"ทำไมคนเก่ง 90% ถึงไม่ได้เป็นผู้นำ ?" ถอดบทเรียนลับจาก Harvard ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้
.
คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมเพื่อนที่เรียนเก่งที่สุดในห้อง กลับไม่ได้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด? หรือทำไมคนที่มีทักษะเทพๆ กลับไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเร็วเท่าคนที่ดู "ธรรมดา" กว่า?
.
คำตอบอยู่ที่สิ่งที่ Harvard Business School เรียกว่า "ความลับที่ซ่อนอยู่" ของความสำเร็จ - มันไม่ใช่เรื่องของความเก่งด้านเทคนิคอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเรื่องของ "วิธีคิดแบบผู้นำ" และ "ศิลปะการสร้างคอนเนคชั่น" ต่างหาก
.
วันนี้ผมจะมาแกะ 5 แนวคิดสุดปัง ที่จะพลิกมุมมองการทำงานของ U ไปเลย พร้อมตัวอย่างจากบริษัทระดับโลกอย่าง Apple, Starbucks และ LinkedIn ที่จะทำให้ U เห็นภาพชัดเจนจนนำไปใช้ได้ทันที
---
1. 🔄 "ผู้นำที่แท้ไม่ได้อยู่ข้างหน้า แต่อยู่ข้างหลัง" (Servant Leadership)
ลืมภาพผู้นำแบบ "บอสใหญ่นั่งสั่งงาน" ไปได้เลย ผู้นำยุคใหม่ที่ประสบความสำเร็จจริงๆ กลับเป็นคนที่ยอม "ลงมาทำงานเล็กๆ น้อยๆ" ร่วมกับทีม
- ตัวอย่างที่ชัดมาก Howard Schultz CEO ของ Starbucks เขาไม่ได้แค่พูดว่า "พนักงานสำคัญ" แต่เขาเป็นคนแรกๆ ในอเมริกาที่ให้ประกันสุขภาพเต็มรูปแบบให้กับพนักงานพาร์ทไทม์ ทำไมน่ะเหรอ? เพราะเขาเชื่อว่า "ถ้าบาริสต้าไม่มีความสุข เขาจะส่งต่อกาแฟที่อร่อยให้ลูกค้าได้ยังไง ? "
นี่คือหลักการ "ผู้นำทีอยู่หลัง" - คุณดูแลทีมก่อน ทีมจะดูแลธุรกิจให้คุณเอง
💡 ลองทำดู พรุ่งนี้ลองเดินไปถามลูกน้องว่า "มีอะไรให้ช่วยไหม?" แทนการสั่งงานแบบเดิมๆ ดูสิว่าบรรยากาศจะเปลี่ยนไปขนาดไหน
---
2. ⚡ "คาริสม่าที่สร้างได้" (Transformational Leadership)
Steve Jobs ไม่ได้เกิดมาพร้อมความสามารถในการ "ขายฝัน" แต่เขาฝึกฝนจนกลายเป็นคนที่พูดแล้วทำให้คนอื่นอยากทำตาม พนักงานของเขาบอกว่า "เวลา Steve มองตาเรา เราจะรู้สึกว่าต้องทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ"
แต่ระวัง! แบบนี้มีข้อเสียคือ ถ้าผู้นำหายไป องค์กรอาจล้มได้ (คิดดูสิ Apple หลัง Jobs เสียชีวิต แม้จะยังประสบความสำเร็จ แต่ "จิตวิญญาณ" บางอย่างหายไป)
วิธีเริ่มต้นง่ายๆ ฝึกพูดถึง "วิสัยทัศน์" ของงานที่ทำอยู่ แทนที่จะบอกว่า "เราต้องทำรายงาน" ลองเปลี่ยนเป็น "เราจะสร้างรายงานที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของผู้บริหารไปเลย" - ดูความแตกต่างสิ!
