คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
หลายคนที่บกพร่องทางการได้ยิน ใช้ชีวิตเหมือนคนทั่วไปทุกอย่าง
เข้าโรงเรียนปกติ ทำงาน พูดคุยกับเพื่อน
แต่ “ความเหนื่อย” ที่ต้องเผชิญกลับมากกว่าใครหลายเท่า
ปัญหาที่มักพบเจอในชีวิตประจำวัน
1. การสื่อสารที่ต้องใช้พลังมหาศาล
ต้องเพ่งสมาธิในการฟังทุกคำ โดยเฉพาะในที่ที่มีเสียงรบกวน
เวลามีคนพูดพร้อมกันหลายคน มักจับใจความไม่ทัน
โทรศัพท์หรือเสียงประกาศเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก
และหลายคนมัก “เหนื่อยง่าย” จากการฟังต่อเนื่องเป็นเวลานาน
2. ความรู้สึกโดดเดี่ยวในสังคมที่ไม่เข้าใจ
บางคนเลือก “เงียบ” เพราะกลัวพูดผิด หรือฟังไม่ทัน
ถูกล้อว่า “พูดไม่ชัด” จนไม่กล้าแสดงออก
ครอบครัวบางบ้านยังกลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าลูกเป็นคนหูตึง
ทั้งที่ความจริงคือ “เขาแค่ต้องการเครื่องมือช่วยในการสื่อสาร” เท่านั้นเอง
3. ปัญหาในการเรียนและทำงาน
ฟังครูพูดไม่ครบถ้วน ต้องคอยถามเพื่อนหรือจดจากเสียงที่จับได้
บางครั้งพลาดสาระสำคัญโดยไม่รู้ตัว
ในวัยทำงาน หลายคนยังถูกปฏิเสธหรือไม่เข้าใจในศักยภาพ
ทั้งที่จริง ๆ แล้ว คนที่บกพร่องทางการได้ยินจำนวนมากมีความสามารถสูง
เพียงแค่ต้องได้รับ “โอกาสที่เท่าเทียม” เท่านั้นเอง
แล้ว “บัตรคนพิการ” จำเป็นต้องมีไหม?
คำถามนี้มีคนสงสัยกันมาก — โดยเฉพาะในครอบครัวที่ลูกใส่เครื่องช่วยฟังแต่ยังพูดได้
บางคนเลือกไม่ทำบัตรเพราะกลัว “เสียโอกาส” ในการสมัครงาน
หรือกลัวว่าจะถูกมองว่า “ไม่ปกติ”
ความรู้สึกแบบนี้เข้าใจได้ครับ
แต่ในมุมของผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยิน
อยากบอกว่า บัตรคนพิการไม่ใช่เครื่องหมายของความด้อยค่า
แต่คือ “กุญแจ” ที่เปิดประตูสู่สิทธิประโยชน์ที่คุณควรได้รับ
ข้อดีของการมีบัตรคนพิการ
สิทธิด้านสุขภาพและการฟื้นฟู:
เข้ารับบริการฟื้นฟูการได้ยินในโรงพยาบาลรัฐได้ฟรี
เบิกเครื่องช่วยฟังตามสิทธิของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
เบี้ยความพิการ:
ได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 800 บาท
หากมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อาจได้สิทธิเพิ่มเติม
ด้านการศึกษา:
ได้รับสื่อการเรียนพิเศษ เช่น FM system หรือบริการล่ามภาษามือ
มีโควตาเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยบางแห่ง
ด้านการทำงาน:
บริษัทเอกชนและหน่วยงานรัฐมีหน้าที่ต้องจ้างคนพิการตามกฎหมาย
มีสิทธิกู้ยืมเงินประกอบอาชีพโดยไม่เสียดอกเบี้ย
สวัสดิการอื่น ๆ:
เดินทางฟรีหรือส่วนลด 50% สำหรับรถสาธารณะ
ขอล่ามภาษามือฟรีเมื่อติดต่อราชการหรือโรงพยาบาล
ผู้ดูแลสามารถลดหย่อนภาษีได้
ข้อกังวลที่มักได้ยิน
สังคมบางส่วนยังมีอคติ หรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำว่า “คนพิการ”
กระบวนการทำบัตรต้องใช้เวลาพบแพทย์และยื่นเอกสาร
แต่เมื่อเทียบกับ “สิทธิระยะยาว” ที่ได้กลับมา
บัตรคนพิการถือเป็น “โอกาสที่เพิ่มขึ้น” มากกว่า “ข้อจำกัด” ครับ
