
.
‘ผู้นำฝ่ายค้านฯ’ จี้ ‘รมว.กต.’ ถามจุดยืนเลิกเอ็มโอยู 43-44 เป็นประโยชน์จริงหรือไม่ แนะ เบรกฝ่ายการเมืองเกาะกระแสชาตินิยม ด้าน ‘สีหศักดิ์’ แจงบอกสัปดาห์หน้า ‘บวรศักดิ์’ นัดหารือกรอบและแนวทางทำประชามติ ยันพร้อมให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์ในวงประชุมรัฐบาล ลั่น หากชัดเจนแล้วจะกลับมาชี้แจง
.
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 9 ตุลาคม 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา ของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ถาม นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เรื่องการจัดทำประชามติยกเลิกเอ็มโอยู 2543 และ เอ็มโอยู 2544
.
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ช่วงปลายเดือนที่ผ่านมาที่นายสีหศักดิ์เคยให้สัมภาษณ์ว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้ในการจัดการเรื่องต่างประเทศ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานความมั่นคง และทหาร จะเน้นหลักในเรื่องเอกภาพในการดำเนินนโยบาย ดังนั้น วันนี้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาตอบกระทู้ถามสด ตนอยากเน้นย้ำว่า ท่านกำลังจะตอบกระทู้ถามสด ในฐานะตัวแทนของรัฐบาล ไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัวของท่าน หรือความคิดเห็นในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งผลสำรวจนิด้าโพล ที่มีการจัดทำสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 1,300 กว่าคน พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจประมาณ 69 เปอร์เซ็นต์ ยังมีความไม่มีความเข้าใจในเรื่องรายละเอียดในเอ็มโอยู 43 และ 44 แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสำรวจในกลุ่มเดียวกันประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ตอบแบบสำรวจว่า ก็อยากจะให้มีการจัดทำประชามติสอบถามความคิดเห็นประชาชนในเรื่องนี้ว่า ตกลงจะยกเลิกหรือไม่อย่างไร
.
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่มาที่ไปเนื่องจากการแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีการพูดชัดเจนในที่ประชุมรัฐสภาว่า จะมีบัตรทั้งหมด 4 ใบ ได้แก่ใบที่ 1 เลือกส.ส.เขต ใบที่ 2 คือเลือกบัญชีรายชื่อ บัตรใบที่ 3 คือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และใบที่ 4 เป็นการสอบถามประชาชนเรื่องการยกเลิกเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ แม้การจัดทำประชามตินั้น เป็นกลไกที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตยที่ตนเชื่อว่าเป็นหัวใจที่สำคัญในการเปิดโอกาสให้กับประชาชนได้ใช้อำนาจทางตรงในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ของประเทศ อย่างไรก็ตาม การจัดทำประชามติจะสะท้อนเจตนารมณ์และเจตจำนงของประชาชนได้นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือเรื่องของกระบวนการในการจัดทำประชามติที่ต้องมีการรณรงค์อย่างเปิดกว้าง ให้ข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อให้ประชาชนเข้าใจอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะไปออกเสียงในคูหาในการออกเสียงประชามติ
.
กรณีนี้ ทำให้ประชาชนเห็นข้อมูลอย่างชัดเจนว่า หากยกเลิกเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับแล้ว จะส่งผลอย่างไรต่อการจัดการข้อพิพาทระหว่างไทยกัมพูชา ไทยจะได้หรือเสียเปรียบอย่างไร ซึ่งในมุมมองตนคือแทบจะเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะรณรงค์เรื่องนี้ ให้ประชาชนรับทราบข้อมูล ทั้งข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบ จากการยกเลิกเอ็มโอยู 43 และ 44 โดยที่ไม่ทำให้ฝ่ายกัมพูชาล่วงรู้ได้ ซึ่งข้อกังวลของตนที่มาถามคือ เอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับนั้น มีสาระสำคัญในเรื่องของการปักปันเขตแดนทางบก และเรื่องการบริหารผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย และกัมพูชา
.
นายณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า ซึ่งข้อมูลจำนวนมากเป็นข้อมูลที่บ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยจะได้เปรียบและเสียเปรียบในประเด็นใดบ้าง ที่สภาฯ ต้องประชุมลับในช่วงที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้ฝ่ายกัมพูชารู้ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ ฉะนั้น ตนจึงขอคำถามไปยังนายสีหศักดิ์ว่า ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติมีบทบัญญัติไว้ว่ามาตรา 14 วรรค 3 การออกเสียงประชามติต้องไม่เป็นการชี้นำ และมาตรา 15 (5) คือการออกเสียงประชามติรัฐบาลและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องให้รายละเอียดอย่างรอบด้าน ซึ่งหมายถึงข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของไทยที่มีต่อกัมพูชา และตามพ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 16 รัฐบาลและกกต.ต้องมีการจัดแสดงความคิดเห็นและความเห็น ทางสถานีวิทยุ และโทรทัศน์เวทีสาธารณะอย่างทั่วถึง ซึ่งรายละเอียดจำนวนมากที่ประชาชนจำเป็นต้องใช้ประกอบการตัดสินใจ เช่น ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของไทยที่มีต่อกัมพูชา คำถามคือรัฐบาลมีแผนในการดำเนินการจัดทำประชามติอย่างไร เพื่อไม่ให้การออกเสียงประชามติ ยกเลิกเอ็มโอยู ทั้ง 2 ฉบับนี้ขัดต่อพ.ร.บ.ประชามติ ที่ในกฎหมายได้กำหนดอย่างชัดเจน โดยที่กัมพูชาไม่สามารถที่จะรู้ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของประเทศไทย
.
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ตามพ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 15 (5) มีบทบัญญัติเพิ่มเติมว่า รัฐบาลและกกต.จะต้องให้ข้อมูลในส่วนของมาตรการในการป้องกัน แก้ไข และเยียวยาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น หากมีการดำเนินการตามผลประชามติ คือหากมีการยกเลิกเอ็มโอยู 43 และ 44 จริง เกิดผลประชามติออกผลมาเป็นแบบนี้จริง รัฐบาลจะต้องให้ข้อมูลแก่ประชาชนก่อนวันออกเสียงประชามติว่า หากมีการยกเลิก มีมาตรการในการป้องกันเยียวยาความเสียหายอย่างไร เช่น เอ็มโอยู 43 เรื่องการปักปันเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชาทางบก วันนี้รัฐบาลมีมาตรการหรือกลไกอื่นใดที่ดีกว่าเอ็มโอยู 43 ในการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างไทยและกัมพูชาหรือไม่ เพื่อรองรับผลกระทบหากมีการยกเลิกเอ็มโอยูฉบับนี้ และเอ็มโอยู 44 รัฐบาลมีวิธีการหรือมาตรการใด ในการป้องกันไม่ให้เอกชนที่เขาได้เซ็นสัญญาลงนามสัมปทานการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนทางระหว่างไทยและกัมพูชา ไม่ให้เอาเรื่องไปฟ้องกับอนุญาโตตุลาการเรียกค่าเสียหายกับรัฐบาลไทย หากมีการยกเลิกเอ็มโอยู 44 ดังนั้น มาตรการในการป้องกันเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอีกด้านหนึ่งจากการยกเลิกเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ รัฐบาลเตรียมการไว้อย่างไรบ้าง
.
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติตนเชื่อว่า หากจะรณรงค์ในเรื่องนี้ผ่านเวทีสาธารณะ และให้ข้อมูลแบบรอบด้านจริงๆ โดยที่ไม่ให้ฝ่ายกัมพูชาล่วงรู้ยากมาก แทบจะเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ซึ่งตนอยากจะถามว่า หากท่านยังจะดึงดัน เดินหน้าการจัดทำประชามติด้วยกระบวนการแบบนี้ที่อาจจะสุ่มเสี่ยงว่าขัดต่อกฎหมาย และอาจจะมีผู้ร้องไปร้องว่า กระบวนการจัดทำประชามติแบบนี้ ให้ข้อมูลไม่รอบด้าน ไม่ได้ให้ข้อชี้แจงในเรื่องของมาตรการ การป้องกันเยียวยาตามกฎหมาย และให้การจัดทำมติเป็นโมฆะ หรือสิ้นผลไป ท่านยังจะเดินหน้าต่อจริงหรือไม่ หรือจริงๆ แล้วรัฐบาลใช้กลไกอื่นตัวแทนของรัฐบาลในสภาฯ กลไกแบบนี้หรือไม่ที่อาจเป็นทางออกที่ดีกว่าการออกเสียงประชามติซึ่งรัฐบาลได้ใช้กลไกเหล่านี้ได้ศึกษาอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะส่งให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจตัดสินใจหรือไม่ ทั้งนี้ ตนขอถามความเห็นมุมมองของรัฐบาลคือ ในฐานะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นตัวแทนของรัฐบาลว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่ารัฐบาลควรจะต้องยกเลิกเอ็มโอยู 43 และ 44
.
