ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกท่านที่สละเวลานะคะ
ขอเริ่มเล่าเลยแล้วกัน เราเพิ่งทำงานที่บริษัทนึงได้ไม่นาน ซึ่งเป็นงานใกล้บ้านมากๆแบบที่เราอยากได้ ในที่ทำงานมีคนอยู่ 8 คน แบ่งเป็น 4 ส่วน 4 ห้องค่ะ ห้องละ 2 คน ภาระงานทั้งหมดเป็นงานที่ไม่ต้องพบปะลูกค้า ทำแค่ส่วนหลังบ้านค่ะ แรกๆสำหรับอินโทรเวิร์ตอย่างเรามันก็ดีเลย เราพอใจนะ
แต่มาวันนึงเราได้อยู่ห้อง 2 ค่ะ และดันถูกพี่คนนึงที่อยู่ด้วย ขอแทนว่า A (อายุเยอะกว่าเรา 20 กว่าปี) เข้าใจผิดว่าเราใส่อารมณ์และต่อว่าการทำงานของเขาค่ะ ซึ่งจริงๆมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย (ขอไม่ลงรายละเอียดนะคะ มันยาวมาก) เราพยายามจะอธิบายแบบไม่โทษเขา พยายามต่อกันให้ติดกับเขา แต่เขาก็ไม่ฟังจนจบค่ะ พูดขัดขึ้นมาก่อนเสมอ ทำนองว่า ไม่ต้องพูดหรอก เราทำงานเข้ากันไม่ได้ + เดี๋ยวชั้นก็ไม่ได้มาทำฝั่งนี้แล้วจ่ะ!! — ซึ่งเรายิ่งไม่ใช่คนชอบไปปะทะอารมณ์กับใคร แบบถ้าเรารู้ว่าเราอารมณ์ไม่ดี หรือไม่มีคำพูดดีๆจะตอบเขา เราก็จะไม่ตอบเลย เราก็เลยเงียบค่ะ
หลังจากนั้น 1 สัปดาห์ เขาก็หน้าบึ้งตลอดตอนเจอเราค่ะ เราก็ไม่กล้าทัก ไม่กล้าคุยกับแก แบบไม่อยากเจออะไรท้อกซิกด้วยอ่ะค่ะ ไม่อยากโดนตวาดอีก เราไม่อะไรนะถ้าไม่คุยเล่นกันเลย เราอยู่ได้ค่ะ เราคุยแค่ตอนทำงาน และไม่กระทบสิ่งที่ถูกจ้างมาทำแน่นอน
และวันนึงเราก็ได้รู้จากเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆค่ะว่าพี่เขาเอาเราไปพูดนินทาให้ทุกคนฟังหมดเลย เราก็ช็อคมากค่ะ พี่ B (ผู้จัดการ) ก็บอกเราว่า โอ้ย มีเรื่องไรที่นี่ก็รู้กันหมดแหละ ข่าวมันมาไวนะจ๊ะ — จากที่เรากำลังจัดการตัวเองได้ เราก็รู้สึกแย่เลยค่ะ วันเดียวกันนั้นก็เจอคนพูดที่เข้าข่ายบูลลี่ ล้อการทำงานของเรามห้เราเสียความมั่นใจก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีค่ะ
เรากลับมาร้องไห้ เครียด วันหยุดก็คิดวนแต่เรื่องนี้ คือบอกตรงๆว่าเราไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย เราเข้าใจว่านินทามันมีอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้อยากรับรู้ค่ะ เรารู้สึกตันมาก จนวันทำงานวนมาอีกครั้งเราทนไม่ไหวเลยโทรหาพี่เจ้าของร้านค่ะ เขาเป็นคนที่รับเราเข้าทำงาน
