วิกฤติงบบัตรทองภาระ ‘ไตวายเรื้อรัง' สัญญาณอันตรายของระบบสุขภาพ

วิกฤติงบบัตรทองภาระ ‘ไตวายเรื้อรัง' สัญญาณอันตรายของระบบสุขภาพ
.
สถานการณ์ค่าใช้จ่ายในการบำบัดทดแทนไตสำหรับผู้ป่วยไตวายเรื้อรังภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) ได้เข้าสู่ภาวะวิกฤติทางการเงินที่น่ากังวล
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 ยอดเงินที่ใช้จ่ายเฉพาะการบำบัดทดแทนไตได้เกินกว่างบประมาณตั้งต้นไปแล้วกว่า 4,000 ล้านบาท วิกฤติการณ์ครั้งนี้ผลักดันให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ต้องพิจารณาเห็นชอบข้อเสนอของบประมาณกลางจำนวนสูงถึง 8,000 ล้านบาท เพื่อนำมาเป็นทุนหมุนเวียนในการจ่ายให้กับหน่วยบริการและรองรับค่าบริการฟอกไตและค่าบริการอื่นๆ การต้องใช้เงินมหาศาลจากงบกลางมาโปะหนี้สะสมจึงเป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่อาจมองข้าม
.
วิกฤติงบประมาณนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมานาน จากข้อมูลช่วง 5 ปี (พ.ศ. 2564-2568) งบประมาณที่ใช้ไปสำหรับบริการไตวายเรื้อรังได้สูงกว่างบตั้งต้นมาอย่างต่อเนื่องในทุกปี โดยในปี 2568 ซึ่งมีผู้ป่วยบำบัดทดแทนไตเพิ่มขึ้นถึง 90,227 ราย ยอดงบประมาณใช้จริงสูงถึง 17,589 ล้านบาท เทียบกับงบตั้งต้นที่ 13,500 ล้านบาท ทำให้ส่วนที่เกินพุ่งสูงถึง 4,089 ล้านบาท การขาดดุลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องนี้ แสดงให้เห็นว่าการบริหารจัดการงบประมาณด้านสุขภาพจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหาทางออกที่ยั่งยืนทางการเงิน
.
ปัจจุบัน ผู้ป่วยเกือบ 1 แสนคนส่วนใหญ่เลือกใช้วิธีการบำบัดทดแทนไตด้วยการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (HD) ถึงประมาณ 8 หมื่นกว่าคน และการฟอกไตทางช่องท้อง (PD) อีกประมาณ 1 หมื่นคน ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขชี้ว่า การฟอกไต (HD และ PD) นั้นเป็นเพียงวิธีการยืดอายุสำหรับผู้ป่วยที่รอการเปลี่ยนถ่ายหรือปลูกถ่ายไตเท่านั้น หากพิจารณาในเชิงเศรษฐศาสตร์และคุณภาพชีวิต การรักษาที่มีความยั่งยืนและลดภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลระยะยาวมากที่สุดคือ“การปลูกถ่ายไต” ปัจจุบันมีการปลูกถ่ายไตเพียงประมาณ 900 คนต่อปีทั่วประเทศ การขยายผลการเปลี่ยนถ่ายไตเพิ่มขึ้นเป็น 2-3 เท่า หรือขยับไปสู่เป้าหมายที่ 3,000–5,000 คนภายในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนไข้
.
ดังนั้นการจัดการวิกฤติงบบัตรทองจึงมิอาจจบลงด้วยการอนุมัติงบกลาง 8,000 ล้านบาทเพื่อรักษาแค่สภาพคล่องของโรงพยาบาล
.
แต่ต้องมุ่งเน้นที่การขับเคลื่อนนโยบายเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง นั่นคือ การจัดระบบปลูกถ่ายไตใหม่ให้บรรลุเป้าหมาย โดยต้องมีการหามาตรการจูงใจและสร้างความเข้าใจเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริจาคอวัยวะเพิ่มขึ้น รวมถึงการหามาตรการจูงใจต่างๆเพื่อให้การบริจาคอวัยวะเพิ่มขึ้น ควบคู่กับสร้างความเข้าใจและอธิบายทางเลือกการรักษาแต่ละวิธีอย่างเหมาะสมแก่ผู้ป่วยก่อนเป็นสำคัญ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับข้อมูลทั้งหมดก่อนตัดสินใจเลือกวิธีการบำบัดทดแทนไต รวมถึงเข้มงวดเพื่อให้มั่นใจว่าคนไข้ได้รับการรักษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน บนพื้นฐานการบริหารจัดการงบประมาณอย่างยั่งยืนและคุ้มค่า
.
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่