“พวกเราทุกคนสิ่งที่ต้องการคือต้องการผลประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย แต่สิ่งที่เราไม่ต้องการคือการใช้ประเด็นเรื่องนี้เอามาเรียกกระแสต่างๆ และอาจทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด ที่เราไม่สามารถกลับมาแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งสิ่งที่จะนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดคือกัมพูชาล่วงรู้ข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบหมด สุดท้ายกัมพูชาเอาเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโลกได้ ผมทราบดีว่ารัฐมนตรีรู้ว่าอะไรคือทางออกที่ถูกต้อง เพียงแต่วันนี้ท่านอยู่ในคณะรัฐมนตรี จึงทำให้ท่านอุปสรรคบางอย่างที่ท่านตอบผมไม่ได้ตรงๆ แต่สิ่งที่ผมอยากคาดหวังคือในขณะที่คนไทยกำลังคาดหวังระบบการเมืองที่ดีที่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ เป็นนักการทูต แบบท่านที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ได้มาจากการ เจรจาต่อรองโควต้าตำแหน่งทางการเมืองเพียงอย่างเดียว
.
“สิ่งที่ผมอยากได้ยินจากรัฐมนตรีตอบ อยากได้คำยืนยันจากท่าน ในฐานะที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีคำพูดที่มีน้ำหนักแน่นอน ในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ยืนยันออกมาดังๆ ได้หรือไม่ ตอบในฐานะการทูตว่าเห็นด้วยจริงๆหรือ ที่จะมีการยกเลิกเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ ท่านเห็นด้วยจริงๆหรือว่า การจัดทำประชามตินั้น เป็นกระบวนการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ หรือ ถ้าท่านไม่เห็นด้วยหรือถ้าท่านไม่สามารถตอบอย่างชัดเจน ขอคำยืนยันได้หรือไม่ว่า ท่านจะเข้าไปนำเสนอข้อคิดเห็นของท่าน ในฐานะที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อที่จะเบรกฝ่ายการเมืองที่เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมืองเพื่อใช้กระแสชาตินิยมเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ ผมต้องการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยืนยันเจตจำนงเรื่องนี้ในสภาผู้แทนราษฎร” นายณัฐพงษ์ กล่าว
.
ด้าน นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกที่ตนได้มาตอบกระทู้ในสภาฯ และยินดีที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา เพราะเชื่อว่าการดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่ดี เราต้องเปิดกว้างฟังความเห็นของทุกฝ่ายโดยเฉพาะจากฝ่ายค้าน สำหรับเรื่องของเอ็มโอยูเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นเรื่องของอธิปไตยเขตแดน ฉะนั้น ประชาชนน่าจะได้มีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นว่า เราจะดำเนินการ และจัดทำประชามติอย่างไรอย่างไรก็ตาม เราต้องดำเนินการและรับฟังเสียงของสังคมด้วยความรอบคอบ ทุกมิติ อีกทั้งในสภาฯ ก็มีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) เพื่อพิจารณาเรื่องการยกเลิกเอ็มโอยูด้วย ตนคิดว่า เป็นเรื่องที่ดีที่เรามีการอภิปรายเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง
.
ย้ำว่า เรื่องของการทำประชามตินั้น เหมือนที่นายณัฐพงษ์ ตั้งข้อสังเกตว่า มีอะไรที่เราต้องคำนึงถึงบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ต้องนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะ การให้ข้อมูลข่าวสาร การเยียวยา หรือภาคเอกชนก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องคำนึงถึง โดยเราจะต้องพิจารณาถึงเรื่องต่างๆ เหล่านี้ให้ดี โดยในสัปดาห์หน้า นายบวรศักดิ์ จะมีการประชุมเพื่อดูว่าขั้นตอน และรูปแบบวิธีการดำเนินการเกี่ยวกับการทำประชามติ ควรทำกันอย่างไร ทั้งนี้ สิ่งที่ นายณัฐพงษ์แสดงความคิดเห็น ตนมองว่า เป็นประโยชน์ และเราจะได้นำไปหารือกันในเรื่องรายละเอียด โดยพยายามคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ซึ่งหลังจากที่ประชุมกันแล้ว ได้ผลสรุปว่า เราจะดำเนินการอย่างไร มีแผนการอย่างไร ตนจะมาชี้แจงต่อที่ประชุมอีกครั้ง
.
