JJNY : 5in1 พิธาไม่หวั่นภูมิใจดูด│พิธางง ไม่ใช้กลไกสภา│ทบ.ชี้คลิปจริงทหารเขมร│IMF เตือนศก.โลกผันผวน│“มาชาโด”อุทิศโนเบล

พิธา ไม่หวั่นภูมิใจดูด เย้ยพวกดูดๆก็แพ้ผมมาแล้ว มองคนละยุทธภูมิกัน ป้องปชน.ไม่ใช่ฝ่ายค้ำ
https://www.matichon.co.th/politics/news_5406041
.
.
“พิธา” ลั่น “ภูมิใจดูด” ก็เคยแพ้ผม เตือน “อนุทิน” อย่าให้การเมืองนำบ้านเมือง แนะ “พูดแล้วทำ” ให้ได้แบบสโลแกนพรรค ป้อง “พรรคประชาชน”ไม่ใช่ฝ่ายค้ำ มองการเมืองไทยยุคนี้คือ “เฉพาะกิจ”แนะ เร่งกู้ภาพลักษณ์ด้วยผลงาน
.
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2568 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน ว่า เป็นการเมืองเฉพาะกิจ มีนายกฯเฉพาะกิจที่เข้าสู่อำนาจแบบเฉพาะกิจ ต้องหาสัดส่วนบาลานซ์ ระหว่างการแก้ไขปัญหาให้บ้านเมือง กับการทำตามสัญญาให้กับฝ่ายค้าน ซึ่งคิดว่า ฝ่ายค้านมีกลไกในการควบคุมรัฐบาลเสียงข้างน้อย ให้เป็นไปตามข้อตกลง เช่น การอภิปรายนโยบาย ซึ่งเห็นว่าทำได้ดีพอสมควร
.
เมื่อถามว่า พรรคประชาชนอาจมีข้อครหาว่าไปหนุนแล้วจะไม่กล้าตรวจสอบรัฐบาล นายพิธา มองว่า พรรคประชาชนไม่ใช่ฝ่ายค้ำ ได้พิสูจน์ผ่านการอภิปรายในการทำเรื่องสำคัญไปแล้ว นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชนก็ได้ ใช้กลไกสภาตรวจสอบรัฐบาลอยู่เรื่อยๆ เพียงแต่ต้องเรียกร้องไปยังรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีให้ทำตามคำสัญญาอย่างตรงไปตรงมา เพราะแบรนด์ดิ้งของ พรรคภูมิใจไทย คือ “พูดแล้วทำ” ถ้าพลิกไปมาก็ห่วงว่า แบรนด์ดิ้งของพรรคจะไม่ได้ใช้อีกในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
.
ส่วนฉากทัศน์การเมือง 4 เดือน ที่จะยุบสภา นายพิธา ประเมินว่า สิ่งที่น่ากังวล สำหรับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คือน่าจะเน้นบ้านเมืองมากกว่าการเมือง และอย่าให้การเมืองนำบ้านเมือง เพราะฉากทัศน์ต่างๆ มาจากหลายเรื่องทั้งการต่างประเทศ เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น อย่างวันนี้ตนเองมา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มาสอน 2 เรื่องด้วยกัน คือ 1.การเลือกตั้งประเทศเมียนมาร์ที่จะมาถึง และ 2.การประชุมอาเซียน เป็น 2 เรื่องร้อนสำหรับนายกฯ เฉพาะกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตอนนี้ที่ต้องดูแล รวมถึงเรื่องนิติรัฐนิติธรรม เป็นเรื่องสำคัญที่กดทับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
.
ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองหลายพรรคเริ่มตั้งเป้าตัวเลขเก้าอี้ ส.ส. ในการเลือกตั้งครั้งหน้าแล้วนั้น นานพิธา ประเมินว่า การแข่งกันประกาศจำนวน ส.ส. ที่อยากได้ 80, 200 หรือ 250 ที่นั่ง เป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ และไม่สะท้อนความพร้อมทางการเมืองอย่างแท้จริง และหากมองย้อนกลับไปในช่วงที่ตนเองดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล พรรคให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ โดยตั้งเป้าสร้างพรรคในลักษณะพรรคมวลชนที่มี ส.ส.เขตมากกว่าบัญชีรายชื่อ และมีตัวแทนกระจายครบทุกภูมิภาค ไม่ใช่เพียงพรรคที่มีฐานเสียงเฉพาะในบางภูมิภาคเท่านั้น
.