ทุกวันนี้บริษัทใหญ่ ๆ และองค์กรสาธารณะหลายแห่ง
มองเห็นศักยภาพของผู้บกพร่องทางการได้ยินมากขึ้น
และเริ่มสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดรับและเข้าใจมากกว่าเดิม
หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือ
กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.)ดูแลด้านสวัสดิการ กองทุน และโครงการจ้างงานคนพิการ
สมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทยให้คำปรึกษา จัดอบรมอาชีพ และเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนของผู้หูตึง
มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมภ์สนับสนุนด้านการศึกษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ
โรงพยาบาลของรัฐที่มีคลินิกฝึกพูดช่วยฝึกการสื่อสารและติดตามพัฒนาการการได้ยิน
เทคโนโลยีและแอปพลิเคชันที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น
Google Live Transcribe: แปลงเสียงพูดเป็นข้อความแบบเรียลไทม์
แอปแจ้งเตือนด้วยแสง/การสั่น: ใช้แทนเสียงกริ่ง นาฬิกาปลุก หรือเสียงร้องของเด็ก
accesSOS: แอปแจ้งเหตุฉุกเฉินผ่านข้อความสำหรับผู้บกพร่องทางการได้ยิน
ผู้บกพร่องทางการได้ยิน ไม่ได้ด้อยกว่าใคร
เพียงแต่อาจต้องการ “เวลา เครื่องมือ และความเข้าใจ”
เพื่อให้ได้ยินและสื่อสารกับโลกอย่างเต็มที่อีกครั้ง
“บัตรคนพิการไม่ใช่ตราสัญลักษณ์ของความอ่อนแอ
แต่มันคือใบเบิกทางให้คุณเข้าถึงสิทธิ การดูแล และโอกาสที่สมควรได้รับ”
และเหนือสิ่งอื่นใด —
เรื่องราวของคุณมีคุณค่า
เพราะมันช่วยให้สังคมเข้าใจว่า “การได้ยิน” ไม่ใช่แค่เรื่องของเสียง
แต่คือเรื่องของ “ชีวิต ความสัมพันธ์ และจิตใจ” ครับ
ขออนุญาตแชร์ไปที่เพจนะครับ
https://www.facebook.com/photo?fbid=853557770519592&set=a.169235138951862
เข้าโรงเรียนปกติ ทำงาน พูดคุยกับเพื่อน
แต่ “ความเหนื่อย” ที่ต้องเผชิญกลับมากกว่าใครหลายเท่า
ปัญหาที่มักพบเจอในชีวิตประจำวัน
1. การสื่อสารที่ต้องใช้พลังมหาศาล
ต้องเพ่งสมาธิในการฟังทุกคำ โดยเฉพาะในที่ที่มีเสียงรบกวน
เวลามีคนพูดพร้อมกันหลายคน มักจับใจความไม่ทัน
โทรศัพท์หรือเสียงประกาศเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก
และหลายคนมัก “เหนื่อยง่าย” จากการฟังต่อเนื่องเป็นเวลานาน
2. ความรู้สึกโดดเดี่ยวในสังคมที่ไม่เข้าใจ
บางคนเลือก “เงียบ” เพราะกลัวพูดผิด หรือฟังไม่ทัน
ถูกล้อว่า “พูดไม่ชัด” จนไม่กล้าแสดงออก
ครอบครัวบางบ้านยังกลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าลูกเป็นคนหูตึง
ทั้งที่ความจริงคือ “เขาแค่ต้องการเครื่องมือช่วยในการสื่อสาร” เท่านั้นเอง
3. ปัญหาในการเรียนและทำงาน
ฟังครูพูดไม่ครบถ้วน ต้องคอยถามเพื่อนหรือจดจากเสียงที่จับได้
บางครั้งพลาดสาระสำคัญโดยไม่รู้ตัว
ในวัยทำงาน หลายคนยังถูกปฏิเสธหรือไม่เข้าใจในศักยภาพ
ทั้งที่จริง ๆ แล้ว คนที่บกพร่องทางการได้ยินจำนวนมากมีความสามารถสูง
เพียงแค่ต้องได้รับ “โอกาสที่เท่าเทียม” เท่านั้นเอง
แล้ว “บัตรคนพิการ” จำเป็นต้องมีไหม?