นายสีหศักดิ์ กล่าวต่อว่า การจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทำประชามติว่า อาจจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิก ต้องทำด้วยความรอบคอบและต้องมีความชัดเจนว่า หากไม่มีเอ็มโอยูแล้ว เรามีอะไรเป็นทางเลือก เพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของประเทศได้รับผลกระทบหรือได้รับความเสียหาย ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมีประชามติ โดยไม่มีการเตรียมการหรือแผนรองรับ โดยในส่วนนี้กระทรวงการต่างประเทศ เราเห็นความสำคัญว่าควรจะมีแผนการรองรับในเรื่องดังกล่าวว่า หากไม่มีเอ็มโอยูแล้ว อะไรคือทางเลือกของเราที่จะปกป้องรักษาผลประโยชน์ของเรา ส่วนเรื่องเยียวยา ตนคิดว่ามีรายละเอียดมาก แต่เราก็ต้องคิดว่าอะไรที่เป็นสิทธิอันชอบธรรม และเกิดจากผลกระทบหากมีการยกเลิกเอ็มโอยู เราต้องมีการเยียวยากับผู้ที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากสิทธิอันชอบธรรมของเขา
JJNY : เท้งบี้ถามจุดยืนรมว.กต.│ส.ส.ปชน.ประณามศักดิ์ดา-สส.เพื่อไทย│วอนแก้ปัญหาปลาหมอคางดำจริงจัง│คลังยัน!ไม่ส่งให้สรรพากร
https://www.matichon.co.th/politics/news_5404052
.
‘ผู้นำฝ่ายค้านฯ’ จี้ ‘รมว.กต.’ ถามจุดยืนเลิกเอ็มโอยู 43-44 เป็นประโยชน์จริงหรือไม่ แนะ เบรกฝ่ายการเมืองเกาะกระแสชาตินิยม ด้าน ‘สีหศักดิ์’ แจงบอกสัปดาห์หน้า ‘บวรศักดิ์’ นัดหารือกรอบและแนวทางทำประชามติ ยันพร้อมให้ความเห็นที่เป็นประโยชน์ในวงประชุมรัฐบาล ลั่น หากชัดเจนแล้วจะกลับมาชี้แจง
.
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 9 ตุลาคม 2568 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา ของ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ถาม นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เรื่องการจัดทำประชามติยกเลิกเอ็มโอยู 2543 และ เอ็มโอยู 2544
.
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ช่วงปลายเดือนที่ผ่านมาที่นายสีหศักดิ์เคยให้สัมภาษณ์ว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้ในการจัดการเรื่องต่างประเทศ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานความมั่นคง และทหาร จะเน้นหลักในเรื่องเอกภาพในการดำเนินนโยบาย ดังนั้น วันนี้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาตอบกระทู้ถามสด ตนอยากเน้นย้ำว่า ท่านกำลังจะตอบกระทู้ถามสด ในฐานะตัวแทนของรัฐบาล ไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัวของท่าน หรือความคิดเห็นในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งผลสำรวจนิด้าโพล ที่มีการจัดทำสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 1,300 กว่าคน พบว่า ผู้ตอบแบบสำรวจประมาณ 69 เปอร์เซ็นต์ ยังมีความไม่มีความเข้าใจในเรื่องรายละเอียดในเอ็มโอยู 43 และ 44 แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ตอบแบบสำรวจในกลุ่มเดียวกันประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ตอบแบบสำรวจว่า ก็อยากจะให้มีการจัดทำประชามติสอบถามความคิดเห็นประชาชนในเรื่องนี้ว่า ตกลงจะยกเลิกหรือไม่อย่างไร
.
