คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
					
				
								 ความคิดเห็นที่ 1
																			
								
									
								
														
						
					 น่ารักมากเลยครับ ที่หนูตั้งใจคิดเรื่องอนาคตตั้งแต่ ม.2 ❤️ พี่อ่านแล้วเห็นเลยว่าหนูเป็นคนที่มี “ใจรักจริง” และ “คิดรอบด้าน” มาก ทั้งรักสัตว์ แต่อีกใจก็คิดถึงผลต่อคนและสังคมด้วย ซึ่งเป็นนิสัยที่ดีมากสำหรับคนที่อยากเป็น สัตวแพทย์หรืออาชีพสายสุขภาพ แบบนี้เลยครับ
🐾 ถ้าอยากสอบติดคณะสัตวแพทย์
พี่ขอแนะนำเป็นขั้น ๆ แบบเหมาะกับเด็ก ม.2 ที่อยากเริ่มตั้งแต่เนิ่น ๆ นะครับ 👇
🎯 ขั้นที่ 1 : วางเป้าหมายให้ชัด
ลองตอบคำถามนี้กับตัวเองก่อน (เขียนไว้ก็ได้)
หนูอยากเรียน “สัตวแพทย์” สาขาไหน เช่น รักษาสัตว์เลี้ยง, สัตว์ใหญ่, งานห้องแล็บ, งานสาธารณสุข ฯลฯ
หนูอยากเข้ามหาวิทยาลัยไหน เช่น จุฬาฯ, ม.เกษตร, มข., มช., มศว, มทส.
→ เพราะแต่ละที่คะแนนกับวิชาที่เน้นต่างกันครับ
ถ้าหนูยังไม่รู้ไม่เป็นไรนะ แค่เริ่มหาข้อมูลไว้ก่อน เช่น ดูเพจ “Dek-D”, “AdmissionPremium”, หรือเว็บไซต์ของคณะสัตวแพทย์ต่าง ๆ
📘 ขั้นที่ 2 : ฝึกอ่าน–จำให้ได้ผล
พี่เข้าใจมากเลยค่ะ คนที่ “อ่านแล้วจำไม่ได้” ไม่ใช่เพราะไม่เก่ง
แต่เพราะ ยังไม่รู้วิธีจำที่เหมาะกับตัวเอง
พี่มีเทคนิคให้ลองครับ👇
อ่านแล้วสรุปด้วยภาพหรือแผนผัง (Mind Map)
ไม่ต้องเขียนทุกอย่าง แค่จับหัวข้อใหญ่ → แตกเป็นจุดย่อย เช่น
“ระบบย่อยอาหารของสุนัข” → ปาก / หลอดอาหาร / กระเพาะ / ลำไส้
แล้วใช้สี / รูป / สัญลักษณ์ช่วยจำ เช่น เขียนรูปหมาเล็ก ๆ ข้าง ๆ
อ่านออกเสียงหรืออัดเสียงตัวเองพูดแล้วเปิดฟังซ้ำ
เหมาะกับคนที่จำจาก “เสียง” ได้ดีกว่าภาพ
ตั้งคำถามกับเนื้อหาที่อ่าน เช่น
ทำไมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต้องมีต่อมน้ำนม?
ถ้าสัตว์มีไข้สูงจะบ่งบอกอะไร?
การตั้งคำถามจะช่วยให้สมองจำได้นานกว่าแค่อ่านผ่าน ๆ
ฝึกเขียนสรุปสั้น ๆ แบบ bullet point
เช่นแทนที่จะเขียนทั้งย่อหน้า ลองเขียนเป็น
หน้าที่ของหัวใจ: สูบฉีดเลือด
มี 4 ห้อง: ห้องบนซ้าย–ขวา / ห้องล่างซ้าย–ขวา
🧠 ขั้นที่ 3 : สร้างนิสัยเรียนรู้
หนูบอกว่าไม่ค่อยอ่านหนังสือใช่ไหม — ไม่เป็นไรเลยครับ ❤️
เริ่มทีละนิดก็ได้ เช่น
วันละ 15 นาที อ่านวิทย์ + จับใจความสำคัญ 3 บรรทัด
ก่อนนอนเล่าให้ตัวเองฟังว่า “วันนี้เราเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับสัตว์บ้าง”
