ขอแชร์ข่าวเตือนสายแคมป์ปิ้งควรระวัง....
หนุ่มป่วยปริศนา หลังไปกางเต็นท์ในป่า ตรวจเลือดกว่า 10 ครั้ง ถึงเจอต้นตอ พร้อมโพสต์เตือนเป็นอุทาหรณ์ให้ระวัง...

ที่มาข่าว :
https://www.tnews.co.th/social/social-news/636626
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทยAnti-Fake News Center Thailand
จากข้อมูลเตือนที่กระจายทั่วสื่อออนไลน์เรื่องกางเต็นท์นอนในป่าแล้วโดนตัวไรอ่อนกัด เสี่ยงป่วยไข้รากสาดใหญ่ หรือสครับไทฟัส อันตรายถึงชีวิต ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่าข้อมูลดังกล่าว เป็นข้อมูลจริง
เตือนนักท่องเที่ยวที่ชอบกางกางเต็นท์นอนในพื้นที่ป่าภูเขาให้ระมัดระวังตัวไรอ่อนกัด เสี่ยงติดเชื้อและป่วยเป็นโรคไข้รากสาดใหญ่ หรือสครับไทฟัส (Scrub typhus) โดยไรอ่อนนี้จะอาศัยอยู่ในสัตว์รังโรค คือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น หนู กระแต กระรอก เป็นต้น เมื่อกัดคนจะปล่อยเชื้อแบคทีเรียในกลุ่มริกเก็ตเซีย (Rickettsia) มีระยะฟักตัวประมาณ 6-21 วัน แต่โดยทั่วไปประมาณ 10-12 วัน ไรอ่อนมักจะเข้าไปกัดบริเวณร่มผ้า เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ ขาหนีบ เอว ลำตัวบริเวณใต้ราวนม รักแร้ และคอ ซึ่งเราจะมองไม่เห็นตัวไรอ่อน เพราะมีขนาดเล็กมากราว 1 มิลลิเมตรเท่านั้น
อาการที่สำคัญ ได้แก่ ปวดศีรษะอย่างรุนแรงบริเวณขมับและหน้าผาก ตัวร้อนจัด มีไข้สูง 40-40.5 องศาเซลเซียส หนาวสั่น เพลีย ปวดเมื่อยตัว ปวดกระบอกตา มีอาการไอแห้ง ๆ ไต ตับ ม้ามโต และผู้ป่วยร้อยละ 30-40 จะพบแผลคล้ายบุหรี่จี้ ตรงบริเวณที่ถูกไรอ่อนกัด มีสีแดงคล้ำ เป็นรอยบุ๋ม แต่ไม่ปวดและไม่คัน เป็นลักษณะเฉพาะของโรค ผู้ป่วยบางรายอาจหายได้เอง ส่วนผู้ป่วยประมาณร้อยละ 20-50 อาจจะมีอาการแทรกซ้อนได้ เช่น ปอดอักเสบ เยื่อหุ้มสมองและสมองอักเสบ ในรายที่มีอาการรุนแรง อาจทำให้หัวใจเต้นเร็วมาก ความดันโลหิตต่ำ ช็อก และเสียชีวิตได้
อย่างไรก็ตาม หากไปเที่ยวป่าเขากลับมาแล้วมีอาการไข้ หรืออาการข้างต้นภายใน 2 สัปดาห์ ควรรีบพบแพทย์ทันที พร้อมแจ้งประวัติการเข้าป่าให้แพทย์ทราบ เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว ช่วยป้องกันการเสียชีวิตได้
เตือน ! สายแค้มป์ปิ้ง โดนตัวไรอ่อนกัด เสี่ยงป่วยไข้รากสาดใหญ่
หนุ่มป่วยปริศนา หลังไปกางเต็นท์ในป่า ตรวจเลือดกว่า 10 ครั้ง ถึงเจอต้นตอ พร้อมโพสต์เตือนเป็นอุทาหรณ์ให้ระวัง...
ที่มาข่าว : https://www.tnews.co.th/social/social-news/636626
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทยAnti-Fake News Center Thailand