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่มาที่ไปเนื่องจากการแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีการพูดชัดเจนในที่ประชุมรัฐสภาว่า จะมีบัตรทั้งหมด 4 ใบ ได้แก่ใบที่ 1 เลือกส.ส.เขต ใบที่ 2 คือเลือกบัญชีรายชื่อ บัตรใบที่ 3 คือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และใบที่ 4 เป็นการสอบถามประชาชนเรื่องการยกเลิกเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ แม้การจัดทำประชามตินั้น เป็นกลไกที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตยที่ตนเชื่อว่าเป็นหัวใจที่สำคัญในการเปิดโอกาสให้กับประชาชนได้ใช้อำนาจทางตรงในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ของประเทศ อย่างไรก็ตาม การจัดทำประชามติจะสะท้อนเจตนารมณ์และเจตจำนงของประชาชนได้นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือเรื่องของกระบวนการในการจัดทำประชามติที่ต้องมีการรณรงค์อย่างเปิดกว้าง ให้ข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อให้ประชาชนเข้าใจอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะไปออกเสียงในคูหาในการออกเสียงประชามติ
.
กรณีนี้ ทำให้ประชาชนเห็นข้อมูลอย่างชัดเจนว่า หากยกเลิกเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับแล้ว จะส่งผลอย่างไรต่อการจัดการข้อพิพาทระหว่างไทยกัมพูชา ไทยจะได้หรือเสียเปรียบอย่างไร ซึ่งในมุมมองตนคือแทบจะเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะรณรงค์เรื่องนี้ ให้ประชาชนรับทราบข้อมูล ทั้งข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบ จากการยกเลิกเอ็มโอยู 43 และ 44 โดยที่ไม่ทำให้ฝ่ายกัมพูชาล่วงรู้ได้ ซึ่งข้อกังวลของตนที่มาถามคือ เอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับนั้น มีสาระสำคัญในเรื่องของการปักปันเขตแดนทางบก และเรื่องการบริหารผลประโยชน์พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย และกัมพูชา
.
นายณัฐพงษ์ กล่าวด้วยว่า ซึ่งข้อมูลจำนวนมากเป็นข้อมูลที่บ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า ประเทศไทยจะได้เปรียบและเสียเปรียบในประเด็นใดบ้าง ที่สภาฯ ต้องประชุมลับในช่วงที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้ฝ่ายกัมพูชารู้ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ ฉะนั้น ตนจึงขอคำถามไปยังนายสีหศักดิ์ว่า ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติมีบทบัญญัติไว้ว่ามาตรา 14 วรรค 3 การออกเสียงประชามติต้องไม่เป็นการชี้นำ และมาตรา 15 (5) คือการออกเสียงประชามติรัฐบาลและคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องให้รายละเอียดอย่างรอบด้าน ซึ่งหมายถึงข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของไทยที่มีต่อกัมพูชา และตามพ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 16 รัฐบาลและกกต.ต้องมีการจัดแสดงความคิดเห็นและความเห็น ทางสถานีวิทยุ และโทรทัศน์เวทีสาธารณะอย่างทั่วถึง ซึ่งรายละเอียดจำนวนมากที่ประชาชนจำเป็นต้องใช้ประกอบการตัดสินใจ เช่น ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของไทยที่มีต่อกัมพูชา คำถามคือรัฐบาลมีแผนในการดำเนินการจัดทำประชามติอย่างไร เพื่อไม่ให้การออกเสียงประชามติ ยกเลิกเอ็มโอยู ทั้ง 2 ฉบับนี้ขัดต่อพ.ร.บ.ประชามติ ที่ในกฎหมายได้กำหนดอย่างชัดเจน โดยที่กัมพูชาไม่สามารถที่จะรู้ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของประเทศไทย
.