นายพิธา กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากชวนพรรคประชาชนให้หันมาคิดในเชิงคุณภาพว่า จะเพิ่มศักยภาพและขยายฐานเสียงในแต่ละพื้นที่ได้อย่างไร เช่น พื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีจังหวัดสำคัญอย่างนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี สงขลา และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมกันประมาณ 42 เขต รวมถึงภาคอีสานและภาคเหนือ ที่ในการเลือกตั้งครั้งก่อน ที่พรรคก้าวไกลยังทำผลงานได้ไม่ดีนัก
.
เมื่อถามต่อว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าการที่พรรคประชาชนทำข้อตกลง หรือ MOA กับพรรคภูมิใจไทยจะไว้ใจได้ นายพิธา กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับพรรคภูมิใจไทยเองทำตามสโลแกน ของพรรคเพื่อใช้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ หรือจะเสี่ยงในระยะสั้นเพื่อที่จะสูญเสียความเป็นตัวตนของพรรคในระยะยาว และขึ้นอยู่กับพรรคประชาชนว่าใช้กลไกได้ดีที่สุดหรือไม่
.
หากตอบแบบส่วนตัวไม่ว่าจะพรรคภูมิใจดูด แต่ตอนนั้นที่ดูดผมมาแพ้ผมหมดเลยนะ คนที่โดนดูดก็จะต้องรู้ว่า มีแผลทางการเมืองตลอดชีวิตประชาชนก็จะลงโทษ ไม่แน่ใจว่า การย้ายพรรคในเร็วๆนี้ ส่วนตัวแล้วในฐานะอดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกลก็ไม่มีความกังวล เพราะเป็นคนละยุทธภูมิกัน เราไม่ว่าว่าใครกันเมืองเก่าการเมืองใหม่อย่างแน่นอน เพราะยุทธภูมิของเราทำงานแบบ ล่างขึ้นบนในขณะที่ส่วนใหญ่ทำแบบบนลงล่าง คนที่ต้องกังวลคือคนทำงานการเมืองแบบบ้านใหญ่ใช้กลไกข้าราชการเดินเกมการเมืองมากกว่า คนที่การเมืองแบบล่างขึ้นบน อย่างพรรคประชาชน ปัญหาอยู่ที่ โฟกัสตัวเอง โฟกัสตัวเอง อย่างพรรคประชาชนต้องแก้ปัญหาของตัวเองหาแคนดิเดตให้ดี หายุทธศาสตร์ให้ดีสื่อสารทางการเมืองให้มากขึ้น ไม่ต้องสนใจโพล หรือสถิติก็ขอให้มีสมาธิ” นายพิธากล่าว
.
เมื่อถามว่าพรรคประชาชนถูกมองว่าเป็นพรรคฝ่ายค้ำจะกู้ภาพลักษณ์ได้อย่างไรนั้น นายพิธา ย้ำว่า ไม่ใช่ฝ่านค้ำอย่างแน่นอน และจะกู้ภาพลักษณ์ได้คือการทำงานอย่างต่อเนื่อง แต่จะตัดสินใจอย่างไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับพรรคประชาชน แต่ตนเองรู้สึกติดใจกับคำสัมภาษณ์ของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ที่บอกว่าไม่ได้รับการติดต่อมาและอาจจะติดต่อ vvip อยู่ขนาดนั้น อาจทำให้เริ่มเข้าใจการตัดสินใจได้ และในตอนที่ตนเองเคยเป็นผู้ชนะเลือกตั้ง และเป็นอดีตแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเบอร์หนึ่ง ก็ยังรู้สึกได้ถึงการประวิงเวลา
.
แม้การตัดสินใจของพรรคประชาชนอาจไม่สมบูรณ์ตนเองก็พอเข้าใจได้ ตอนนี้ผ่านไปแล้วกลับไปแก้อะไรไม่ได้ ทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบรัฐบาลเฉพาะกิจชุดนี้ให้ได้มากที่สุด และคอยเตือนนายกรัฐมนตรีตลอดเวลาว่าเป็นนายกรัฐมนตรีเฉพาะกิจ ที่มาจากอำนาจเฉพาะกิจเพื่อภารกิจเฉพาะกิจ
.
