เป็นอัลบั้มลำดับที่สองของวงดนตรี Coldplay ที่ออกในปี 2002 ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนและเป็นผลงานที่ช่วยตอกย้ำสถานะของพวกเขาในฐานะวงร็อกระดับโลก อัลบั้มนี้มีเพลงฮิตอมตะหลายเพลงและได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21
หากอัลบั้มแรกอย่าง
Parachutes มีบรรยากาศที่นุ่มนวล ชวนฝัน และค่อนข้างหม่น อัลบั้มนี้คือการยกระดับความยิ่งใหญ่ และความเร่งเร้าขึ้นไปอีกขั้น ซาวด์ดนตรีโดยรวมมีความเข้มข้น จัดจ้าน และกล้าหาญมากขึ้น โดยยังคงเอกลักษณ์ของวงไว้ คือการใช้เปียโนและเสียงร้องที่บาดลึกของ Chris Martin ผสมผสานกับเสียงกีตาร์ที่ไพเราะและเทคนิคการเล่นที่ไม่ซ้ำใคร
ปกอัลบั้มที่ดูเป็นภาพกราฟิกขาว-ดำ เป็นหนึ่งในปกอัลบั้มที่เป็นที่จดจำมากที่สุดของยุค 2000s
ปกอัลบั้ม
A Rush of Blood to the Head นั้น ไม่ได้เกิดจากพู่กันหรือการถ่ายภาพแฟชั่นแบบทั่วไป แต่มาจากเทคโนโลยีขั้นสูงที่เคยถูกใช้ใน วงการแพทย์และการทหาร
ที่มาของปก: เทคโนโลยี 3D สแกนจากหมวกนักบิน
ปกอัลบั้มที่เราเห็นเป็นภาพขาวดำของใบหน้าครึ่งซีกที่มีหนามแหลมหรือเส้นรัศมีกระจายออกมา
ความไม่สมบูรณ์ที่กลายเป็นศิลปะ
ศีรษะที่หายไป: เครื่องสแกนสามารถสแกนได้สูงสุดเพียงประมาณ 30 เซนติเมตร ทำให้ส่วนบนของศีรษะถูก "ตัด" ออกไปโดยอัตโนมัติ
หนามแหลมปริศนา
: เครื่องสแกนไม่สามารถประมวลผลรายละเอียดของเนื้อผ้าหรือสีบางส่วนบนเสื้อคลุมของโมเดลได้อย่างถูกต้อง จึงถูกแทนที่ด้วย เส้นแหลม/เส้นรัศมีแบบดิจิทัล (Digital Spikes) ที่กระจายออกมาจากคอและศีรษะ ซึ่งดูราวกับว่ากำลังเกิด "กระแสเลือดพุ่งเข้าสู่ศีรษะ" ตามชื่ออัลบั้ม (A Rush of Blood to the Head)
เรื่องราวนี้จึงเป็นตัวอย่างชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่า บางครั้ง "ความผิดพลาดทางเทคนิค" ก็สามารถนำไปสู่ผลงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่และเป็นอมตะได้
การจัดเรียงเพลงที่ลงตัว
เปิดตัวอย่างทรงพลังเริ่มด้วย "Politik" ที่กระแทกกระทั้นและ "In My Place" ที่ติดหู ทำให้ผู้ฟังถูกดึงเข้าสู่อัลบั้มทันที
ค่อย ๆ ลดความเร็วลงด้วย "The Scientist" และ "Clocks" เพื่อให้ผู้ฟังได้ดื่มด่ำกับท่วงทำนองที่งดงามและลึกซึ้ง
มีเพลงจังหวะกลาง ๆ ที่มีกรู๊ฟน่าสนใจอย่าง "God Put a Smile Upon Your Face" และ "Daylight" มาช่วยไม่ให้อัลบั้มหน่วงจนเกินไป
ปิดท้ายด้วยบัลลาดที่สร้างอารมณ์ที่เข้มข้นอย่าง "A Rush of Blood to the Head" และ "Amsterdam" ที่ทำให้รู้สึกว่าได้ผ่านการเดินทางทางดนตรีที่สมบูรณ์แล้ว
ความสำเร็จด้านยอดขายนี้ยิ่งตอกย้ำว่าวงไม่ได้ดังแค่กระแสชั่วคราว แต่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นวงดนตรีระดับซูเปอร์สตาร์อย่างแท้จริง ซึ่งปัจจัยสำคัญก็มาจากเพลงฮิตที่ทรงพลังและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เช่น
"Clocks",
"The Scientist" และ
"In My Place" ที่ยังคงถูกเปิดและเป็นที่รู้จักมาจนถึงทุกวันนี้
อัลบั้มนี้แสดงให้เห็นว่า Coldplay เรียนรู้จากชุด
Parachutes และเพิ่มมิติของความยิ่งใหญ่ เทคนิคการบรรเลง และความหลากหลายของอารมณ์ได้อย่างลงตัว ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่ากำลังฟังผลงานของวงที่ "โตขึ้น" แต่ไม่ได้ทิ้งเสน่ห์เดิมไป