---
3. 🎯 "ไม้แข็งกับไม้นวม ยังใช้ได้ผลอยู่นะ" (Transactional Leadership)
อย่าเพิ่งด่าว่าล้าสมัย! ในบางสถานการณ์ การให้รางวัลและลงโทษที่ชัดเจน ยังคงได้ผลดีมาก โดยเฉพาะในทีมขายหรืองานที่วัดผลด้วยตัวเลข
- Case Study จริง : ยุคแรกๆ ของ Snapchat พนักงานขายได้คอมมิชชั่น 1% จากยอดขายโฆษณา บางคนรายได้พุ่งเป็นหลักล้าน! หรือที่ LinkedIn พาทีมขาย Top Performance ไปเที่ยวบาหลีฟรี
แต่จำไว้ว่า ใช้แบบนี้ต้องมี "ความยุติธรรม" - กฎต้องชัดเจน ใครทำได้ก็ได้รางวัล ไม่มีเล่นพรรคเล่นพวก
---
4. 🌊 "ปล่อยให้ลอย แต่ไม่ใช่ปล่อยให้จม" (Laissez-Faire Leadership)
นี่คือสไตล์ที่ท้าทายที่สุด - ไม่มีการสั่งงาน ให้ทีมจัดการกันเอง บริษัทเกม Valve ใช้แบบนี้ พนักงานเลือกเองว่าจะทำโปรเจคไหน
**ข้อควรระวัง : ใช้ได้แค่กับทีมที่ "ผู้ใหญ่จริงๆ" - คือมีความรับผิดชอบสูงมาก ไม่งั้นจะกลายเป็น "ไม่มีใครทำอะไร มองหน้ากันอย่างเดียว"
ถ้าทีมคุณยังไม่พร้อม อย่าเพิ่งใช้! เริ่มจากการให้อิสระในงานเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยๆ ขยายวงออกไป
---
5. 🤝 "ความลับของการ Networking ให้ก่อน ห้ามขอ!"
นี่คือบทเรียนที่คนส่วนใหญ่พลาด! การสร้างเครือข่ายไม่ใช่การเข้าไป "ขอนามบัตร" หรือ "ขอความช่วยเหลือ" แต่เป็นการ "ให้คุณค่าก่อน"
- ตัวอย่างเจ๋งๆ : นักศึกษา Stanford คนหนึ่ง อ่านเจอบทความเกี่ยวกับ LinkedIn ที่น่าสนใจ เธอส่งให้อาจารย์ที่สอนวิชานี้อยู่พอดี อาจารย์ตอบกลับใน 15 นาที "ขอบคุณมาก! ผมจะเอาไปใช้สอนเลย"
- การกระทำเล็กๆ นี้ สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่าการไปงานเลี้ยง networking 100 ครั้ง!
ทริคง่ายๆ ที่ทำได้วันนี้
- เจอบทความดีๆ? ส่งให้คนที่จะได้ประโยชน์
- มีความรู้เรื่องไหน? เขียนสรุปแชร์ใน LinkedIn
- รู้จักคน 2 คนที่ควรรู้จักกัน? แนะนำให้เขารู้จักกัน
---
🎬 บทสรุป ไม่มีสูตรตายตัว แต่มีหลักการที่ใช้ได้จริง
ผู้นำที่เก่งจริงๆ ไม่ได้ยึดติดกับสไตล์เดียว แต่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้แบบไหน
- Startup ระยะแรก > ใช้ Laissez-Faire ปล่อยให้ความคิดสร้างสรรค์พุ่งทะยาน
- บริษัทเริ่มโต > เพิ่ม Transactional เข้าไป สร้างโครงสร้างและ KPI ที่ชัดเจน
- องค์กรที่มั่นคง > ใช้ Transformational สร้างวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่
- ตลอดเวลา > อย่าลืม Servant Leadership - ดูแลทีมเหมือนดูแลครอบครัว
และที่สำคัญที่สุด... "การให้คือการได้รับ"* - ยิ่งคุณช่วยคนอื่นมากเท่าไหร่ โอกาสและความสำเร็จจะไหลกลับมาหาคุณมากขึ้นเท่านั้น
---
🤔 ถามตัวเองหน่อย
"วันนี้ฉันจะเริ่มเป็นผู้นำแบบไหน? และจะเริ่ม 'ให้' อะไรกับคนรอบข้างได้บ้าง?"
อย่ารอให้ถึงตำแหน่งผู้จัดการถึงจะเริ่มเป็นผู้นำ - เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่เก้าอี้ที่นั่งอยู่ตอนนี้เลย 🚀CR
https://www.facebook.com/share/1GeSRsigwp/?mibextid=wwXIfr
“ทำไมคนเก่ง 90% ถึงไม่ได้เป็นผู้นำ ?”