เขาก็รับฟังดีค่ะ พูดกับเราแบบใจเย็น ทำนองว่าการทำงานมันเจอคนหลายแบบก็ต้องอดทน ชมว่าเรามืออาชีพ มีมายเซ็ตที่ดีนะ คนแบบนี้เติบโตได้ บางทีคนที่พูด (หมายถึง A) เขาอาจไม่ได้คิดอะไร รู้สึกก็พูดออกมาเลย ไม่เก็บไปคิด พี่ว่าตรงนี้มันก็เป็นข้อดีนะ เราก็ต้องหาทางอยู่ร่วมให้ได้
เราก็พูดเรื่องบูลลี่ค่ะ เรื่องนี้แบบเราคิดว่าเขาคงอยากสนิทกับเรามากขึ้นเลยแซวบ้างหรือเปล่า แต่เราบอกเขาตามตรงว่าคิดว่ามันคือการบูลลี่ค่ะ แกก็บอกอือ ก็ใช่นะ แต่เขาอาจไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น พี่เข้าใจว่าหนูเสียใจมากเพราะเราทำงานที่อื่นมาเราไม่เคยเจอแบบนี้ แต่คนไม่เคยเจอมันก็ต้องเจอบ้าง มันถึงจะเติบโตได้อ่ะ เราก็รับฟังแกค่ะ คือพยายามเปิดใจ วันนั้นก็ปรึกษาเสร็จด้วยดีค่ะ เราก็ได้กำลังใจและแนวทางมานิดหน่อย
พี่เจ้าของร้านเข้ามาวันถัดมาค่ะแล้วก็ไปคุยกับพี่ A ด้วย และก็เดินมาหาหนูและบอกหนูว่า อดทนนะน้อง พี่ไปคุยมาแล้วพี่ B เขาไม่ได้คิดอะไร เราก็ต้องอดทนน่ะ คือโลกมันไม่ได้สวย *หัวเราะ* เราก็พยักหน้ารับฟังค่ะ เพราะตอนนั้นมีเพื่อนร่วมงานคนอื่นในห้องด้วย ถึงจะอึ้งๆหน่อยๆที่แกมาพูดแบบไม่ 1:1 และใช้คำนั้น คือในใจเราเรารู้สึกว่ามันสวยได้ค่ะ ถ้าทุกคนให้เกียรติและมีวุฒิภาวะประมาณนึง ไม่ใช่เรามีอยู่คนเดียว
ใดๆคือที่เรายังไม่ออกเพราะมันใกล้บ้านเนี่ยแหละค่ะ แต่หลังจากเรื่องนี้มันก็คล้ายกับคำว่ายิ่งอยู่ยิ่งรู้ว่าแต่ละคนเป็นยังไง อย่างที่บอกว่าที่ทำงานมี 4 ห้อง เราก็ได้เวียนไปมาจนไม่แม่นหรืออาจมีลืมในงานฝั่งที่ไม่ได้ไปบ่อยๆได้ค่ะทุกคน
วันนึงเราได้ไปทำห้องที่ยังไม่แม่น ยอมรับต้องรื้อฟื้นความจำ(สิ่งที่ไม่ได้ทำเมื่อ20วันก่อนค่ะ)มากๆเลย เราก็ได้รู้ว่าเพื่อนร่วมงานบางคนที่นี่ไม่มี empathy ให้น้องใหม่ คือหงุดหงิดใส่ที่เราทำบางงานยังไม่เป็น หรือไม่รู้จักบางตัว(เพราะไม่มีใครบอกแต่แรกด้วยค่ะว่ามี) พอเราจะขอทำสิ่งที่ไม่เคย เพราะมันไม่มีงานอื่น มีเวลาที่เขาจะสามารถสอนเราทำได้ เขาบอกว่า ไม่ต้องหรอก แล้วไปทำเอง
และได้อยู่กับทุกคนมากขึ้นได้รู้ว่าสังคมรวมๆเป็นแบบนี้ค่ะ
สังคมนินทา: เราเจอเรื่องอ่อนไหว กระทบกระเทือนจิตใจจนร้องไห้ก็เอาไปพูดกันและคนที่ไม่เห็นเหตุการณ์เอามาล้อเราเป็นเรื่องตลก
สังคมบูลลี่: ว่าเราอ้วน ก้นใหญ่ (สดๆร้อนๆ) / เคยมีวันนึงกินเลี้ยงนั่งกินข้าวด้วยกันทุกคน บูลลี่จัดๆเลยค่ะ ทุกคนว่ากันเองหมด ดูยิ้มดูตลกกันดี เราอึดอัดมากึงจะไม่ได้โดนในตอนที่นั่งกินด้วยแต่ก็ไม่กล้าลุก
