- เปิดเผยที่มาที่ไป MV เพลงเดบิวต์ BNK48 รุ่น 6 "Doushitemo Kimi ga Suki da - จะยังไงก็รักเธอ" -

หลังจากที่มิวสิกวิดีโอเพลงเดบิวต์ BNK48 รุ่น 6 "Doushitemo Kimi ga Suki da - จะยังไงก็รักเธอ" ได้ปล่อยออกไป
ก็มีการพูดถึงจากแฟนคลับในหลายแง่มุม ซึ่งก็มีหลายประเด็นที่แฟนคลับหลายคนสงสัย

วันนี้ทางทีมงานของวง BNK48 ก็เลยโพสต์อธิบายเรื่องราวและที่มาที่ไปของมิวสิกวิดีโอชิ้นนี้
มาดูกันว่าที่มาที่ไปในแต่ละส่วนจะมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง

เพี้ยนส่องเพี้ยนส่อง

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

(Music Video : YouTube - BNK48)
https://www.youtube.com/watch?v=jRVOQHriw2w



โพสต์จากเพจเฟซบุ๊ก BNK48 : https://www.facebook.com/share/p/1G6GF9z9aA/

ส่องแนวคิดและเปิดเผยความลับที่อยู่ใน Music Video เพลง [Doushitemo Kimi ga Suki da – จะยังไงก็รักเธอ]





เป็นเพลงที่สื่อถึงเรื่องราวของการได้รู้จักใครสักคน จนเกิดความชอบก็อยากจะส่งความรู้สึกในใจออกไปให้รู้ ไม่ว่าจะมีอะไรมาขวางกั้นก็เชื่อว่าสิ่งที่ส่งไปจะถึงอย่างแน่นอน มีความหมายแฝงที่ได้บรรยายไว้ให้เหมาะกับการเป็นเพลงเดบิวต์ของสมาชิก BNK48 รุ่นที่ 6 ซึ่งเป็นเพลงเดบิวต์ต่างจากรุ่นอื่น ๆ เพราะไม่ได้เป็นเพลงที่เล่าถึงความพยายามสู่ความฝันโดยตรง แต่เป็นการเล่าด้วยเส้นเรื่องของ "ก็เพราะว่ายังรักในสิ่งนี้ จึงพยายามที่จะก้าวเข้ามาเป็นไอดอล และจะทำสิ่งนี้ให้ทุกคนได้เห็นว่าฉันทำได้ดีแค่ไหน โดยหวังว่าทุกคนจะรับรู้สึกถึงความพยายามในสิ่งที่พวกเราได้ทำมันด้วยความรัก"

Music Video ที่จะชูความโดดเด่นของ BNK48 6th Generation ในด้านของความแข็งแกร่งและตัวตนที่ชัดเจนของพวกเธอ โดยผ่านการเล่าในรูปแบบ “Conceptual Music Video” หรือก็คือการสื่อสารด้วยงานภาพ องค์ประกอบภาพ และองค์ประกอบศิลป์ ไม่ได้เล่าด้วย Narrative การเล่าเรื่องแบบปกติ แต่เลือกที่จะใช้องค์ประกอบของเมืองกรุงเทพมหานครที่เต็มไปด้วยตึกสูงและโครงสร้างที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งของ BNK48 6th Generation และประกอบเข้ากับการคมนาคมด้วย “รถไฟฟ้า” ที่เปรียบเสมือนเส้นทางการเดินทางของชีวิตที่ต่างคนต่างมีเส้นสายการเดินทางและสถานีที่จะต้องลงตามชีวิตของตนและยังเป็นการสื่อสารโดยตรงจากเนื้อเพลงที่มีการกล่าวถึง “รถไฟ” ด้วยเช่นกัน





Concept - ไม่ได้มาเพื่อเป็นใคร แต่เป็นตัวฉันเอง และสร้างเรื่องราวของตัวพวกเราเอง โดยไม่ยึดติดกับเรื่องราวที่ผ่านมาของใคร (Made My Own Way)