ดูคลิปใน YouTube เกี่ยวกับสัตวแพทย์ เช่น ช่อง “Vetaround”, “หมอแอมป์”, “Dek-D Animal Science”
→ สนุกกว่าอ่าน และทำให้หนูเห็นชีวิตจริงของหมอสัตว์ด้วยครับ
📚 ขั้นที่ 4 : เตรียมวิชาหลักให้แน่น
สายสัตวแพทย์ต้องใช้คะแนนสอบวิชาหลัก ๆ ดังนี้
คณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ (ชีวะ เคมี ฟิสิกส์) — โดยเฉพาะชีววิทยา
ภาษาอังกฤษ
คะแนนสอบ TPAT1 (ความถนัดแพทย์) หรือ TPAT3 (สัตวแพทย์) แล้วแต่รอบสอบ
ดังนั้นตอน ม.2–ม.3 นี้ หนูควรเน้นพื้นฐานพวกนี้ให้แน่นก่อน
เช่น ฝึกเรื่องระบบร่างกายสัตว์, พันธุกรรม, เซลล์, สมดุลในร่างกาย ฯลฯ
พอขึ้น ม.ปลายจะต่อยอดง่ายมาก
💡 ขั้นที่ 5 : ฝึกสรุปแบบเลือกสาระสำคัญ
หนูบอกว่า “หนูคิดว่าทุกอย่างสำคัญหมด” พี่เข้าใจมากเลย
วิธีแก้คือให้ลองถามตัวเองแบบนี้ทุกครั้งที่อ่าน 👇
“ถ้าครูถามข้อสอบได้แค่ 3 ข้อจากบทนี้ เขาจะถามอะไร?”
มันจะช่วยให้หนูเลือก “สาระสำคัญจริง ๆ” ได้โดยไม่รู้ตัวเลย
❤️ ขั้นที่ 6 : ลองหาประสบการณ์จริง
ถ้ามีโอกาส ลองไป
อาสาที่คลินิกรักษาสัตว์ หรือศูนย์พักพิงสัตว์
เข้าค่าย “สัตวแพทย์ฝึกหัด” ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ (เขาจะจัดให้เด็กมัธยมช่วงปิดเทอม)
พูดคุยกับหมอสัตว์จริง ๆ ถามว่าในชีวิตจริงต้องเจอกับอะไรบ้าง
หนูจะได้รู้แน่ ๆ ว่าตัวเอง “ใช่จริงไหม”
ซึ่งสำคัญกว่าการคิดเอาเองมากเลย 🌻
								🐾 ถ้าอยากสอบติดคณะสัตวแพทย์
พี่ขอแนะนำเป็นขั้น ๆ แบบเหมาะกับเด็ก ม.2 ที่อยากเริ่มตั้งแต่เนิ่น ๆ นะครับ 👇
🎯 ขั้นที่ 1 : วางเป้าหมายให้ชัด
ลองตอบคำถามนี้กับตัวเองก่อน (เขียนไว้ก็ได้)
หนูอยากเรียน “สัตวแพทย์” สาขาไหน เช่น รักษาสัตว์เลี้ยง, สัตว์ใหญ่, งานห้องแล็บ, งานสาธารณสุข ฯลฯ
หนูอยากเข้ามหาวิทยาลัยไหน เช่น จุฬาฯ, ม.เกษตร, มข., มช., มศว, มทส.
→ เพราะแต่ละที่คะแนนกับวิชาที่เน้นต่างกันครับ
ถ้าหนูยังไม่รู้ไม่เป็นไรนะ แค่เริ่มหาข้อมูลไว้ก่อน เช่น ดูเพจ “Dek-D”, “AdmissionPremium”, หรือเว็บไซต์ของคณะสัตวแพทย์ต่าง ๆ
📘 ขั้นที่ 2 : ฝึกอ่าน–จำให้ได้ผล
พี่เข้าใจมากเลยค่ะ คนที่ “อ่านแล้วจำไม่ได้” ไม่ใช่เพราะไม่เก่ง
แต่เพราะ ยังไม่รู้วิธีจำที่เหมาะกับตัวเอง
พี่มีเทคนิคให้ลองครับ👇
อ่านแล้วสรุปด้วยภาพหรือแผนผัง (Mind Map)
ไม่ต้องเขียนทุกอย่าง แค่จับหัวข้อใหญ่ → แตกเป็นจุดย่อย เช่น
“ระบบย่อยอาหารของสุนัข” → ปาก / หลอดอาหาร / กระเพาะ / ลำไส้
แล้วใช้สี / รูป / สัญลักษณ์ช่วยจำ เช่น เขียนรูปหมาเล็ก ๆ ข้าง ๆ
