ไม่กี่สิบปีก่อน “ปลาหมอสีคางดำ” เคยเป็นดาวเด่นในตู้ปลาสวยงามของนักเลี้ยงทั่วเอเชีย ด้วยสีเข้มแปลกตา และท่าทางดุดัน จนนักสะสมปลาแปลก ปลาสวยงามหลายคนอยากครอบครอง แต่ใครจะรู้ว่า ปลาเล็ก ๆ ที่เคยอยู่ในบ่อเพาะเลี้ยงและตู้กระจก จะกลายเป็นหนึ่งใน “ผู้บุกรุกเงียบ” กับ
สิ่งมีชีวิตต่างถิ่น (Alien Species)
ที่สร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศดั้งเดิมทั่วโลก
สำหรับประเทศไทย ปลาหมอสีคางดำ หรือปลาหมอคางดำ (
Sarotherodon Melanotheron) เป็นตัวอย่างสำคัญของ “ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เกิดจากการเปลี่ยนผ่านของนโยบาย” จากเดิมที่เคยเป็นปลาแปลก ปลาสวยงาม ที่ไม่เคยถูกกฎหมายควบคุม สู่การกลายเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นต้องห้ามภายใต้พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2561) การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างของระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านชีวภาพ และผลกระทบต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมปลาสวยงามโดยตรง
กรณีของปลาหมอคางดำ จึงเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง “กฎหมายและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ” กับ “ธุรกิจปลาสวยงาม” ของประเทศไทย ที่เดินเป็นคู่ขนานกันอย่างซับซ้อน เพราะการที่จะเข้าใจปัญหานี้ได้อย่างแท้จริง ต้องมองย้อนกลับไปยังเส้นทางการเพาะเลี้ยงในอดีต ตั้งแต่วันที่มันยังเป็นเพียง “ปลาสวยงามราคาแพง” จนถึงวันที่มันถูกตราหน้าว่าเป็น “ภัยต่อระบบนิเวศ”
จาก “ปลาสวยงามยอดนิยม” → สู่ “ผู้ร้ายในระบบนิเวศ”
แค่เปลี่ยนชื่อจาก “ปลาหมอสีคางดำ” เป็น “ปลาหมอคางดำ” โลกของคนเลี้ยงปลาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!
ใครจะคิดว่า ปลาที่เคยขายอยู่ในตลาดปลาสวยงาม เช่น ตลาดนัดจัตุจักร หรือแหล่งเพาะสัตว์น้ำสวยงามแหล่งใหญ่ของประเทศ ที่อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี จะกลับกลายเป็นปลา (สัตว์น้ำ) ต้องห้ามภายใต้กฎหมายประมง เหตุเพราะมันขยายพันธุ์ไว ทนต่อทุกสภาพน้ำ และเริ่มแพร่กระจายออกสู่ธรรมชาติ จนกลายเป็นหนึ่งในชนิดพันธุ์ที่ถูกจับตามากที่สุดในไทย
การจะเข้าใจปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างแท้จริง ต้องมองย้อนกลับไปยังเส้นทางการเพาะเลี้ยง และนำเข้าในอดีต ตั้งแต่วันที่ “ปลาหมอสีคางดำ” ยังเป็นเพียง “ปลาแปลก ปลาสวยงาม” จนถึงวันที่มันถูกตราหน้าว่า “ปลาหมอคางดำ” เป็น “ภัยต่อระบบนิเวศ”
Timeline ปลาหมอ (สี) คางดำในประเทศไทย
