลือกสู้ทางสื่อ” ก่อน เริ่มจากร้องเรียนตามรายการ ออกรายการใหญ่ ไลฟ์สดรัว ๆโพสต์เป็นชุด ๆ จนกลายเป็น ดราม่าร้อนแรงทั่วโซเชียล แต่พอเวลาผ่านไป คนดูเริ่มตั้งสติ ใช้วิเคราะห์มากกว่าความรู้สึก หลายเสียงก็เริ่มพูดตรงกันว่า
“นี่มันไม่ใช่การฮุบหรอก… แต่มันคือการไม่อ่านเอกสารก่อนเซ็นต่างหาก” หรือขายแล้วเห็นว่าดี ไปได้ดีเลยอยากแจม
https://youtu.be/3m61XZIekas?si=EfPffAXmMf52ro37
สุดท้ายดราม่านี้เลยกลายเป็นบทเรียนทองของวงการธุรกิจไทยว่า “ก่อนลงทุนกับใคร อย่าลืมศึกษากฎหมายให้ชัด เพราะเวลารุ่ง มันไม่มีปัญหา... แต่เวลาร่วงนั่นแหละ ที่เอกสารจะพูดแทนทุกอย่าง” “อย่าให้ความไว้ใจมาชนะลายเซ็น เพราะสุดท้ายมันคือเอกสารที่ศาลอ่าน โพสต์ที่คนแชร์กี่ล้านแชร์ก็พลิกคดีไม่ได้”
จากดราม่าคลีนิคความงาม..สู่บทเรียนธุรกิจ
แต่... ฟ้าก็กลั่นแกล้งขั้นสุด เมื่ออยู่ ๆ หุ้นส่วนบางรายดันมีคดีอาญาติดตัว ไม่ใช่คดีเบา ๆ แต่เป็นคดีที่สะเทือนชื่อเสียงธุรกิจสุด ๆ พอมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ใครจะกล้าทำต่อ? สุดท้ายก็ต้องขายหุ้นคืนไป เพราะลำพังเอาตัวเองยังไม่รอด จะมานั่งบริหารต่อก็คงไม่ไหว
ผลลัพธ์คือ... จากที่เคยฝันจะโกยกำไร กลับขาดทุนยับเป็นล้าน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ มันไม่มีทางง่ายอยู่แล้ว
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นั้น... หลังจากนั้น 2 หมอ + 1 สาวเก่ง ที่ยังอยู่ในวงการ ก็เดินหน้าลุยต่อด้วยการเปิดคลินิกใหม่ชื่อแบรนด์ เดอมาทีจ (DERMATIGE) คราวนี้ถือหุ้นกันแค่ 3 คน และขยันทำคอนเทนต์สุด ๆ กลายเป็นไวรัลใน TikTok คนจำหน้าได้ คนแชร์เพียบ
แต่เหมือนหนังจะมีภาคต่อ เพราะหุ้นส่วนเก่าที่เคยออกไปตอนมีคดี กลับเข้าใจว่า “เดอมาทีจ” แค่รีแบรนด์จากพริมย่า
ไม่ได้รู้เลยว่านี่คือแบรนด์ใหม่คลินิกใหม่ คนละหุ้นแล้วจ้า พอเคลียร์คดีจบ ก็หวนกลับมาทวงสิทธิ์ ขอส่วนแบ่ง ขอชื่อ ขอที่ยืน ขอซื้อหุ้น
ขอหุ้น แต่ปัญหาคือ... เอกสารทุกอย่างมันชัด! ทั้งสัญญาขายหุ้นเดิม, MOA, เอกสารการเปิดบริษัทใหม่ ครบถ้วนแบบเปิดห้องศาลก็ไม่มีอะไรให้พลิก
ทางทีมคนนอกแต่อยากใส่ใจอย่างเรานอกจากจะมาเล่าแล้ว ก็ยังอยากหยิบประเด็น ที่ทั้งสองฝ่ายพูดไม่ตรงกัน มาแชร์
1. การซื้อขายหุ้นและการแยกทาง
2. “เดอมาทีจ” คือแบรนด์ใหม่ หรือแค่เปลี่ยนชื่อ?
ไฮไลน์อื่น ๆ
ทั้งสองฝั่งต่างก็ยืนยันเสียงแข็งว่า “ฉันพูดความจริง!”
ฝั่งคุณเมก็ลุกขึ้นมาทวง “ความยุติธรรม” พร้อมอยากเห็นมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทแบบไม่ต้องมีใครมาปัดฝุ่นใส่แสงเพิ่ม ส่วนฝั่งญาญ่าก็ยังคงยิ้มสวยๆ แต่พูดตรงๆ ว่า “ทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายค่ะ” และตอนนี้ก็กำลังอยู่ในขั้นตอน “ชำระบัญชีบริษัท” อย่างเป็นทางการ
เรียกได้ว่า…คนหนึ่งอยากเคลียร์ใจ อีกคนขอเคลียร์บัญชี
ต่างคนต่างมั่น แต่ดูเหมือน “ความจริง” จะมีเพียงหนึ่งเดียว งานนี้ใครจะพูดจริง ใครจะพูดเนียน คงต้องรอให้เอกสารเปิดปากออกมา ก่อนละกันงานนี้
https://youtu.be/aucEeOPtJrk?si=NIZGZMUmPDs6FS0c
https://youtu.be/V803To2HBc4?si=iVs-R9QQ9iA3j9TJ
มีหลายสำนักข่าวเลยที่ไปถามความเห็นจาก ทนายชื่อดัง ซึ่งแต่ละคนต่างพูดไปในทางเดียวกันว่า
“เอกสารแน่นขนาดนี้... พลิกยากครับ” ⚖️
งานนี้เลยไม่รู้ว่า “เรือล่มเพราะใคร” หรือจริง ๆ แล้ว... “กอดคอกันล่ม” ตั้งแต่ต้น
ระหว่างที่คดีอยู่ในกระบวนการศาล ฝั่งที่รู้สึกเสียเปรียบก็เลย “เลือกสู้ทางสื่อ” ก่อน เริ่มจากร้องเรียนตามรายการ ออกรายการใหญ่ ไลฟ์สดรัว ๆโพสต์เป็นชุด ๆ จนกลายเป็น ดราม่าร้อนแรงทั่วโซเชียล แต่พอเวลาผ่านไป คนดูเริ่มตั้งสติ ใช้วิเคราะห์มากกว่าความรู้สึก หลายเสียงก็เริ่มพูดตรงกันว่า
“นี่มันไม่ใช่การฮุบหรอก… แต่มันคือการไม่อ่านเอกสารก่อนเซ็นต่างหาก” หรือขายแล้วเห็นว่าดี ไปได้ดีเลยอยากแจม
https://youtu.be/3m61XZIekas?si=EfPffAXmMf52ro37
สุดท้ายดราม่านี้เลยกลายเป็นบทเรียนทองของวงการธุรกิจไทยว่า “ก่อนลงทุนกับใคร อย่าลืมศึกษากฎหมายให้ชัด เพราะเวลารุ่ง มันไม่มีปัญหา... แต่เวลาร่วงนั่นแหละ ที่เอกสารจะพูดแทนทุกอย่าง” “อย่าให้ความไว้ใจมาชนะลายเซ็น เพราะสุดท้ายมันคือเอกสารที่ศาลอ่าน โพสต์ที่คนแชร์กี่ล้านแชร์ก็พลิกคดีไม่ได้”