เราอยากได้“เงิน”หรือ ”อิสรภาพ“

เราอยากได้เงิน หรือได้อิสรภาพ?
.
สรุปเซสชัน MINDFUL WEALTH: THE ART OF FINANCIAL BALANCE โดยคุณเอ๋ นิ้วกลม - สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ ( Roundfinger ) ในงาน Money Freedom Forum 2025
.
คุณเอ๋เล่าว่า ไอดอลของเขาคือ “คุณลุงเสรี บ้านโป่ง” คุณลุงเสรีเคยออกรายการคนค้นคน
คุณเอ๋ชอบวิธีการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ใช้ชีวิตทำงานโดยความสมัครใจ และทำงานแบบไม่สนรายได้ ทำงานแลกข้าวกิน พอมีคนมาถามว่าลุงเขาเหนื่อยไหม เขาก็บอกว่าเขาไม่เหนื่อย เขาสามารถทำงานได้สบายๆ
.
หลายครั้งเราทำงานแล้วเหนื่อย ท้อ จริง ๆ แล้วเราทำด้วยทัศนคติแบบไหน?
.
นอกจากนี้ลุงเสรียังเล่าว่าเขาได้คุยกับเบื้องบน เขาบอกว่าเขาเป็นคนที่มีชีวิตเหนือชั้น เพราะเขาไม่ต้องซื้อข้าว ได้ข้าวฟรีแลกกับแรงงานที่ทำไป ค่าน้ำค่าไฟก็แทบจะไม่ต้องจ่าย ใช้ชีวิต 3 เดือนโดยที่มีค่าน้ำค่าไฟใช้เงินแค่ 6-7 บาทเท่านั้น เรียกได้ว่าการบริหารจัดการเงินของคุณลุงเสรีน่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง (เว้นเรื่องการอาบน้ำไว้) คุณเอ๋กล่าว
.
====================
ตกลงแล้วตกลงแล้วความสุขคืออะไร ?
วิถีชีวิตที่ดีเป็นอย่างไร ?
เราเกิดมาเพื่ออะไร ?
.
คุณเอ๋เชื่อว่า ชีวิตของเราทุกคน เราต้องร่างเอง และนั่นรวมถึงเรื่องการเงินด้วย คุณเอ๋ชวนให้เราคิด และร่างแผนการเงินของตัวเองขึ้นมา ถ้าเราจะร่างแผนการเงินนี้ขึ้นมาด้วยตัวเราเอง เพื่อให้ตอบโจทย์ความสุขตัวเราเอง เราจะเขียนมันขึ้นมายังไง
.
เรามักจะมีคำถามว่าเราอยากมีเงินเท่าไหร่ ซึ่งเป็นคำถามคลาสสิก
ต้องมีเงินเท่าไหร่กันแน่ถึงจะมากพอ? ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่มีคำตอบ
ถ้าเอาคำถามนี้ไปถามลุงเสรี ลุงอาจบอกว่าอยากมีเงิน 5-10 บาทก็ได้
.
คำถามนี้เป็นคำถามที่ไม่ถูกต้อง
สิ่งที่น่าถามมากกว่าคือ “เราอยากมีเงินเพื่ออะไร”
.
ซึ่งทำให้เราฉุกคิดว่าเราจะเอาเงินไปทำอะไรหรือที่จริงเราไม่ได้ต้องการเงิน?
.
====================
“เราอาจจะไม่ได้ต้องการเงินที่เป็นเงินจริง ๆ แต่ต้องการความสุข อิสระ ความรัก”
.
โจน จันใด ได้เคยกล่าวว่า มนุษย์ต้องการ 3 สิ่ง อิสรภาพ ความสุข ความรัก พอมองย้อนกลับไป ชีวิตเราอาจจะรู้สึกไม่มีความสุข ไม่มีอิสรภาพ อาจจะเผลอทำความรักหล่นหายไประหว่างทาง
.
ดังนั้น เมื่อเราพูดถึงความสุข อิสรภาพ ความรัก เราอาจจะคิดว่ามันต้องใช้เงิน แต่ความจริงแล้ว เราอาจจะไม่ต้องใช้เงินในการหามาเลยก็ได้
.