• ยุคแรกของปลาหมอ (สี) คางดำในวงการปลาสวยงาม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ก่อนปี พ.ศ. 2560 “ปลาหมอคางดำ” หรือที่รู้จักในประเทศไทยทั้งในชื่อ “ปลาหมอเทศข้างลาย” และ “ปลาหมอสีคางดำ” เป็นหนึ่งในปลาสวยงามยอดนิยมของตลาดเอเชีย ทั้งในไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และอินโดนีเซีย การเพาะเลี้ยงเป็นไปอย่างเปิดเผยและถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีประกาศควบคุมสายพันธุ์ต่างถิ่นจากกรมประมง แหล่งเพาะพันธุ์ปลาสวยงามหลายแห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ นครปฐม และราชบุรี มีการนำเข้าปลาหมอสีคางดำ ซึ่งปลาหมอสีคางดำมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตก โดยแพร่กระจายอยู่ตลอดแนวชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตกตั้งแต่มอริเตเนีย ถึงแคเมอรูน
การเพาะเลี้ยง Blackchin Tilapia หรือชื่อวิทยาศาสตร์
Sarotherodon Melanotheron ในต่างประเทศก็มีอยู่ในหลายประเทศทั้งในสหรัฐอเมริกา (รัฐฟลอริดา และรัฐฮาวาย) เอเซีย (มาเลเซีย กัมพูชา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ในจังหวัดบาตา และบูลากัน) และยุโรป จนปลาหมอคางดำกลายเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นที่รุกรานสัตว์น้ำดั้งเดิม การแพร่กระจายในประเทศฟิลิปปินส์ ไม่พบข้อมูลการนำเข้า แต่คาดว่ามาจากธุรกิจปลาแปลก ปลาสวยงาม ที่อาจจะหลุดรอดจากการเพาะเลี้ยง หรือถูกลักลอบนำไปปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติ จนแพร่ระบาดกระจายไปทั่ว
• การเปลี่ยนผ่านทางกฎหมาย ปี พ.ศ. 2561
หลังจากมีการประกาศภายใต้
พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) รัฐได้จัดให้ “ปลาหมอ (สี) คางดำ” เป็นสัตว์น้ำต่างถิ่น (Alien Species) ที่ห้ามนำเข้า เพาะเลี้ยง หรือครอบครอง ส่งผลกระทบต่อผู้เพาะเลี้ยงหลายรายที่เลี้ยงไว้จำหน่ายเป็นปลาแปลก ปลาสวยงามปรับตัวไม่ทัน และกลัวว่าจะผิดกฎหมาย ทำให้ผู้เพาะเลี้ยงบางส่วนจำใจต้องปล่อยปลาลงแหล่งน้ำธรรมชาติ และเนื่องจากปลาหมอ (สี) คางดำมีความสามารถในการปรับตัวสูงและขยายพันธุ์รวดเร็ว และอาจจะกลายมาเป็นต้นเหตุของการแพร่กระจายในวงกว้าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
• เปลี่ยนชื่อสามัญ จาก “ปลาหมอสีคางดำ” เป็น “ปลาหมอคางดำ”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในวงการปลาแปลก ปลาสวยงาม ชื่อของปลาเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อ “ภาพลักษณ์” และ “การตลาด” เดิมปลาชนิดนี้ถูกเรียกว่า ปลาหมอสีคางดำ ซึ่งฟังดูสวยงามและไม่สร้างความกังวล แต่เมื่อมีประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น ปลาหมอคางดำ เพื่อให้สอดคล้องกับรายชื่อสัตว์น้ำต่างถิ่นต้องควบคุม ความเข้าใจของประชาชนจึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากประสบการณ์ของผู้เพาะเลี้ยงหลายคนมองว่า การเปลี่ยนชื่อดังกล่าวเป็นมาตรการเชิงสัญลักษณ์ที่ช่วยลดแรงจูงใจในการเพาะเลี้ยงปลาชนิดนี้ต่อไป แต่ก็มีผลข้างเคียง คือ ทำให้ผู้เพาะเลี้ยงรายย่อยจำนวนมากที่สูญเสียอาชีพโดยไม่มีมาตรการรองรับ การขาดช่องทางทำกินในทันทีโดยไม่มีมาตรการเยียวยาที่ชัดเจน
แต่ผลทางกฎหมายกลับรุนแรงกว่า สำหรับผู้ที่มีปลาหมอคางดำในครอบครอง
- การ
เพาะเลี้ยงและปล่อยลงแหล่งน้ำ หากฝ่าฝืนมีโทษสูงสุดคือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- การนำเข้า ส่งออก และครอบครอง หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท
*** ทำให้ผู้เลี้ยงหลายราย แอบปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติด้วยความกลัวความผิดทางกฎหมาย
• การลักลอบเพาะเลี้ยงและแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ แม้จะมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังพบว่ามีบางกลุ่มที่ลักลอบเพาะเลี้ยงในบ่อปิด โดยเฉพาะผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเพาะพันธุ์ปลาสวยงาม ซึ่งมองว่าปลาชนิดนี้ยังมีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูง ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีบางกรณีที่มีการเพาะเลี้ยงต่อโดยหวังจะขอรับเงินเยียวยาหรือเงินชดเชยจากภาครัฐในภายหลัง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้าง “กลไกการบริหารจัดการ” ที่เข้าใจทั้งมิติของกฎหมายและมิติของอาชีพผู้เพาะเลี้ยงไปพร้อมกัน
• มุมมองเชิงนโยบาย : “จากการห้าม → สู่การบริหารจัดการ”
การแก้ไขปัญหาเรื่องปลาหมอคางดำ ควรตั้งอยู่บนฐานของ
“ความเข้าใจ มากกว่าการกล่าวโทษ” เพราะก่อนปี 2561 ผู้เลี้ยงปลาหมอคางดำไม่ได้กระทำผิดกฎหมายเลย ซึ่งมีข้อเสนอของผู้เชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหา คือ
- ใช้บทเรียนนี้วางระบบควบคุมสายพันธุ์ต่างถิ่นที่มีข้อมูลและทางเลือกชัดเจน
- สนับสนุนการเปลี่ยนอาชีพและอบรมทักษะให้ผู้เพาะเลี้ยง
- สร้างฐานข้อมูลชนิดพันธุ์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดซ้ำ
สรุป : บทเรียนจากปลาสวยงามสู่ระบบนิเวศ
กรณีของปลาหมอคางดำสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของการพัฒนานโยบายด้านการจัดการสายพันธุ์ต่างถิ่นที่ยืดหยุ่นและมีส่วนร่วมมากขึ้น การดำเนินมาตรการเชิงป้องกันต้องควบคู่กับการสร้างความเข้าใจในชุมชนผู้เพาะเลี้ยง เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาซ้ำรอยในอนาคต
ท้ายที่สุด การจัดการความหลากหลายทางชีวภาพจะเกิดผลได้จริง ก็ต่อเมื่อภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาชน ร่วมกันสร้างระบบ “อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน” มากกว่าจะพยายาม “ควบคุมธรรมชาติ” ด้วยการออกกฎหมายเพื่อควบคุมเพียงอย่างเดียว
จากปลาสวยงามสู่ปลาต่างถิ่น : กรณีศึกษาปลาหมอคางดำในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย ปลาหมอสีคางดำ หรือปลาหมอคางดำ (Sarotherodon Melanotheron) เป็นตัวอย่างสำคัญของ “ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่เกิดจากการเปลี่ยนผ่านของนโยบาย” จากเดิมที่เคยเป็นปลาแปลก ปลาสวยงาม ที่ไม่เคยถูกกฎหมายควบคุม สู่การกลายเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นต้องห้ามภายใต้พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2561) การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างของระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านชีวภาพ และผลกระทบต่อผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมปลาสวยงามโดยตรง
กรณีของปลาหมอคางดำ จึงเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญในการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่าง “กฎหมายและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ” กับ “ธุรกิจปลาสวยงาม” ของประเทศไทย ที่เดินเป็นคู่ขนานกันอย่างซับซ้อน เพราะการที่จะเข้าใจปัญหานี้ได้อย่างแท้จริง ต้องมองย้อนกลับไปยังเส้นทางการเพาะเลี้ยงในอดีต ตั้งแต่วันที่มันยังเป็นเพียง “ปลาสวยงามราคาแพง” จนถึงวันที่มันถูกตราหน้าว่าเป็น “ภัยต่อระบบนิเวศ”
• ยุคแรกของปลาหมอ (สี) คางดำในวงการปลาสวยงาม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ก่อนปี พ.ศ. 2560 “ปลาหมอคางดำ” หรือที่รู้จักในประเทศไทยทั้งในชื่อ “ปลาหมอเทศข้างลาย” และ “ปลาหมอสีคางดำ” เป็นหนึ่งในปลาสวยงามยอดนิยมของตลาดเอเชีย ทั้งในไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และอินโดนีเซีย การเพาะเลี้ยงเป็นไปอย่างเปิดเผยและถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากในประเทศไทยยังไม่มีประกาศควบคุมสายพันธุ์ต่างถิ่นจากกรมประมง แหล่งเพาะพันธุ์ปลาสวยงามหลายแห่ง ทั้งในกรุงเทพฯ นครปฐม และราชบุรี มีการนำเข้าปลาหมอสีคางดำ ซึ่งปลาหมอสีคางดำมีถิ่นกำเนิดในแอฟริกาตะวันตก โดยแพร่กระจายอยู่ตลอดแนวชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตกตั้งแต่มอริเตเนีย ถึงแคเมอรูน
การเพาะเลี้ยง Blackchin Tilapia หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Sarotherodon Melanotheron ในต่างประเทศก็มีอยู่ในหลายประเทศทั้งในสหรัฐอเมริกา (รัฐฟลอริดา และรัฐฮาวาย) เอเซีย (มาเลเซีย กัมพูชา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ในจังหวัดบาตา และบูลากัน) และยุโรป จนปลาหมอคางดำกลายเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นที่รุกรานสัตว์น้ำดั้งเดิม การแพร่กระจายในประเทศฟิลิปปินส์ ไม่พบข้อมูลการนำเข้า แต่คาดว่ามาจากธุรกิจปลาแปลก ปลาสวยงาม ที่อาจจะหลุดรอดจากการเพาะเลี้ยง หรือถูกลักลอบนำไปปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติ จนแพร่ระบาดกระจายไปทั่ว
• การเปลี่ยนผ่านทางกฎหมาย ปี พ.ศ. 2561
หลังจากมีการประกาศภายใต้ พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) รัฐได้จัดให้ “ปลาหมอ (สี) คางดำ” เป็นสัตว์น้ำต่างถิ่น (Alien Species) ที่ห้ามนำเข้า เพาะเลี้ยง หรือครอบครอง ส่งผลกระทบต่อผู้เพาะเลี้ยงหลายรายที่เลี้ยงไว้จำหน่ายเป็นปลาแปลก ปลาสวยงามปรับตัวไม่ทัน และกลัวว่าจะผิดกฎหมาย ทำให้ผู้เพาะเลี้ยงบางส่วนจำใจต้องปล่อยปลาลงแหล่งน้ำธรรมชาติ และเนื่องจากปลาหมอ (สี) คางดำมีความสามารถในการปรับตัวสูงและขยายพันธุ์รวดเร็ว และอาจจะกลายมาเป็นต้นเหตุของการแพร่กระจายในวงกว้าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ในวงการปลาแปลก ปลาสวยงาม ชื่อของปลาเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อ “ภาพลักษณ์” และ “การตลาด” เดิมปลาชนิดนี้ถูกเรียกว่า