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ตามพ.ร.บ.ประชามติ มาตรา 15 (5) มีบทบัญญัติเพิ่มเติมว่า รัฐบาลและกกต.จะต้องให้ข้อมูลในส่วนของมาตรการในการป้องกัน แก้ไข และเยียวยาความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น หากมีการดำเนินการตามผลประชามติ คือหากมีการยกเลิกเอ็มโอยู 43 และ 44 จริง เกิดผลประชามติออกผลมาเป็นแบบนี้จริง รัฐบาลจะต้องให้ข้อมูลแก่ประชาชนก่อนวันออกเสียงประชามติว่า หากมีการยกเลิก มีมาตรการในการป้องกันเยียวยาความเสียหายอย่างไร เช่น เอ็มโอยู 43 เรื่องการปักปันเขตแดนระหว่างไทยและกัมพูชาทางบก วันนี้รัฐบาลมีมาตรการหรือกลไกอื่นใดที่ดีกว่าเอ็มโอยู 43 ในการปักปันเขตแดนทางบกระหว่างไทยและกัมพูชาหรือไม่ เพื่อรองรับผลกระทบหากมีการยกเลิกเอ็มโอยูฉบับนี้ และเอ็มโอยู 44 รัฐบาลมีวิธีการหรือมาตรการใด ในการป้องกันไม่ให้เอกชนที่เขาได้เซ็นสัญญาลงนามสัมปทานการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนทางระหว่างไทยและกัมพูชา ไม่ให้เอาเรื่องไปฟ้องกับอนุญาโตตุลาการเรียกค่าเสียหายกับรัฐบาลไทย หากมีการยกเลิกเอ็มโอยู 44 ดังนั้น มาตรการในการป้องกันเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอีกด้านหนึ่งจากการยกเลิกเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ รัฐบาลเตรียมการไว้อย่างไรบ้าง
.
นายณัฐพงษ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติตนเชื่อว่า หากจะรณรงค์ในเรื่องนี้ผ่านเวทีสาธารณะ และให้ข้อมูลแบบรอบด้านจริงๆ โดยที่ไม่ให้ฝ่ายกัมพูชาล่วงรู้ยากมาก แทบจะเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ซึ่งตนอยากจะถามว่า หากท่านยังจะดึงดัน เดินหน้าการจัดทำประชามติด้วยกระบวนการแบบนี้ที่อาจจะสุ่มเสี่ยงว่าขัดต่อกฎหมาย และอาจจะมีผู้ร้องไปร้องว่า กระบวนการจัดทำประชามติแบบนี้ ให้ข้อมูลไม่รอบด้าน ไม่ได้ให้ข้อชี้แจงในเรื่องของมาตรการ การป้องกันเยียวยาตามกฎหมาย และให้การจัดทำมติเป็นโมฆะ หรือสิ้นผลไป ท่านยังจะเดินหน้าต่อจริงหรือไม่ หรือจริงๆ แล้วรัฐบาลใช้กลไกอื่นตัวแทนของรัฐบาลในสภาฯ กลไกแบบนี้หรือไม่ที่อาจเป็นทางออกที่ดีกว่าการออกเสียงประชามติซึ่งรัฐบาลได้ใช้กลไกเหล่านี้ได้ศึกษาอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะส่งให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจตัดสินใจหรือไม่ ทั้งนี้ ตนขอถามความเห็นมุมมองของรัฐบาลคือ ในฐานะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นตัวแทนของรัฐบาลว่า ท่านเห็นด้วยหรือไม่ว่ารัฐบาลควรจะต้องยกเลิกเอ็มโอยู 43 และ 44
.
“พวกเราทุกคนสิ่งที่ต้องการคือต้องการผลประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย แต่สิ่งที่เราไม่ต้องการคือการใช้ประเด็นเรื่องนี้เอามาเรียกกระแสต่างๆ และอาจทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด ที่เราไม่สามารถกลับมาแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งสิ่งที่จะนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดคือกัมพูชาล่วงรู้ข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบหมด สุดท้ายกัมพูชาเอาเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลโลกได้ ผมทราบดีว่ารัฐมนตรีรู้ว่าอะไรคือทางออกที่ถูกต้อง เพียงแต่วันนี้ท่านอยู่ในคณะรัฐมนตรี จึงทำให้ท่านอุปสรรคบางอย่างที่ท่านตอบผมไม่ได้ตรงๆ แต่สิ่งที่ผมอยากคาดหวังคือในขณะที่คนไทยกำลังคาดหวังระบบการเมืองที่ดีที่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ เป็นนักการทูต แบบท่านที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ได้มาจากการ เจรจาต่อรองโควต้าตำแหน่งทางการเมืองเพียงอย่างเดียว
.