ช่วงท้ายนายพิธาแซวนายอนุทินด้วยว่า “ซักผ้าเสร็จแล้ว กลับมาตอบคำถามสื่อมวลชนด้วย
.

.
พิธา งง ทำไม รบ.ไม่ใช้กลไกสภา ปมยกเลิกMOU แทนทำประชามติ ถาม รมต.คนไหนเห็นด้วยบวรศักดิ์ บ้าง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5406008
.
พิธา งง ทำไม รบ.ไม่ใช้กลไกสภา ปมยกเลิกMOU แทนทำประชามติ ถาม รมต.คนไหนเห็นด้วยบวรศักดิ์ บ้าง แนะนายกฯ ประชุมอาเซียน วางจุดยืนกำหนดอนาคตตนเอง ไม่ต้องให้ประเทศอื่นชักจูง
.
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเตรียมเดินหน้าจัดให้มีการออกเสียงประชามติถามประชาชนว่า เห็นควรให้ยกเลิกข้อตกลง MOU43-44 ระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้ง 2 ฉบับหรือไม่ ว่า ต้องตั้งคำถามกลับไปว่า ทำไมเรื่องนี้จึงใช้กลไกของรัฐสภาไม่ได้ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ฟังที่ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ใช้กลไกของสภาฯ ถามกระทู้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งก็คิดว่าตอบยาก เพราะต้องหาความเข้าใจร่วมกันในคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อน
.
นายพิธา กล่าวต่อว่า เข้าใจว่าเป็น นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ที่เป็นคนโยนประเด็นขึ้นมา และไม่แน่ใจว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเห็นด้วยหรือไม่ แต่กระทรวงการต่างประเทศก็เริ่มสื่อสารเปรียบเทียบข้อดีข้อเสีย หรือข้อเท็จจริงของ MOU ทั้ง 2 ฉบับเป็นอย่างไร
.
นายพิธา กล่าวว่า เรื่องที่หนึ่ง ในระดับมหภาค รัฐบาลต้องชี้แจงกันให้ชัดว่า เรื่องแบบใดใช้กลไกรัฐสภา โดยการประชุมลับ เรื่องแบบใด จึงทำประชามติ เพราะถ้าสมมติเป็นเรื่องสุดโต่งแล้วถามประชามติหมดเลย สุดท้ายแล้วกลไกรัฐสภาไม่ต้องมีเลยใช่หรือไม่ ญัตติไม่ต้องยื่นแล้วหรือไม่ ไม่ต้องมีกรรมาธิการในการศึกษาแล้ว
.
ดังนั้น เรื่องแรกระดับมหภาค ต้องบอกให้ได้ว่า เงื่อนไขของรัฐบาลชุดนี้คิดอย่างไร เงื่อนไขไหนที่ใช้กลไกรัฐสภาในการหาทางออกให้กับประเทศ กลไกไหนใช้ประชามติ ไม่เช่นนั้นก็จะลักลั่นกันแบบนี้ตลอดไป” นายพิธากล่าว
.
นายพิธากล่าวว่า เรื่องที่สอง ระดับจุลภาค คือความเป็นเอกภาพสมานฉันท์กันของ ครม. ว่าสิ่งที่ นายบวรศักดิ์ พูดนั้น รัฐมนตรีคนอื่นที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยหรือไม่
.
ส่วนข้อกังวลว่า อาจจะเป็นการเปิดเผยความลับของประเทศให้กัมพูชารู้หรือไม่ นายพิธากล่าวว่า เพราะเหตุนี้จึงมีการประชุมลับ เพราะเรื่องแบบนี้มีวิธีการแก้ไขปัญหาได้หลายสัดส่วน มีการทำให้ประชาชนได้รับความเข้าใจหลายสัดส่วน ก็ควรที่จะเบาไปหาหนัก ไม่ใช่เริ่มต้นที่การทำประชามติเลย
.
สำหรับข้อกังวลว่าข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติจะออกสู่สาธารณะมากขึ้นนั้น นายพิธาระบุว่า นั่นคือเรื่องของการรณรงค์ในการทำประชามติ แน่นอนว่าเราไม่สามารถเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับอธิปไตยของชาติ แต่หากมีการประชุมในกรรมาธิการ มีการยื่นญัตติ หรืออย่างที่สุดคือเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ก็มีกลไกการประชุมลับอยู่ ก็สามารถรักษาสัดส่วนระหว่างความมั่นคงของชาติ และความเข้าใจของประชาชนได้เป็นอย่างดี
.
