Market Sentiment (อารมณ์ของตลาด)
คือความรู้สึกหรือมุมมองของนักลงทุนที่มีต่อตลาดในช่วงเวลานั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น “ความกลัว” หรือ “ความตื่นเต้น” ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นได้ว่า คนส่วนใหญ่ในตลาดกำลังมองว่าทิศทางของราคาจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถแบ่งแนวโน้มของตลาดออกได้เป็น 3 แบบหลัก ๆ ได้แก่:
ขาขึ้น (Uptrend)
ขาลง (Downtrend)
แกว่งตัวในกรอบ (Sideway)
มาดูรายละเอียดของแต่ละแนวโน้มกันค่ะ 😊
📈 ตลาดขาขึ้น (Uptrend)
ถ้านักลงทุนหรือเทรดเดอร์ส่วนใหญ่มีความมั่นใจว่า ราคาของสินทรัพย์นั้น ๆ จะปรับตัวขึ้นในอนาคต ก็จะทำให้ราคามีแนวโน้มไปในทิศทางขาขึ้น
ตัวอย่าง:
อย่างกรณีของ Bitcoin Halving ที่จะเกิดขึ้นทุก 4 ปี นักลงทุนมักจะมองว่า ช่วงนี้แหละคือโอกาส เพราะจำนวนเหรียญที่ขุดได้จะลดลงครึ่งหนึ่ง แต่ความต้องการ (Demand) ยังมีอยู่เหมือนเดิม หรืออาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำ ส่งผลให้ราคาบิทคอยน์มีแนวโน้มจะพุ่งสูงขึ้นค่ะ
📉 ตลาดขาลง (Downtrend)
ในทางกลับกัน ถ้าตลาดเต็มไปด้วยความกังวล และนักลงทุนคาดว่า ราคาสินทรัพย์จะลดลงในอนาคต ก็จะทำให้เกิดแนวโน้มขาลง
ตัวอย่าง:
หุ้นไทยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มีแนวโน้มไม่ค่อยสดใส เนื่องจากนักลงทุนมองว่าโมเดลเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งอาจจะไม่ตอบโจทย์ในระยะยาว ทำให้ตลาดหุ้นไม่ค่อยเติบโต
แต่ในช่วงที่ตลาดไม่แน่นอนแบบนี้ สินทรัพย์อย่าง ทองคำ กลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น เพราะถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” เวลาตลาดผันผวน นักลงทุนมักหันไปถือทองคำแทน ทำให้ราคาทองมีแนวโน้มขยับขึ้นค่ะ
ตลาดแกว่งตัว (Sideway)
สำหรับแนวโน้มแบบ Sideway เป็นช่วงที่ราคาวิ่งไปวิ่งมาในกรอบแคบ ๆ ยังไม่มีทิศทางชัดเจน ซึ่งบอกเลยว่า...ทำเอานักลงทุนหลายคนเครียดไม่น้อย 😅
เพราะมันคือช่วงที่ตลาดกำลัง “ลังเล” ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหนดี นักลงทุนเลยยังไม่กล้าเข้าซื้อหรือขาย อาจจะรอดูข่าวหรือสัญญาณชัด ๆ ก่อน ถึงจะตัดสินใจได้
🛎️ คำเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ:
ความเชื่อมั่นของตลาด (Market Sentiment) เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และส่งผลโดยตรงต่อกราฟราคา บางช่วงราคาจะเหวี่ยงแรงมาก เพราะฉะนั้น อย่าลืมตั้ง TP (Take Profit) และ SL (Stop Loss) ทุกครั้งที่เทรดนะคะ เพื่อช่วยจัดการความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น
เพิ่อนๆมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างคะ มาแชร์กันค่ะ
Market Sentiment คืออะไร? มาแชร์กันค่ะ
คือความรู้สึกหรือมุมมองของนักลงทุนที่มีต่อตลาดในช่วงเวลานั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น “ความกลัว” หรือ “ความตื่นเต้น” ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นได้ว่า คนส่วนใหญ่ในตลาดกำลังมองว่าทิศทางของราคาจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถแบ่งแนวโน้มของตลาดออกได้เป็น 3 แบบหลัก ๆ ได้แก่:
ขาขึ้น (Uptrend)
ขาลง (Downtrend)
แกว่งตัวในกรอบ (Sideway)
มาดูรายละเอียดของแต่ละแนวโน้มกันค่ะ 😊
📈 ตลาดขาขึ้น (Uptrend)
ถ้านักลงทุนหรือเทรดเดอร์ส่วนใหญ่มีความมั่นใจว่า ราคาของสินทรัพย์นั้น ๆ จะปรับตัวขึ้นในอนาคต ก็จะทำให้ราคามีแนวโน้มไปในทิศทางขาขึ้น
ตัวอย่าง:
อย่างกรณีของ Bitcoin Halving ที่จะเกิดขึ้นทุก 4 ปี นักลงทุนมักจะมองว่า ช่วงนี้แหละคือโอกาส เพราะจำนวนเหรียญที่ขุดได้จะลดลงครึ่งหนึ่ง แต่ความต้องการ (Demand) ยังมีอยู่เหมือนเดิม หรืออาจจะมากขึ้นด้วยซ้ำ ส่งผลให้ราคาบิทคอยน์มีแนวโน้มจะพุ่งสูงขึ้นค่ะ
📉 ตลาดขาลง (Downtrend)
ในทางกลับกัน ถ้าตลาดเต็มไปด้วยความกังวล และนักลงทุนคาดว่า ราคาสินทรัพย์จะลดลงในอนาคต ก็จะทำให้เกิดแนวโน้มขาลง
ตัวอย่าง:
หุ้นไทยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มีแนวโน้มไม่ค่อยสดใส เนื่องจากนักลงทุนมองว่าโมเดลเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งอาจจะไม่ตอบโจทย์ในระยะยาว ทำให้ตลาดหุ้นไม่ค่อยเติบโต
แต่ในช่วงที่ตลาดไม่แน่นอนแบบนี้ สินทรัพย์อย่าง ทองคำ กลับได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น เพราะถือว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” เวลาตลาดผันผวน นักลงทุนมักหันไปถือทองคำแทน ทำให้ราคาทองมีแนวโน้มขยับขึ้นค่ะ
ตลาดแกว่งตัว (Sideway)
สำหรับแนวโน้มแบบ Sideway เป็นช่วงที่ราคาวิ่งไปวิ่งมาในกรอบแคบ ๆ ยังไม่มีทิศทางชัดเจน ซึ่งบอกเลยว่า...ทำเอานักลงทุนหลายคนเครียดไม่น้อย 😅
เพราะมันคือช่วงที่ตลาดกำลัง “ลังเล” ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปทางไหนดี นักลงทุนเลยยังไม่กล้าเข้าซื้อหรือขาย อาจจะรอดูข่าวหรือสัญญาณชัด ๆ ก่อน ถึงจะตัดสินใจได้
🛎️ คำเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ:
ความเชื่อมั่นของตลาด (Market Sentiment) เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และส่งผลโดยตรงต่อกราฟราคา บางช่วงราคาจะเหวี่ยงแรงมาก เพราะฉะนั้น อย่าลืมตั้ง TP (Take Profit) และ SL (Stop Loss) ทุกครั้งที่เทรดนะคะ เพื่อช่วยจัดการความเสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น
เพิ่อนๆมีความคิดเห็นยังไงกันบ้างคะ มาแชร์กันค่ะ