====================
เงินมีอยู่ 2 ส่วน คือ หาเงินและใช้เงิน
.
คนมีเงินไม่เกี่ยวว่า เขามีเงินเท่าไหร่ แต่อยู่ที่ทัศนคติการหาและการใช้
การใช้เงินและการหาเงินเป็นตัวที่บอกเราได้ชัดเจนว่า เราเป็นคนยังไง
.
ลองสังเกตดูว่า คุณโอนเงินให้กับเรื่องอะไรมากเป็นพิเศษ?
สิ่งนี้สะท้อนว่าเราให้คุณค่ากับอะไร ใช้เงินเพื่อตอบสนองตัวเอง หรือใช้มันเพื่อให้คนอื่นเห็น
.
ทุกคนหาเงิน แต่เราเอาอะไรไปแลกกับเงิน?
ใช้สติปัญญา ใช้แรง หรือใช้เวลา หรือแม้กระทั่งศักดิ์ศรี ก้าวเข้าไปทำงานสีเทา การโกง
.
เราเห็นคุณค่าของชีวิต และสิ่งสำคัญของคนคนหนึ่งได้ ด้วยการดูวิธีหาเงินและการใช้เงิน
.
====================
.
โลกเราในตอนนี้อยู่ใน “ระบบ” อะไรบางอย่าง
.
(1) ระบบการตลาด : ขับเคลื่อนให้กลัวและมีความหวัง เช่น ถ้าผมของคุณชี้ฟูอยู่ ให้ใช้แชมพูของเรา ในมุมคนทำงานการตลาดนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่ในมุมลูกค้า เราสามารถสร้างการตระหนักรู้กับตัวเองได้
.
โลกแบบนี้เป็น “โลกที่ทำให้เราไม่ชอบตัวเอง”
.
⎯⎯⎯⎯⎯
(2) ระบบบริโภคนิยม : ขายสัญญะ เราไม่ได้ซื้อสินค้า เราซื้อความหมาย เช่น รถที่เป็นตัวแทนความสำเร็จ รองเท้ารุ่น Limited เพราะความพิเศษ โลกแบบนี้จะทำให้เราไม่ค่อยชอบสิ่งที่เรามีอยู่ เพราะมันเก่าแล้ว ดูไม่อัปเดต
.
โลกแบบนี้เป็น “โลกที่ทำให้เราไม่ชอบสิ่งที่มีอยู่”
.
⎯⎯⎯⎯⎯
(3) ระบบสื่อ : สื่อพยายามกระตุ้นความดราม่า กระตุ้นให้คนกดเข้าไปอ่านและดูด้วยความกลัว คุณเอ๋เล่าว่า เข้าใจในมุมคนทำงาน ว่าต้องทำสื่อไปขายลูกค้า แต่ในฐานะคนบริโภคสื่อ เวลาตื่นมาเห็นอะไรแบบนี้ทุกวันก็ทำให้เรากังวล แล้วเราก็ใช้เงินไปเพื่อคลายกังวล
.
โลกแบบนี้เป็น “โลกที่ทำให้เราไม่มั่นคง”
.
⎯⎯⎯⎯⎯
(4) ระบบเศรษฐกิจ / การเมือง : ระบบไม่ไกล่เกลี่ยค่าใช้จ่ายและรายได้ให้ใกล้เคียงกันทุกคน ดังนั้น ทุกคนจะมีค่าใช้จ่ายเยอะ และเงินจะไม่ไช่แค่เงิน แต่คือทั้งอนาคต และสังคม เช่น พ่อแม่ต้องส่งลูกเรียนโรงเรียนดี ๆ เพื่อให้มีสังคมที่ดี และอนาคตที่ดี
.
โลกแบบนี้เป็น “โลกที่ทำให้เรารู้สึกสึกว่ามีเงินแค่ไหนก็ไม่ปลอดภัย”
.
