“ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” พลิกเกมสู้ศึกชาไทยอิ่มตัว — จากแบรนด์ไวรัลสู่แบรนด์ยั่งยืน

ตลาดชาไทยที่เคยคึกคักจากกระแสชาเย็นเมื่อปีที่ผ่านมา ตอนนี้เริ่ม “เย็นลง” อย่างเห็นได้ชัด ผู้บริโภคหันไปลองชาเขียวมากขึ้น บวกกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องเร่งปรับตัว

   หนึ่งในนั้นคือแบรนด์ “ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” ที่เคยเติบโตแรงสุดขีดในปี 2567 ด้วยรายได้กว่า 112 ล้านบาท (โต 300%) ตอนนี้หันมาจัดทัพใหม่ เน้น “คุณภาพมากกว่าปริมาณ”

จากเร่งเปิดสาขา → สู่สร้างแบรนด์
    ผู้ก่อตั้ง “วิว-พันธ์ทิพย์ ดีเจริญ” เผยว่า แผนต่อไปคือชะลอการขยายสาขา และหันมาลงทุนสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง พร้อมปรับระบบหลังบ้านให้มั่นคง เพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
    กลยุทธ์ใหม่คือการ จับมือพันธมิตร เช่น “สก๊อต ซุปไก่สกัด” และ “โบว์ เบเกอรี่” ที่ช่วยเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่อย่างได้ผล

บุกโมเดิร์นเทรด-ส่งสินค้าใหม่
    ปี 2569 จะเห็นการบุกตลาดโมเดิร์นเทรดเต็มตัว ด้วยสินค้าใหม่อย่างชา 3-in-1 และขนมขบเคี้ยว พร้อมแผนเปิดตัว ผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 3 SKU และทดลองตลาด “โยเกิร์ตออร์แกนิก” เจาะกลุ่มรักสุขภาพ

ตรึงราคา ฝ่าต้นทุนแพง
    แม้ต้นทุนนมข้นขึ้นราคา แต่แบรนด์ยังเลือก “ไม่ขึ้นราคา” เพื่อรักษาฐานลูกค้า โดยบริหารต้นทุนภายในแทน เพราะเข้าใจว่ากำลังซื้อผู้บริโภคลดลง

เน้น CRM-รักษาฐานลูกค้าเดิม
     ในยุคหาลูกค้าใหม่ยาก แบรนด์หันมาสร้าง โปรแกรมสมาชิกและสะสมแต้ม ตั้งเป้าเพิ่มสมาชิกจาก 50,000 → 100,000 รายในปี 2569 พร้อมผลักดัน Active Member ให้ถึง 50%

มองไกลสู่ตลาดต่างประเทศ
     มีผู้สนใจแฟรนไชส์จากญี่ปุ่นและมาเลเซีย แม้ยังไม่สรุป แต่เป็นสัญญาณดีสำหรับการขยายตลาดนอกประเทศ

สรุป
    “ฉันจะกินชาเย็นทุกวัน” กำลังเปลี่ยนผ่านจากแบรนด์ไวรัลสู่แบรนด์ยั่งยืน ด้วยแนวคิด “ชะลอเพื่อโต” เน้นสร้างฐานลูกค้าแน่น พัฒนาโปรดักต์ใหม่ และวางรากฐานธุรกิจให้มั่นคง
    -  คาดรายได้สิ้นปี 2568 จะทะลุ 125 ล้านบาท

ที่มา ประชาชาติ

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่