Concept หลักนี้ได้มาจากการที่พวกเรามอง BNK48 6th Generation ว่าเป็นรุ่นที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมากและสามารถที่จะก้าวขึ้นไปสร้างเรื่องราวใหม่ ๆ ให้กับ 48 Group ได้อย่างแน่นอน

แต่ในอีกมุมหนึ่งเมื่อมีการรับสมาชิกรุ่นใหม่เข้ามา การเปรียบเทียบว่าน้องคนนี้เหมือนรุ่นพี่คนนั้น คนนั้นคล้ายรุ่นพี่คนนี้ ได้เกิดขึ้นมาโดยตลอดซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดหากแต่เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่พวกเธอทำให้แฟนคลับรู้สึกถึงเหล่ารุ่นพี่ที่สร้างผลงานไว้มากมาย หากแต่พวกเธอเองก็มีศักยภาพมากพอที่จะเป็น “ตัวของตัวเอง” และ “สร้างเรื่องราวของตัวเอง” ได้





Concept Art - จาก Concept จึงส่งผลให้เกิด Concept Art ที่จะเป็นหัวใจหลักของงาน Conceptual ในครั้งนี้ เมื่อ “การเปรียบเทียบ” สู่ “การเป็นตัวเอง”

ทีมเลือกที่จะใช้ “เงา (Shadow)” ซึ่งเป็นตัวแทนของ “รุ่นพี่” และ “การถูกเงาพาดพิง” เป็นตัวแทนของ “การอยู่ภายใต้ภาพลักษณ์ของรุ่นพี่ที่เคยสร้างไว้” และ “การก้าวออกจากเงา” ซึ่งหมายถึง “การละทิ้ง Safe Zone ภายใต้รุ่นพี่” และกล้าที่จะก้าวออกมาเป็นตัวของตัวเองเพื่อสร้างเรื่องราวใหม่ของตัวเองต่อไป





Cinematography - งานภาพของ Music Video ตัวนี้ต้องไม่ใช้มุมภาพปกติทั่วไปที่ใช้ในงานการเล่าเรื่องแบบปกติ แต่ต้องเลือกใช้การวางเฟรมและสัดส่วนภาพ (Ratio) ให้สอดคล้องกับ Concept เพื่อให้การเล่าเรื่องเล่าได้ด้วยภาพที่ถ่ายทอดออกมา

ทีมจึงเลือกใช้การวางเฟรมแบบ “Symmetry” หรือการจัดองค์ประกอบของภาพให้ ซ้าย-ขวา หรือ บน-ล่าง สมมาตรกัน ให้ความรัสึกทางภาพถึง ความเป็นระเบียบ กรอบการควบคุม ความมั่นคงและทรงพลัง ในเชิงการใช้งานจะใช้เพื่อการสะท้อนเงาให้ความรู้สึกเหมือน เงากับตัวจริง รุ่นพี่-รุ่นน้องที่อยู่ขนานกัน

การอยู่ภายใต้กรอบเฟรมที่สมมาตรจะทำให้รัสึกเหมือนโลกที่ถูกจัดเรียงไว้แล้ว
และเมื่อการก้าวออกจากเงาหรือการออกจากเฟรมที่สมมาตรจะส่งผลให้สัญญะทางการหลุดพ้นจากเงาหรือการทำลายกรอบนั้นชัดเจนในแง่ภาพมากขึ้น





Ratio - Ratio ที่เลือกใช้ในงานครั้งนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท สำหรับการใช้งาน 2 รูปแบบเพื่อการเล่าเรื่องทางภาพ

(1) 21:9 Ratio สัดส่วนปกติที่เห็นได้ทั่วไป เน้นความกว้างของภาพและบีบมุมภาพบนล่างให้แคบลงมาเพื่อให้สายตาได้โฟกัสกับสื่งที่กำลังนำเสนอตรงหน้า ในส่วนนี้ทีมเลือกที่จะใช้ในการเล่าของมุมที่ BNK48 6th Generation ไม่ได้อยู่ภายใต้กรอบและเงาของรุ่นพี่เพื่อทำให้ความรู้สึกของภาพมีความเป็นอิสระ ไม่อึดอัด และเห็นมุมการเต้นที่แข็งแรงได้อย่างชัดเจน

(2) 4:3 Ratio สัดส่วนที่ถูกบีบกรอบให้เหลือการโฟกัสทางภาพที่แคบลงแต่ก็ถูกส่งเสริมด้วยมุมภาพเพื่อให้งานภาพยังคงความสวยงามไว้อยู่ สื่อสารถึงการอยู่ภายใต้กรอบและเงาของรุ่นพี่ การอยู่ภายใต้กรอบที่อึดอัดทำให้ตัวของเรารู้สึกไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้มากนัก แต่ในอีกมุมกรอบนี้ก็เป็นเหมือนดั่ง Safe Zone ที่ถ้าอยู่ภายใต้กรอบและเฟรมความสวยงามที่ถูกตีกรอบไว้จะไม่หายไปไหน





Mood & Tone - เป็นอีกหนึ่งจุดที่จะทำให้งานนี้สมบูรณ์อีกขั้น โดยปกติเราจะเลือกใช้โทนสีให้เข้ากับอารมณ์ของเพลงแต่เพลงนี้เราเลือกที่จะปลีกออกจากเพลงและไปเลือกใช้โทนสีที่มีความ แข็งแกร่ง ดุดัน มั่นคง อย่างเช่นโทนสีคราม น้ำเงิน ม่วงเข้ม เลือดหมู ประกอบเข้ากับสีที่มาจากตึกและรางไฟที่จะเป็นสีโทนเทาเข้มสีเหล่านี้สื่อสารถึง ความแข็งแกร่ง ได้อย่างตรงไปตรงมา

ในครั้งนี้ทีมเลือกที่จะใช้เทคนิคพิเศษสำหรับสีที่เรียกว่า Selective Color หรือ การจงเจาะเฉพาะสี ภายในฉากได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพยนตร์ Pleasantville (1998), Sin City (2005) โดยแฝงนัยยะของการถูกเงาของรุ่นพี่ทับจนทำให้ สี และ ความสดใส โดยรอบหายไปเหลือเพียงแต่ตัวตนของน้อง ๆ เองที่ยังมีสีและความสดใสเปรียบเหมือน ความสดใสที่รอวันเปล่งประกาย





Easter Egg - อีกหนึ่งสิ่งที่แฝงอยู่ใน Music Video ตัวนี้นั้น ที่หลายท่านน่าจะเห็นและเข้าใจได้ไม่ยากนัก

(1) Mika-chan - ซีนแรกที่เราได้เห็น Pancake (แพนเค้ก) แต่ในเรื่องราวของ MV นี้เธอคือ “มิกะจัง” ไม่ใช่ Pancake รุ่นพี่ BNK48 ของ Luksorn (ลูกศร) ที่ยืนรอ BTS อยู่
จุดสังเกตคือชุดที่มิกะจังใส่นั้นคือชุดเดียวกับซีนสุดท้ายใน MV “Colorcon Wink” ที่เธอกำลังรอรถไฟเพื่อออกจากเมืองเพื่อตามคุณแม่ที่ต้องย้ายที่ทำงาน

แต่หลายคนอาจจะคิดว่า มิกะจัง นั้นนั่งรถไฟจากญี่ปุ่นมาถึงกรุงเทพเลยหรือไม่ คำตอบคือ “มิกะจังและครอบครัวแค่มาเที่ยวที่ประเทศไทย” และมิกะจังในซีนนี้กำลังกังวลว่าขึ้นรถไฟฟ้าถูกสายหรือไม่ เพราะไม่คุ้นชินกับรถไฟฟ้าในไทย (สังเกตได้จากสีหน้าแววตา)

และอีกหนึ่งข้อสังเกตที่ว่าเธอไม่ใช่ Pancake นั่นก็คือ Luksorn หันไปมองรถไฟที่กำลังเข้าชานชาลาโดยที่ไม่หันไปมอง มิกะจัง เพราะพวกเธอสองคนนั้นไม่ได้รู้จักกันนั่นเอง

นี่เป็นอีกหนึ่งจุดที่อยากเชื่อมจักรวาล MV ของ BNK48 เข้าไว้ด้วยกันจึงเลือกที่จะนำ มิกะจัง มาโผล่อยู่ใน MV นี้

(2) เงาสะท้อนของรุ่นพี่ - เงาคือ Concept หลักของ MV ตัวนี้ เพราะฉะนั้นเงาทั้ง 5 เงาที่เป็น Key Point ของเรื่องราวต้องถูกประกอบให้ชัดเจนด้วย เงาของชุดเซ็มบัตสึ รุ่นที่ 1-5 โดยเพิ่มความชัดเจนของเงาเข้าไปด้วยท่าเต้นของเพลงประจำแต่ละรุ่น

เรายังได้รุ่นพี่ตัวจริงที่มาเป็น Shadow Doubles ให้กับเรานั้นก็คือ Popper (ป๊อปเป้อ) BNK48 Shihinin (First Rabbit) / Janry (แจนรี่) (Shoujotachi yo และ Tsugi no Season) / Arlee (อาหลี) (Mirai to wa? และ Aitakatta) ต้องขอขอบคุณทั้งสามคนอีกครั้งที่สละเวลามาเพื่อทำให้งานนี้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

(3) Hoop BNK48 & SYR3N - คราวนี้การปรากฏตัวของ Hoop (ฮูพ) นั้นมาในฐานะของ Hoop BNK48 กัปตันของ BNK48 อย่างแท้จริง สังเกตได้จาก Luksorn ที่เมื่อชายตาจากรถไฟกลับมามองฝั่งตรงข้าม เธอได้เห็นรุ่นพี่ของเธอที่เป็นดั่งแรงบันดาลใจสายตาเธอจึงเต็มไปด้วยความเปล่งประกรายก่อนที่เธอจะตะโกนออกไปให้สุดเสียงด้วยคำว่า “ขอบคุณนะคะ”ก่อนที่รถไฟจะเทียบชานชาลาเพื่อพาทั้งสองคนไปในจุดหมายตามเส้นทางของตัวเอง

แต่ Hoop BNK48 ก็ไม่ได้มาเพียงเพื่อเป็นตัวแทนของรุ่นพี่ BNK48 แต่ Outfit ของเธอก็เป็นการสื่อกลาย ๆ ว่ายังมีอีกเส้นทางของเธอกับเพลง “Hip Chain” ของ SYR3N ก็กำลังจะเกิดขึ้นแล้วเช่นกัน

(4) Reference to Original Version - การวางซีนและตำแหน่งรวมถึงการเคลื่อนกล้องที่ทำให้นึกถึง Original Version ที่มีการทำออกมาในรูปแบบเดียวกัน เพื่อเป็นการเคารพงานต้นฉบับ ในฐานะวงน้องสาวของ AKB48 และการสื่อสารให้เห็นว่าสายตาของ Luksorn นั้นทรงพลังมากแค่ไหน





>>><<<

เชื่อว่าแฟนคลับน่าจะได้รู้อะไรมากขึ้นเกี่ยวกับเอ็มวีนี้แน่นอน
ถ้าใครถูกใจก็สามารถไปรับชมอีกกันได้

เพี้ยนลุยเพี้ยนลุยอมยิ้ม02อมยิ้ม02
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่