ปลาหมอสีคางดำ ซึ่งฟังดูสวยงามและไม่สร้างความกังวล แต่เมื่อมีประกาศเปลี่ยนชื่อเป็น ปลาหมอคางดำ เพื่อให้สอดคล้องกับรายชื่อสัตว์น้ำต่างถิ่นต้องควบคุม ความเข้าใจของประชาชนจึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากประสบการณ์ของผู้เพาะเลี้ยงหลายคนมองว่า การเปลี่ยนชื่อดังกล่าวเป็นมาตรการเชิงสัญลักษณ์ที่ช่วยลดแรงจูงใจในการเพาะเลี้ยงปลาชนิดนี้ต่อไป แต่ก็มีผลข้างเคียง คือ ทำให้ผู้เพาะเลี้ยงรายย่อยจำนวนมากที่สูญเสียอาชีพโดยไม่มีมาตรการรองรับ การขาดช่องทางทำกินในทันทีโดยไม่มีมาตรการเยียวยาที่ชัดเจน
แต่ผลทางกฎหมายกลับรุนแรงกว่า สำหรับผู้ที่มีปลาหมอคางดำในครอบครอง
- การเพาะเลี้ยงและปล่อยลงแหล่งน้ำ หากฝ่าฝืนมีโทษสูงสุดคือจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- การนำเข้า ส่งออก และครอบครอง หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท
*** ทำให้ผู้เลี้ยงหลายราย แอบปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติด้วยความกลัวความผิดทางกฎหมาย
• การลักลอบเพาะเลี้ยงและแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ แม้จะมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังพบว่ามีบางกลุ่มที่ลักลอบเพาะเลี้ยงในบ่อปิด โดยเฉพาะผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเพาะพันธุ์ปลาสวยงาม ซึ่งมองว่าปลาชนิดนี้ยังมีคุณค่าทางเศรษฐกิจสูง ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีบางกรณีที่มีการเพาะเลี้ยงต่อโดยหวังจะขอรับเงินเยียวยาหรือเงินชดเชยจากภาครัฐในภายหลัง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้าง “กลไกการบริหารจัดการ” ที่เข้าใจทั้งมิติของกฎหมายและมิติของอาชีพผู้เพาะเลี้ยงไปพร้อมกัน
• มุมมองเชิงนโยบาย : “จากการห้าม → สู่การบริหารจัดการ”
การแก้ไขปัญหาเรื่องปลาหมอคางดำ ควรตั้งอยู่บนฐานของ “ความเข้าใจ มากกว่าการกล่าวโทษ” เพราะก่อนปี 2561 ผู้เลี้ยงปลาหมอคางดำไม่ได้กระทำผิดกฎหมายเลย ซึ่งมีข้อเสนอของผู้เชี่ยวชาญในการแก้ไขปัญหา คือ
- ใช้บทเรียนนี้วางระบบควบคุมสายพันธุ์ต่างถิ่นที่มีข้อมูลและทางเลือกชัดเจน
- สนับสนุนการเปลี่ยนอาชีพและอบรมทักษะให้ผู้เพาะเลี้ยง
- สร้างฐานข้อมูลชนิดพันธุ์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดซ้ำ
สรุป : บทเรียนจากปลาสวยงามสู่ระบบนิเวศ
กรณีของปลาหมอคางดำสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นของการพัฒนานโยบายด้านการจัดการสายพันธุ์ต่างถิ่นที่ยืดหยุ่นและมีส่วนร่วมมากขึ้น การดำเนินมาตรการเชิงป้องกันต้องควบคู่กับการสร้างความเข้าใจในชุมชนผู้เพาะเลี้ยง เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหาซ้ำรอยในอนาคต
ท้ายที่สุด การจัดการความหลากหลายทางชีวภาพจะเกิดผลได้จริง ก็ต่อเมื่อภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาชน ร่วมกันสร้างระบบ “อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน” มากกว่าจะพยายาม “ควบคุมธรรมชาติ” ด้วยการออกกฎหมายเพื่อควบคุมเพียงอย่างเดียว