อ่านออกเสียงหรืออัดเสียงตัวเองพูดแล้วเปิดฟังซ้ำ
เหมาะกับคนที่จำจาก “เสียง” ได้ดีกว่าภาพ
ตั้งคำถามกับเนื้อหาที่อ่าน เช่น
ทำไมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต้องมีต่อมน้ำนม?
ถ้าสัตว์มีไข้สูงจะบ่งบอกอะไร?
การตั้งคำถามจะช่วยให้สมองจำได้นานกว่าแค่อ่านผ่าน ๆ
ฝึกเขียนสรุปสั้น ๆ แบบ bullet point
เช่นแทนที่จะเขียนทั้งย่อหน้า ลองเขียนเป็น
หน้าที่ของหัวใจ: สูบฉีดเลือด
มี 4 ห้อง: ห้องบนซ้าย–ขวา / ห้องล่างซ้าย–ขวา
🧠 ขั้นที่ 3 : สร้างนิสัยเรียนรู้
หนูบอกว่าไม่ค่อยอ่านหนังสือใช่ไหม — ไม่เป็นไรเลยครับ ❤️
เริ่มทีละนิดก็ได้ เช่น
วันละ 15 นาที อ่านวิทย์ + จับใจความสำคัญ 3 บรรทัด
ก่อนนอนเล่าให้ตัวเองฟังว่า “วันนี้เราเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับสัตว์บ้าง”
ดูคลิปใน YouTube เกี่ยวกับสัตวแพทย์ เช่น ช่อง “Vetaround”, “หมอแอมป์”, “Dek-D Animal Science”
→ สนุกกว่าอ่าน และทำให้หนูเห็นชีวิตจริงของหมอสัตว์ด้วยครับ
📚 ขั้นที่ 4 : เตรียมวิชาหลักให้แน่น
สายสัตวแพทย์ต้องใช้คะแนนสอบวิชาหลัก ๆ ดังนี้
คณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ (ชีวะ เคมี ฟิสิกส์) — โดยเฉพาะชีววิทยา
ภาษาอังกฤษ
คะแนนสอบ TPAT1 (ความถนัดแพทย์) หรือ TPAT3 (สัตวแพทย์) แล้วแต่รอบสอบ
ดังนั้นตอน ม.2–ม.3 นี้ หนูควรเน้นพื้นฐานพวกนี้ให้แน่นก่อน
เช่น ฝึกเรื่องระบบร่างกายสัตว์, พันธุกรรม, เซลล์, สมดุลในร่างกาย ฯลฯ
พอขึ้น ม.ปลายจะต่อยอดง่ายมาก
💡 ขั้นที่ 5 : ฝึกสรุปแบบเลือกสาระสำคัญ
หนูบอกว่า “หนูคิดว่าทุกอย่างสำคัญหมด” พี่เข้าใจมากเลย
วิธีแก้คือให้ลองถามตัวเองแบบนี้ทุกครั้งที่อ่าน 👇
“ถ้าครูถามข้อสอบได้แค่ 3 ข้อจากบทนี้ เขาจะถามอะไร?”
มันจะช่วยให้หนูเลือก “สาระสำคัญจริง ๆ” ได้โดยไม่รู้ตัวเลย
❤️ ขั้นที่ 6 : ลองหาประสบการณ์จริง
ถ้ามีโอกาส ลองไป
อาสาที่คลินิกรักษาสัตว์ หรือศูนย์พักพิงสัตว์
เข้าค่าย “สัตวแพทย์ฝึกหัด” ของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ (เขาจะจัดให้เด็กมัธยมช่วงปิดเทอม)
พูดคุยกับหมอสัตว์จริง ๆ ถามว่าในชีวิตจริงต้องเจอกับอะไรบ้าง
หนูจะได้รู้แน่ ๆ ว่าตัวเอง “ใช่จริงไหม”
ซึ่งสำคัญกว่าการคิดเอาเองมากเลย 🌻
 แสดงความคิดเห็น
				
	        
				
	        
				
				 
 
		
				
 	 
			 
						 
							 
							 
							 
							 
							


 
 





 
 


อยากเรียนสัตวแพทย์ต้องทำยังไงคะ