บรรยากาศไม่ดีแบบหลายๆครั้งใน 1 วัน: มีคนขี้บ่น ชอบบ่นเสียงดังๆ ใช้น้ำเสียงกระโชกโฮกฮ้ากตอบเราทั้งที่เราถามเรื่องงานด้วยน้ำเสียงปกติ หลายคนชอบพูดคำหยาบตอนไม่พอใจอะไรสักอย่าง และมีการต่อว่ากันว่าอีกเพื่อนร่วมงานอีกคนเป็นประสาท
ทุกวันนี้ผ่านมา 1 เดือน เรารู้สึกว่าทำงาน 8 ชม. หน้างานเราเจออะไรเราพยายามปล่อยเขาไป (let them) แต่ท้ายที่สุดมันก็หอบความเครียด คำพูดไม่ดีๆกลับมาบ้านด้วยค่ะ มันชอบขึ้นมาในหัว กลายเป็นว่าเราต้องมานั่งจัดการตัวเองเป็นชั่วโมงๆ กินเวลาชีวิตส่วนตัว ทำให้เบิร์นเอ้า ปวดหัว กระทบสุขภาพกายและใจ ไม่มีแรงทำอยางอื่นหรือสร้างสรรสิ่งดีๆให้ตัวเอง สะสมยาวมาเป็นเดือน
เอาตรงๆเราว่าเราอยู่ได้นะ มันก็มีช่วงที่สบายๆได้พักในเวลางาน แต่เราก็ไม่อยากมานั่งจัดการตัวเองแบบนี้ทุกวันเหมือนกัน ไม่อยากเป็นซึมเศร้า (แต่คิดว่าเป็นแล้วหน่อยๆจากอาการที่เราบอกเพื่อนๆเลย ยังจัดการได้บ้างไม่ได้บ้างก็ตามความรุนแรงของสิ่งที่เจอ คำที่เจอในวันนั้นๆน่ะค่ะ) และเราก็ไม่อยากกลายเป็นคน toxic ไปด้วย: การที่ให้เราพูดออกไปบ้างหรือเห็นข้อดีของคนที่อยากพูดไรก็พูด(ตามที่เจ้าของร้านบอก) มันไม่ใช่ ไม่ใช่ตัวเราด้วย เราไม่ต้องการก้าวหน้ามากนะคะ แบบชนะคนอะไรทำนองนั้น เราแค่อยากได้เงินเดือนพอใช้ งานที่เป็นความสบายใจ ความสุขระยะยาว ต้องการ work life balance มากกว่าค่ะ แต่งานนี้กำลังกระทบเวลาชีวิตเรามากๆเลย
จริงๆสัญชาตญาณบอกให้หลายครั้ง แต่เราก็ยังลังเล ด้วยองค์ประกอบหลายๆอย่างด้วย มันจะเป็นแบบนี้ค่ะ–วันนึงคิดว่าจะออก แต่พออีกวันไปทำงานทุกๆอย่างมันก็โอเค สบายใจค่ะ อาจเพราะไม่เจอคนพูดแย่ๆด้วยในวันนั้น แต่พฤติกรรมท็อกซิกก็วนกลับมาอีกเพราะมันไม่ได้รับการแก้ไขปรับปรุงค่ะ กลายเป็นเราต้องทนเองปรับเอง
ทุกวันนี้หลังเลิกงานก็เศร้า ก่อนไปทำงานก็คิดมาก ไม่อยากไป ตื่นมาก็ dread ค่ะ มองตัวเองในกระจก ไม่เห็นแววความสุข เราก็สวยเหมือนเเดิมนะแต่เราไม่เปล่งประกายน่ะค่ะ เห็นแค่ความเหนื่อย ความล้าจากเรื่องคนที่ทำงาน–นี่ยิ่งทำให้ เราสงสารตัวเองมากๆ ทนมองภาพสะท้อนตัวเองไม่ได้เลย
เพื่อนๆคิดเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ หรือถ้ามีแนวทางการปรับตัว วางตัวยังไงให้ไม่ทุกข์เท่านี้บอกกันได้เลยนะคะ ขอบคุณค่ะ
เราควรออกจากงานมั้ยคะ