คำถามนี้มีคนสงสัยกันมาก — โดยเฉพาะในครอบครัวที่ลูกใส่เครื่องช่วยฟังแต่ยังพูดได้
บางคนเลือกไม่ทำบัตรเพราะกลัว “เสียโอกาส” ในการสมัครงาน
หรือกลัวว่าจะถูกมองว่า “ไม่ปกติ”
ความรู้สึกแบบนี้เข้าใจได้ครับ
แต่ในมุมของผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยิน
อยากบอกว่า บัตรคนพิการไม่ใช่เครื่องหมายของความด้อยค่า
แต่คือ “กุญแจ” ที่เปิดประตูสู่สิทธิประโยชน์ที่คุณควรได้รับ
ข้อดีของการมีบัตรคนพิการ
สิทธิด้านสุขภาพและการฟื้นฟู:
เข้ารับบริการฟื้นฟูการได้ยินในโรงพยาบาลรัฐได้ฟรี
เบิกเครื่องช่วยฟังตามสิทธิของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
เบี้ยความพิการ:
ได้รับเงินช่วยเหลือเดือนละ 800 บาท
หากมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อาจได้สิทธิเพิ่มเติม
ด้านการศึกษา:
ได้รับสื่อการเรียนพิเศษ เช่น FM system หรือบริการล่ามภาษามือ
มีโควตาเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยบางแห่ง
ด้านการทำงาน:
บริษัทเอกชนและหน่วยงานรัฐมีหน้าที่ต้องจ้างคนพิการตามกฎหมาย
มีสิทธิกู้ยืมเงินประกอบอาชีพโดยไม่เสียดอกเบี้ย
สวัสดิการอื่น ๆ:
เดินทางฟรีหรือส่วนลด 50% สำหรับรถสาธารณะ
ขอล่ามภาษามือฟรีเมื่อติดต่อราชการหรือโรงพยาบาล
ผู้ดูแลสามารถลดหย่อนภาษีได้
ข้อกังวลที่มักได้ยิน
สังคมบางส่วนยังมีอคติ หรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับคำว่า “คนพิการ”
กระบวนการทำบัตรต้องใช้เวลาพบแพทย์และยื่นเอกสาร
แต่เมื่อเทียบกับ “สิทธิระยะยาว” ที่ได้กลับมา
บัตรคนพิการถือเป็น “โอกาสที่เพิ่มขึ้น” มากกว่า “ข้อจำกัด” ครับ
ทุกวันนี้บริษัทใหญ่ ๆ และองค์กรสาธารณะหลายแห่ง
มองเห็นศักยภาพของผู้บกพร่องทางการได้ยินมากขึ้น
และเริ่มสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดรับและเข้าใจมากกว่าเดิม
หน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือ
กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ (พก.)ดูแลด้านสวัสดิการ กองทุน และโครงการจ้างงานคนพิการ
สมาคมคนหูหนวกแห่งประเทศไทยให้คำปรึกษา จัดอบรมอาชีพ และเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนของผู้หูตึง
มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมภ์สนับสนุนด้านการศึกษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ
โรงพยาบาลของรัฐที่มีคลินิกฝึกพูดช่วยฝึกการสื่อสารและติดตามพัฒนาการการได้ยิน
เทคโนโลยีและแอปพลิเคชันที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น
Google Live Transcribe: แปลงเสียงพูดเป็นข้อความแบบเรียลไทม์
แอปแจ้งเตือนด้วยแสง/การสั่น: ใช้แทนเสียงกริ่ง นาฬิกาปลุก หรือเสียงร้องของเด็ก
accesSOS: แอปแจ้งเหตุฉุกเฉินผ่านข้อความสำหรับผู้บกพร่องทางการได้ยิน
ผู้บกพร่องทางการได้ยิน ไม่ได้ด้อยกว่าใคร
เพียงแต่อาจต้องการ “เวลา เครื่องมือ และความเข้าใจ”
เพื่อให้ได้ยินและสื่อสารกับโลกอย่างเต็มที่อีกครั้ง