จากทั้งหมดที่ว่ามา นี่คือสาเหตุที่ทำให้เราอยากรวย แล้วจะทำยังไงให้ไม่ตกเป็นเหยื่อของระบบ ? ตอบคือเราต้องทำความเข้าใจตัวเอง หรี่เสียงข้างนอก ฟังเสียงข้างใน
.
เช่น ตัวอย่างของคุณเอ๋ ที่ไม่อินกับนาฬิกา แต่อินกับการมีเวลา / เขาไม่อินกับ Productivity แต่อินกับความ Happy / ไม่อินกับการอยู่บนยอด แต่อินกับการ Explore โลก / ไม่อินกับการมีลูก แต่อินกับการมีแมว
.
====================
.
คุณเอ๋เชื่อว่าเราทุกคนมีหมาป่าขาวดำ 2 ตัว ต่อสู้กันตลอดเวลา
.
(1) เงิน vs. เวลา
.
ทุกบาทที่จ่ายไป คือจำนวนนาทีที่เราทำงาน
ถ้าเราอยากกินแพงขึ้น งั้นเราต้องทำงานมากขึ้น
ถ้าอยากขับรถแพงขึ้น งั้นเราต้องทำงานมากขึ้น
.
ดังนั้นถ้าเราใช้น้อย เราก็ไม่ต้องหาเยอะ
.
⎯⎯⎯⎯⎯
(2) มูลค่า vs. คุณค่า
.
อย่างแหวนเพชร โลกนี้อาจจะบอกว่ามันมีค่า แต่สำหรับคุณเอ๋แล้ว การขอแต่งงานภรรยาของเขาด้วยแหวนลายการ์ตูนที่ภรรยาเขาเป็นคนออกแบบนั้น สำหรับเขาแล้ว มีค่ามากกว่าแหวนเพชรเยอะ
.
คุณค่าเกิดจากภายใน แต่มูลค่าเกิดจากภายนอก
.
⎯⎯⎯⎯⎯
(3) ขาดแคลน vs. สมบูรณ์
.
คนที่รู้สึกว่าเราขาดแคลน เราจะต่อสู้ไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเราพอใจ เราจะรู้สึกเติมเต็มและสมบูรณ์
.
Dopamine จะบอกให้เราต้องได้สิ่งที่ดีไปอีก แต่ Serotonin จะบอกให้เราพอเท่าที่เราพอใจด้วยตัวของเราเอง
.
⎯⎯⎯⎯⎯
(4) วัตถุ vs. จิตวิญญาณ
.
เรามักจะมองหาวัตถุ แต่หลายเรื่องในชีวิต เราไม่ต้องอินกับวัตถุก็ได้
.
คุณเอ๋เล่าว่า สมัยเด็กขวดแชมพูที่คุณเอ๋ใช้นั้นไม่เคยหมดไปเลย เพราะคุณแม่ของเขาจะเติมให้ตลอด มันไม่ใช่เรื่องราคาถูกแพงของแชมพู แต่มันคือหัวใจ ความรักที่คุณแม่ทำให้
.
คุณเอ๋เล่าต่อว่า ตอนที่เขาไปบ้านเพื่อนของเขา ก็มีความสุขที่ได้กินอาหารที่เพื่อนเขากิน
.
สิ่งสำคัญไม่เคยมองเห็นด้วยตา แต่มันมองเห็นด้วยใจ โลกไม่ใช่การทำงานของวัตถุ แต่เป็นการทำงานด้วยหัวใจและจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่เราอยากมอบสิ่งดี ๆให้กับคนอื่น มันคือสิ่งที่มอบความรักและความสุขให้กับคนอื่นได้ และมันไม่ต้องใช้เงินเลยด้วยซ้ำ
.
⎯⎯⎯⎯⎯
(5) ปัจเจก vs. ชุมชน
.
คุณเอ๋เล่าว่า ตอนไปนามิเบีย บ้านของคนรวยจะมีรั้วสูง ๆ และรปภ. เพราะอาชญากรชุกชุม คุณเอ๋เล่าว่า เขาเองคงไม่อยากเป็นคนรวยในสังคมแบบนั้น แต่อยากสร้างสังคมที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากกว่า
.