“สิ่งที่ผมอยากได้ยินจากรัฐมนตรีตอบ อยากได้คำยืนยันจากท่าน ในฐานะที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ มีคำพูดที่มีน้ำหนักแน่นอน ในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ยืนยันออกมาดังๆ ได้หรือไม่ ตอบในฐานะการทูตว่าเห็นด้วยจริงๆหรือ ที่จะมีการยกเลิกเอ็มโอยูทั้ง 2 ฉบับ ท่านเห็นด้วยจริงๆหรือว่า การจัดทำประชามตินั้น เป็นกระบวนการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ หรือ ถ้าท่านไม่เห็นด้วยหรือถ้าท่านไม่สามารถตอบอย่างชัดเจน ขอคำยืนยันได้หรือไม่ว่า ท่านจะเข้าไปนำเสนอข้อคิดเห็นของท่าน ในฐานะที่ท่านดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อที่จะเบรกฝ่ายการเมืองที่เอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นทางการเมืองเพื่อใช้กระแสชาตินิยมเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ ผมต้องการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยืนยันเจตจำนงเรื่องนี้ในสภาผู้แทนราษฎร” นายณัฐพงษ์ กล่าว
.
ด้าน นายสีหศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกที่ตนได้มาตอบกระทู้ในสภาฯ และยินดีที่จะตอบอย่างตรงไปตรงมา เพราะเชื่อว่าการดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่ดี เราต้องเปิดกว้างฟังความเห็นของทุกฝ่ายโดยเฉพาะจากฝ่ายค้าน สำหรับเรื่องของเอ็มโอยูเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นเรื่องของอธิปไตยเขตแดน ฉะนั้น ประชาชนน่าจะได้มีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นว่า เราจะดำเนินการ และจัดทำประชามติอย่างไรอย่างไรก็ตาม เราต้องดำเนินการและรับฟังเสียงของสังคมด้วยความรอบคอบ ทุกมิติ อีกทั้งในสภาฯ ก็มีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) เพื่อพิจารณาเรื่องการยกเลิกเอ็มโอยูด้วย ตนคิดว่า เป็นเรื่องที่ดีที่เรามีการอภิปรายเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง
.
ย้ำว่า เรื่องของการทำประชามตินั้น เหมือนที่นายณัฐพงษ์ ตั้งข้อสังเกตว่า มีอะไรที่เราต้องคำนึงถึงบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ต้องนำมาเปิดเผยต่อสาธารณะ การให้ข้อมูลข่าวสาร การเยียวยา หรือภาคเอกชนก็ตาม ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องคำนึงถึง โดยเราจะต้องพิจารณาถึงเรื่องต่างๆ เหล่านี้ให้ดี โดยในสัปดาห์หน้า นายบวรศักดิ์ จะมีการประชุมเพื่อดูว่าขั้นตอน และรูปแบบวิธีการดำเนินการเกี่ยวกับการทำประชามติ ควรทำกันอย่างไร ทั้งนี้ สิ่งที่ นายณัฐพงษ์แสดงความคิดเห็น ตนมองว่า เป็นประโยชน์ และเราจะได้นำไปหารือกันในเรื่องรายละเอียด โดยพยายามคำนึงถึงประเด็นต่างๆ ซึ่งหลังจากที่ประชุมกันแล้ว ได้ผลสรุปว่า เราจะดำเนินการอย่างไร มีแผนการอย่างไร ตนจะมาชี้แจงต่อที่ประชุมอีกครั้ง
.
นายสีหศักดิ์ กล่าวต่อว่า การจะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาทำประชามติว่า อาจจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิก ต้องทำด้วยความรอบคอบและต้องมีความชัดเจนว่า หากไม่มีเอ็มโอยูแล้ว เรามีอะไรเป็นทางเลือก เพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของประเทศได้รับผลกระทบหรือได้รับความเสียหาย ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะมีประชามติ โดยไม่มีการเตรียมการหรือแผนรองรับ โดยในส่วนนี้กระทรวงการต่างประเทศ เราเห็นความสำคัญว่าควรจะมีแผนการรองรับในเรื่องดังกล่าวว่า หากไม่มีเอ็มโอยูแล้ว อะไรคือทางเลือกของเราที่จะปกป้องรักษาผลประโยชน์ของเรา ส่วนเรื่องเยียวยา ตนคิดว่ามีรายละเอียดมาก แต่เราก็ต้องคิดว่าอะไรที่เป็นสิทธิอันชอบธรรม และเกิดจากผลกระทบหากมีการยกเลิกเอ็มโอยู เราต้องมีการเยียวยากับผู้ที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากสิทธิอันชอบธรรมของเขา