คนสมัยก่อนเขา”เหงา”กันไหมและเขาแก้เหงากันอย่างไร?.

คิดว่าความเหงา”มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์น่ะไม่ว่าเชื้อชาติศาสนาภูมิภาคไหนล้วนมีกันทั่วไป อย่างชนชาติหนึ่งประเทศเจริญมีคุณภาพชีวิตดีเลิศแต่เข้าช่วงสูงวัยมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงก่วาสูงเห็นว่ามีจากความเหงา ..มาพูดบริบทสังคมในบ้านเราดีก่วาเมื่อสัก 50 ก่วาปีย้อนหลังสังคมไทยส่วนใหญ่แตกต่างจากที่เห็นปัจจุบันมากคล้ายสังคมปิด ยิ่งสังคมในชนบทไม่มีไฟฟ้าไม่มีทีวีไม่มีโทรศัพท์ที่ใช้สื่อสารพูดคุยบางครอบครัววิทยุฟังยังไม่เลย อีกอย่างที่ว่าปิดการใช้ชีวิตอยู่ในกรอบจำกัดการคมนาคมยากลำบากที่จะเดินทางไปต่างถิ่นน้อยมากเพราะข้อจำกัดที่ว่าและที่สำคัญปัจจัยเงินทองไม่มีที่จะต่างถิ่น จะมีบ้างในตัวเมืองในเทศกาลหรือฤดูการเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จสิ้น สรุปชีวิตประจำวันก็หมุนเวียนในพื้นที่ตัวเองเป็นส่วนใหญ่ผู้ชายก็ทำงานประจำช่วงทำไร่ทำนาก็ทำเสร็จแล้วก็ว่างทำโน้นนี่ไปตามประสา การผ่อนคลายก็คงมีดื่มเหล้าในงานประจำปีบ้าง,งานชาวบ้านใก้ลเคียงบ้างส่วนผู้หญิงก็งานหบักเลี้ยงลูกเต้า(สมัยก่อนแต่ละบ้านลูกๆมีต่อๆกันออกมา)และบ้านงานเรือนพอได้พูดคุยกันเป็นหมู่คณะน่าจะไปทำบุญกันที่วัดหรืองานในหมู่บ้านกันเอง…เท่านี้แหละชีวิตสังคม(ชนบท)สมัยก่อนแต่ก็แปลกไม่เห็นเขาแสดงว่ามีความเหงาค่ำลงกินข้าวเสร็จ 2-3 ทุ่มเข้านอนแล้วตื่นเช้า แตกต่างจากผู้คนสมัยนี้มีทุกอย่างมีโทรศัพท์ดูเล่นโซเชี่ยลพูดคุยกันมีกิจกรรมมห้ดูมห้ทำเยอะแยะแต่ผู้คนสมัยมีความเหงามากก่วา!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่