.
คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมเพื่อนที่เรียนเก่งที่สุดในห้อง กลับไม่ได้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด? หรือทำไมคนที่มีทักษะเทพๆ กลับไม่ได้เลื่อนตำแหน่งเร็วเท่าคนที่ดู "ธรรมดา" กว่า?
.
คำตอบอยู่ที่สิ่งที่ Harvard Business School เรียกว่า "ความลับที่ซ่อนอยู่" ของความสำเร็จ - มันไม่ใช่เรื่องของความเก่งด้านเทคนิคอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นเรื่องของ "วิธีคิดแบบผู้นำ" และ "ศิลปะการสร้างคอนเนคชั่น" ต่างหาก
.
วันนี้ผมจะมาแกะ 5 แนวคิดสุดปัง ที่จะพลิกมุมมองการทำงานของ U ไปเลย พร้อมตัวอย่างจากบริษัทระดับโลกอย่าง Apple, Starbucks และ LinkedIn ที่จะทำให้ U เห็นภาพชัดเจนจนนำไปใช้ได้ทันที
---
1. 🔄 "ผู้นำที่แท้ไม่ได้อยู่ข้างหน้า แต่อยู่ข้างหลัง" (Servant Leadership)
ลืมภาพผู้นำแบบ "บอสใหญ่นั่งสั่งงาน" ไปได้เลย ผู้นำยุคใหม่ที่ประสบความสำเร็จจริงๆ กลับเป็นคนที่ยอม "ลงมาทำงานเล็กๆ น้อยๆ" ร่วมกับทีม
- ตัวอย่างที่ชัดมาก Howard Schultz CEO ของ Starbucks เขาไม่ได้แค่พูดว่า "พนักงานสำคัญ" แต่เขาเป็นคนแรกๆ ในอเมริกาที่ให้ประกันสุขภาพเต็มรูปแบบให้กับพนักงานพาร์ทไทม์ ทำไมน่ะเหรอ? เพราะเขาเชื่อว่า "ถ้าบาริสต้าไม่มีความสุข เขาจะส่งต่อกาแฟที่อร่อยให้ลูกค้าได้ยังไง ? "
นี่คือหลักการ "ผู้นำทีอยู่หลัง" - คุณดูแลทีมก่อน ทีมจะดูแลธุรกิจให้คุณเอง
💡 ลองทำดู พรุ่งนี้ลองเดินไปถามลูกน้องว่า "มีอะไรให้ช่วยไหม?" แทนการสั่งงานแบบเดิมๆ ดูสิว่าบรรยากาศจะเปลี่ยนไปขนาดไหน
---
2. ⚡ "คาริสม่าที่สร้างได้" (Transformational Leadership)
Steve Jobs ไม่ได้เกิดมาพร้อมความสามารถในการ "ขายฝัน" แต่เขาฝึกฝนจนกลายเป็นคนที่พูดแล้วทำให้คนอื่นอยากทำตาม พนักงานของเขาบอกว่า "เวลา Steve มองตาเรา เราจะรู้สึกว่าต้องทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ"
แต่ระวัง! แบบนี้มีข้อเสียคือ ถ้าผู้นำหายไป องค์กรอาจล้มได้ (คิดดูสิ Apple หลัง Jobs เสียชีวิต แม้จะยังประสบความสำเร็จ แต่ "จิตวิญญาณ" บางอย่างหายไป)
วิธีเริ่มต้นง่ายๆ ฝึกพูดถึง "วิสัยทัศน์" ของงานที่ทำอยู่ แทนที่จะบอกว่า "เราต้องทำรายงาน" ลองเปลี่ยนเป็น "เราจะสร้างรายงานที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของผู้บริหารไปเลย" - ดูความแตกต่างสิ!