⎯⎯⎯⎯⎯
(6) ความร่ำรวยภายนอก vs. ความมั่นคงภายใน
.
เราอยากเป็นนักธุรกิจหมื่นล้านที่เครียดมาก ต้องวิ่งไล่ความสำเร็จไปเรื่อย ๆ ไม่เคยรู้สึกมั่นคงและปลอดภัย เพราะอยู่ในระบบที่ถูกออกแบบมาให้ไม่มีวันพอใจ หรือจะเป็นคนที่มีความสงบเรียบง่ายแบบลุงเสรี
.
⎯⎯⎯⎯⎯
(7) เรารับใช้เงิน vs. เงินรับใช้เรา
.
ลองสังเกตว่าที่เราอยากได้เงินมากไปเรื่อย ๆ ตกลงแล้วเราอยากใช้มัน หรือมันกำลังใช้เราอยู่? หลายครั้งที่มันใช้เรา มันทำให้เราต้องทำงานกับคนแย่ ๆ ต่อไป หรือลางานไม่ได้
.
อะไรก็ตามที่เราอยากได้ มันจะมีอำนาจเหนือเรา เงินก็เช่นกัน ยิ่งอยากได้เงิน มันยิ่งครอบงำเรา
.
====================
.
กลับไปที่คำถามตอนต้นที่คุณเอ๋เกริ่นไว้ “คุณอยากมีเงินเท่าไหร่?”
.
เปลี่ยนเป็น “คุณอยากมีเงินไปเพื่ออะไร?”
และคำถามนี้ จะทำให้คุณตอบได้ง่ายขึ้น
.
คุณเอ๋ได้พลิกคำถามใหม่อีกรอบเป็น :
“อะไรบ้างที่ทำให้เราอยากได้เงินน้อยลง แต่ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่ามากขึ้น?”
ไม่ว่าจะเป็น
.
- เข้าใจตัวเอง > เอาใจคนอื่น : เข้าใจตัวเองมากกว่ามีชีวิต เพื่อเอาใจคนอื่น
.
- เห็นคุณค่า > มูลค่า
.
- รับรู้สิ่งที่มี > ไขว่คว้าสิ่งที่ขาด : เรามีอะไรดี ๆในตัวเยอะมาก แต่เรามักจะมองหาแต่สิ่งที่เราไม่มี
.
- บ่มเพาะจิตวิญญาณ > วัตถุ : เพราะเราอยู่ในโลกที่กล่อมเกลาให้เราคลั่งไคล้ และไล่ตามวัตถุมากเกินไป และเสียความรู้สึก ความละเอียดอ่อน และความเป็นมนุษย์ในที่สุด
.
- มีสังคมที่เกื้อกูล > แข่งขัน : ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ทุกคนที่นั่งข้างกันในห้องเรียนจะเป็นคู่แข่งหมด ทุกคนในออฟฟิศจะเป็นคู่แข่งกันหมด โลกก็จะไม่น่าอยู่
.
====================
.
เราไม่ได้ต้องการเงิน เราต้องการความสุข อิสระ และความรัก
แล้วอิสรภาพทางการเงินคืออะไร ?
.
“Freedom is No Fear” ไม่ใช่ตอนที่เรามี Passive Income มากพอ แต่เกิดขึ้นตอนที่เราไม่แคร์ว่า คนอื่นจะคิดยังไงกับเรา จะมองเราไม่ดี ไม่ยอมรับเรา อิสระทางการเงิน เกิดขึ้นจากการที่เราตอบได้ว่าเราคือใคร ให้คุณค่ากับอะไร และให้อะไรกับโลกใบนี้ได้
.
คุณเอ๋อยากให้ทุกคนกล้าหาญที่จะคิดและเป็นในแบบตัวเอง และร่างแผนการเงินในแบบของตัวเองออกมาให้ได้ คุณเอ๋ทิ้งท้ายไว้ว่า “จงเป็นเช่นลุงเสรี”
CR https://www.facebook.com/share/p/1JYfMaHKrU/?mibextid=wwXIfr
#SelfDevelopment #MoneyFreedomForum2025 #Skooldio
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่