=========
อัลบั้ม A rush of blood to the head อัลบั้มที่วง coldplay เริ่มโด่งดังเป็นพลุแตก
หากอัลบั้มแรกอย่าง Parachutes มีบรรยากาศที่นุ่มนวล ชวนฝัน และค่อนข้างหม่น อัลบั้มนี้คือการยกระดับความยิ่งใหญ่ และความเร่งเร้าขึ้นไปอีกขั้น ซาวด์ดนตรีโดยรวมมีความเข้มข้น จัดจ้าน และกล้าหาญมากขึ้น โดยยังคงเอกลักษณ์ของวงไว้ คือการใช้เปียโนและเสียงร้องที่บาดลึกของ Chris Martin ผสมผสานกับเสียงกีตาร์ที่ไพเราะและเทคนิคการเล่นที่ไม่ซ้ำใคร
ปกอัลบั้มที่ดูเป็นภาพกราฟิกขาว-ดำ เป็นหนึ่งในปกอัลบั้มที่เป็นที่จดจำมากที่สุดของยุค 2000s
ปกอัลบั้ม A Rush of Blood to the Head นั้น ไม่ได้เกิดจากพู่กันหรือการถ่ายภาพแฟชั่นแบบทั่วไป แต่มาจากเทคโนโลยีขั้นสูงที่เคยถูกใช้ใน วงการแพทย์และการทหาร
ที่มาของปก: เทคโนโลยี 3D สแกนจากหมวกนักบิน
ปกอัลบั้มที่เราเห็นเป็นภาพขาวดำของใบหน้าครึ่งซีกที่มีหนามแหลมหรือเส้นรัศมีกระจายออกมา
ความไม่สมบูรณ์ที่กลายเป็นศิลปะ
ศีรษะที่หายไป: เครื่องสแกนสามารถสแกนได้สูงสุดเพียงประมาณ 30 เซนติเมตร ทำให้ส่วนบนของศีรษะถูก "ตัด" ออกไปโดยอัตโนมัติ
หนามแหลมปริศนา: เครื่องสแกนไม่สามารถประมวลผลรายละเอียดของเนื้อผ้าหรือสีบางส่วนบนเสื้อคลุมของโมเดลได้อย่างถูกต้อง จึงถูกแทนที่ด้วย เส้นแหลม/เส้นรัศมีแบบดิจิทัล (Digital Spikes) ที่กระจายออกมาจากคอและศีรษะ ซึ่งดูราวกับว่ากำลังเกิด "กระแสเลือดพุ่งเข้าสู่ศีรษะ" ตามชื่ออัลบั้ม (A Rush of Blood to the Head)
เรื่องราวนี้จึงเป็นตัวอย่างชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่า บางครั้ง "ความผิดพลาดทางเทคนิค" ก็สามารถนำไปสู่ผลงานศิลปะที่ยิ่งใหญ่และเป็นอมตะได้
การจัดเรียงเพลงที่ลงตัว
เปิดตัวอย่างทรงพลังเริ่มด้วย "Politik" ที่กระแทกกระทั้นและ "In My Place" ที่ติดหู ทำให้ผู้ฟังถูกดึงเข้าสู่อัลบั้มทันที
ค่อย ๆ ลดความเร็วลงด้วย "The Scientist" และ "Clocks" เพื่อให้ผู้ฟังได้ดื่มด่ำกับท่วงทำนองที่งดงามและลึกซึ้ง
มีเพลงจังหวะกลาง ๆ ที่มีกรู๊ฟน่าสนใจอย่าง "God Put a Smile Upon Your Face" และ "Daylight" มาช่วยไม่ให้อัลบั้มหน่วงจนเกินไป
ปิดท้ายด้วยบัลลาดที่สร้างอารมณ์ที่เข้มข้นอย่าง "A Rush of Blood to the Head" และ "Amsterdam" ที่ทำให้รู้สึกว่าได้ผ่านการเดินทางทางดนตรีที่สมบูรณ์แล้ว
ความสำเร็จด้านยอดขายนี้ยิ่งตอกย้ำว่าวงไม่ได้ดังแค่กระแสชั่วคราว แต่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นวงดนตรีระดับซูเปอร์สตาร์อย่างแท้จริง ซึ่งปัจจัยสำคัญก็มาจากเพลงฮิตที่ทรงพลังและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง เช่น "Clocks", "The Scientist" และ "In My Place" ที่ยังคงถูกเปิดและเป็นที่รู้จักมาจนถึงทุกวันนี้
อัลบั้มนี้แสดงให้เห็นว่า Coldplay เรียนรู้จากชุด Parachutes และเพิ่มมิติของความยิ่งใหญ่ เทคนิคการบรรเลง และความหลากหลายของอารมณ์ได้อย่างลงตัว ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่ากำลังฟังผลงานของวงที่ "โตขึ้น" แต่ไม่ได้ทิ้งเสน่ห์เดิมไป
=========