เมื่อถามว่า มองอย่างไรหาก ครม. ใช้อำนาจในการยกเลิก MOU โดยตรง นายพิธาตอบว่า ก็ต้องมาตอบคำถามของตนเองในข้อแรกว่า ใช้เงื่อนไขไหนมาบอกว่า เรื่องนี้ทำประชามติ เรื่องนี้ใช้รัฐสภาแก้ไข
.
แต่ผมยังหาเกณฑ์ชี้วัดตรงนี้ไม่เจอ ในหัวพอมีคิดอยู่บ้าง แต่อยากจะฟังจากทาง ครม. และนายกรัฐมนตรีก่อนว่าอย่างไร” พิธากล่าว
.
ขณะที่การประชุมสุดยอดอาเซียนที่จะถึงนี้ ซึ่ง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อาจมาร่วมด้วยนั้น นายกรัฐมนตรีควรมีจุดยืนอย่างไรในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา นายพิธาระบุว่า เรื่องนี้มีความละเอียดอ่อน ถ้าเรานำอธิปไตยและมนุษยธรรมของประเทศมาเป็นที่ตั้ง และทำงานย้อนกลับมาว่า จะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดความผาสุกของพี่น้องประชาชนในระยะยาวได้บ้าง โดยที่เราสามารถกำหนดอนาคตของเราเองได้ โดยไม่ให้ประเทศไหนมาผลักหรือชักจูงเราได้ คิดว่าตรงนั้นน่าจะเป็นจุดยืนที่สำคัญ
.
ส่วนกรณีที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอตัวเป็นตัวกลางเจรจาระหว่างไทยและกัมพูชานั้น นายพิธากล่าวว่า ถ้ามองเป็นสถานการณ์ภาพรวม ตอนนี้ก็มีเรื่องอิสราเอล-ปาเลสไตน์ อยู่ รวมถึงเรื่องรัสเซีย-ยูเครน จึงคิดว่าต้องดูเกมยาวหน่อย ว่าในระยะยาวสิ่งที่เกิดขึ้นยุติธรรมกับทุกฝ่ายหรือไม่ และยังคงไว้ซึ่งอำนาจของแต่ละประเทศหรือไม่ ซึ่งไทยและกัมพูชาก็เป็นจุดที่มีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์หนึ่งที่เกิดขึ้น อินเดีย-ปากีสถาน ก็เป็นอีกที่หนึ่ง เราก็ต้องดูในระยะยาว และกำหนดยุทธศาสตร์ของประเทศไทยเป็นสิ่งสำคัญ
.
ถ้าเรามียุทธศาสตร์ของเราเป็นตัวตั้ง จุดแข็ง จุดอ่อน ขีดจำกัด โอกาสของเรา ที่เป็นหนึ่งในอาเซียน เศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก สามารถจะเป็นสะพาน หรืออำนาจขนาดกลางที่สามารถเชื่อมโยงสู่ระเบียบของโลกใหม่ได้อย่างไรบ้าง ถ้าเรารู้ว่าเราต้องการอะไร เจอปัญหาอะไรก็จะง่าย แต่ถ้าเราไม่รู้อะไร ก็จะโดนโยนไปโยนมาอย่างที่เคยเป็นมา” นายพิธากล่าว
.

.
ทบ.ชี้คลิปจริง ทหารเขมรลอบตัดรั้วลวดหนาม ห่างปราสาทตาควาย 3 กม. หลักฐานชัดละเมิดข้อตกลงต่อเนื่อง
https://www.matichon.co.th/politics/news_5406307
.
ทบ.ชี้คลิปจริง ทหารเขมรลอบตัดรั้วลวดหนาม ห่างปราสาทตาควาย 3 กม. หลักฐานชัดละเมิดข้อตกลงต่อเนื่อง สวนทางคำพูด
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม จากกรณีเฟซบุ๊กเพจ “ส่องเขมร” โพสต์คลิปพร้อมข้อความระบุว่า
.
“เมื่อวันที่ 05/10/68 ทหารเขมรประจำจุดแนวรบพื้นที่ปราสาทตาควาย ลงคลิปตัดลวดหนามหีบเพลงออก แต่แอดไม่แน่ใจว่าเป็นคลิป ภาพใหม่หรือเก่าที่นำมาลง”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่