---
3. 🎯 "ไม้แข็งกับไม้นวม ยังใช้ได้ผลอยู่นะ" (Transactional Leadership)
อย่าเพิ่งด่าว่าล้าสมัย! ในบางสถานการณ์ การให้รางวัลและลงโทษที่ชัดเจน ยังคงได้ผลดีมาก โดยเฉพาะในทีมขายหรืองานที่วัดผลด้วยตัวเลข
- Case Study จริง : ยุคแรกๆ ของ Snapchat พนักงานขายได้คอมมิชชั่น 1% จากยอดขายโฆษณา บางคนรายได้พุ่งเป็นหลักล้าน! หรือที่ LinkedIn พาทีมขาย Top Performance ไปเที่ยวบาหลีฟรี
แต่จำไว้ว่า ใช้แบบนี้ต้องมี "ความยุติธรรม" - กฎต้องชัดเจน ใครทำได้ก็ได้รางวัล ไม่มีเล่นพรรคเล่นพวก
---
4. 🌊 "ปล่อยให้ลอย แต่ไม่ใช่ปล่อยให้จม" (Laissez-Faire Leadership)
นี่คือสไตล์ที่ท้าทายที่สุด - ไม่มีการสั่งงาน ให้ทีมจัดการกันเอง บริษัทเกม Valve ใช้แบบนี้ พนักงานเลือกเองว่าจะทำโปรเจคไหน
**ข้อควรระวัง : ใช้ได้แค่กับทีมที่ "ผู้ใหญ่จริงๆ" - คือมีความรับผิดชอบสูงมาก ไม่งั้นจะกลายเป็น "ไม่มีใครทำอะไร มองหน้ากันอย่างเดียว"
ถ้าทีมคุณยังไม่พร้อม อย่าเพิ่งใช้! เริ่มจากการให้อิสระในงานเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยๆ ขยายวงออกไป
---
5. 🤝 "ความลับของการ Networking ให้ก่อน ห้ามขอ!"
นี่คือบทเรียนที่คนส่วนใหญ่พลาด! การสร้างเครือข่ายไม่ใช่การเข้าไป "ขอนามบัตร" หรือ "ขอความช่วยเหลือ" แต่เป็นการ "ให้คุณค่าก่อน"
- ตัวอย่างเจ๋งๆ : นักศึกษา Stanford คนหนึ่ง อ่านเจอบทความเกี่ยวกับ LinkedIn ที่น่าสนใจ เธอส่งให้อาจารย์ที่สอนวิชานี้อยู่พอดี อาจารย์ตอบกลับใน 15 นาที "ขอบคุณมาก! ผมจะเอาไปใช้สอนเลย"
- การกระทำเล็กๆ นี้ สร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกว่าการไปงานเลี้ยง networking 100 ครั้ง!
ทริคง่ายๆ ที่ทำได้วันนี้
- เจอบทความดีๆ? ส่งให้คนที่จะได้ประโยชน์
- มีความรู้เรื่องไหน? เขียนสรุปแชร์ใน LinkedIn
- รู้จักคน 2 คนที่ควรรู้จักกัน? แนะนำให้เขารู้จักกัน
---
🎬 บทสรุป ไม่มีสูตรตายตัว แต่มีหลักการที่ใช้ได้จริง
ผู้นำที่เก่งจริงๆ ไม่ได้ยึดติดกับสไตล์เดียว แต่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรใช้แบบไหน
- Startup ระยะแรก > ใช้ Laissez-Faire ปล่อยให้ความคิดสร้างสรรค์พุ่งทะยาน
- บริษัทเริ่มโต > เพิ่ม Transactional เข้าไป สร้างโครงสร้างและ KPI ที่ชัดเจน
- องค์กรที่มั่นคง > ใช้ Transformational สร้างวิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่
- ตลอดเวลา > อย่าลืม Servant Leadership - ดูแลทีมเหมือนดูแลครอบครัว
และที่สำคัญที่สุด... "การให้คือการได้รับ"* - ยิ่งคุณช่วยคนอื่นมากเท่าไหร่ โอกาสและความสำเร็จจะไหลกลับมาหาคุณมากขึ้นเท่านั้น
---
🤔 ถามตัวเองหน่อย
"วันนี้ฉันจะเริ่มเป็นผู้นำแบบไหน? และจะเริ่ม 'ให้' อะไรกับคนรอบข้างได้บ้าง?"
อย่ารอให้ถึงตำแหน่งผู้จัดการถึงจะเริ่มเป็นผู้นำ - เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ ตั้งแต่เก้าอี้ที่นั่งอยู่ตอนนี้เลย 🚀CR https://www.facebook.com/share/1GeSRsigwp/?mibextid=wwXIfr