“บัตรคนพิการไม่ใช่ตราสัญลักษณ์ของความอ่อนแอ
แต่มันคือใบเบิกทางให้คุณเข้าถึงสิทธิ การดูแล และโอกาสที่สมควรได้รับ”
และเหนือสิ่งอื่นใด —
เรื่องราวของคุณมีคุณค่า
เพราะมันช่วยให้สังคมเข้าใจว่า “การได้ยิน” ไม่ใช่แค่เรื่องของเสียง
แต่คือเรื่องของ “ชีวิต ความสัมพันธ์ และจิตใจ” ครับ
ขออนุญาตแชร์ไปที่เพจนะครับ
https://www.facebook.com/photo?fbid=853557770519592&set=a.169235138951862
แสดงความคิดเห็น
ผู้บกพร่องทางการได้ยินมีปัญหาอะไรบ้างคะ แล้วรัฐมีสวัสดิการหรือให้ความช่วยเหลือยังไงคะ
ขอออกตัวก่อนนะคะว่าที่ตั้งกระทู้ถามเพราะความอยากรู้ล้วนๆเลยค่ะ แล้วก็มาจากการที่เราเป็นผู้บกพร่องทางการได้ยินที่ถูกเลี้ยงเหมือนเด็กปกติ เข้าโรงเรียนปกติ อาศัยเครื่องช่วยฟังในการใช้ชีวิตค่ะ(เรามีปัญหาการได้ยินและใสเครื่องทั้งสองข้างค่ะ) เราถามแม่ว่าควรทำบัตรคนพิการไหม แต่แม่บอกว่าไม่ต้องทำค่ะ เพราะกลัวว่าเวลาทำงานเขาจะไม่รับค่ะ แถมเราก็ดูใช้ชีวิตได้ปกติถึงจะมีปัญหาบ้างแต่ไม่มากค่ะ
เราใส่เครื่องช่วยฟังมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะเท่าที่จำความได้ก็ใส่ตั้งแต่ตอนอายุ5-6ขวบ แต่การได้ยินของเราตอนนั้นคือไม่ได้สูญเสียการได้ยินมากเท่ากับตอนนี้ค่ะ ตอนนี้เราอายุ 20 แล้วค่ะ มีปัญหาเรื่องการพูดบ้างค่ะ แต่ไม่ถึงการสื่อสารไม่เข้าใจค่ะ ปัญหาของเราที่พบในฐานะที่เป็นผู้บกพร่องทางการได้ยินแล้วเรียนโรงเรียนปกติคือ เราค่อนข้างขี้อายแล้วก็ไม่ค่อยพูด แต่ไม่ถึงกับไม่ตอบเลยนะคะ
ตอนเด็กๆเคยโดนล้อว่าออกเสียง ส.เสือไม่ชัด เลยทำให้ไม่กล้าพูด แต่สังคมหล่อหลอมให้ต้องพูดอยู่ดีค่ะ😅 แถมโดนแม่บอกว่าอย่าไปบอกใครว่าใส่เครื่องช่วยฟัง เพราะแม่กลัวเราโดนแกล้ง โดนบูลลี่ เวลาคุยกับเพื่อนแล้วได้ยินไม่ชัดคือรู้สึกกลัวมากค่ะเพราะกลัวเขาจะรู้ว่าเราเป็นนาตาชาแฝงตัวมา เฮ้ยไม่สิ😂 กลัวเพื่อนรู้ว่าเราผิดปกติ ส่วนตัวเรียนโรงเรียนปกติโดยที่บอกใครไม่ได้ว่าเป็นอะไรมันเป็นอะไรที่น่าอึดอัดมากค่ะ แถมยากด้วยเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง
จนเราคิดว่าถ้าเราเรียนโรงเรียนที่ซับพอร์ตคนพิการแบบเราจะดีขนาดไหนนะ เพราะตอนเราเรียนมีหลายครั้งเลยค่ะที่จับใจความคำพูดไม่ทันจนต้องถามเพื่อนบ่อยๆ แถมมีปัญหาเรื่องการออกเสียงทั้งภาษาไทยและอังกฤษ ไม่เคยเรียนฝึกพูดเลยค่ะ อาจเพราะตอนนั้นเด็กอยู่แล้วพ่อแม่ไม่ซีเรียสเรื่องการออกเสียงค่ะ แต่สำหรับเรามันยากมาค่ะแล้วก็เป็นปมในใจด้วย แต่ตอนนี้ไม่สนแล้วค่ะ555
มีใครที่มีประสบการณ์ที่คล้ายๆกันไหมคะ อยากรู้ประสบการณ์และปัญหาของแต่ละคนเลยค่ะ แล้วเราอยากรู้ข้อมูลสวัสดิการหรือความช่วยเหลือเกี่ยวกับผู้บกพร่องทางการได้ยินค่ะ จะแปะลิ้งค์ให้เราเข้าไปอ่านเองได้นะคะ จะได้ถือเป็นการรวบรวมข้อมูลด้วยค่ะ หรือมีอะไรจะบอกเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่นที่ช่วยในการดำเนินชีวิตก็ได้ค่ะ ขอบคุณสำหรับคำตอบและการแชร์ประสบการณ์ล่วงหน้านะคะ