แก้พรบ.ข้าว เอาราคาข้าวสารในประเทศมาถั่วเฉลี่ยเป็นราคารับซื้อข้าวเปลือก แบบอ้อย มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?

กระทู้คำถาม
แก้พรบ.ข้าว เอาราคาข้าวสารในประเทศมาถั่วเฉลี่ยเป็นราคารับซื้อข้าวเปลือก แบบอ้อย มีข้อดีข้อเสียอย่างไร?
เพื่อปรับโครงสร้างราคาข้าวให้เป็นธรรม
เอาระบบแบ่งปันผลประโยชน์เหมือนที่ใช้กับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลมาปรับใช้กับ ข้าวเปลือก
รำข้าว เอาไปสร้างประโยชน์ทำกำไรได้เท่าไหร่เอามาถัวเฉลี่ยคืนให้ชาวนา เป็นไปได้หรือไม่ มีข้อดี ข้อเสีย อย่างไร

การปฏิรูประบบราคาข้าวแบบโครงสร้างใหม่
จาก ระบบตลาดเสรี (Free market) → ไปสู่ ระบบแบ่งปันผลประโยชน์ (Value-sharing system)
คล้ายอุตสาหกรรม อ้อย–น้ำตาลของไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในกรณีศึกษาที่ “รัฐ–เอกชน–เกษตรกร” ร่วมได้จริงที่สุดในเอเชีย


“ราคาข้าวสารในประเทศ → เป็นฐานคำนวณ
ราคารับซื้อข้าวเปลือก → ถัวเฉลี่ยจากมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่
กำไรจากการสี / ส่งออก / ผลิตภัณฑ์ต่อยอด → คืนบางส่วนให้ชาวนา”

*** เปรียบเทียบระบบ “ข้าว” vs “อ้อย–น้ำตาล”
ประเด็น               ระบบข้าว (ปัจจุบัน)           ระบบอ้อย–น้ำตาล                                        ถ้าปรับข้าวตามแนวนี้
หน่วยกำกับ         กรมการข้าว, อ.ต.ก.          คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.)   คณะกรรมการข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีอำนาจกำกับตลาด
การกำหนดราคา  ตลาดเสรี / ประกันรายได้   ราคากลางร่วมรัฐ–เอกชน–ชาวไร่                 ใช้ราคาข้าวสารเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก คำนวณย้อนกลับข้าวเปลือก
แบ่งผลประโยชน์ ไม่มี (เอกชนกำไรเต็ม)      70% ชาวไร่ : 30% โรงงาน                         ใช้ 60–40 ระหว่าง “ชาวนา–โรงสี/ผู้ส่งออก”
การบริหารกำไร    ไม่โปร่งใส                      เข้ากองทุนอ้อยฯ เพื่อชดเชยปีขาดทุน           ตั้ง “กองทุนข้าวแห่งชาติ” เพื่อดูแลเสถียรภาพราคา
การแปรรูป           เน้นขายข้าวสาร              มีผลิตภัณฑ์ต่อยอดครบวงจร                         ใช้ “รำข้าว–ปลายข้าว–ข้าวหัก” สู่อุตสาหกรรมแปรรูป
การวิจัยพัฒนา     แยกส่วน                        มี R&D กลางร่วมรัฐ–เอกชน                          Rice R&D Consortium (เชื่อม ม.เกษตร, ม.ขอนแก่น,CP)

***ข้อดีของโมเดลนี้
ชาวนาได้ส่วนแบ่งจากมูลค่าเพิ่มจริง
– ไม่ใช่แค่ขายวัตถุดิบ แต่ได้ประโยชน์จากกำไรหลังแปรรูป
ราคาเสถียรกว่าแบบตลาดเสรี
– เพราะมีสูตรถ่วงเฉลี่ยระหว่างราคาภายใน–ส่งออก
ลดอำนาจผูกขาดโรงสี/ผู้ส่งออก
– เนื่องจากรัฐและสหกรณ์ร่วมเป็นผู้คำนวณ–ตรวจสอบ
มีแรงจูงใจให้ผลิตคุณภาพดี
– หากข้าวที่ผลิตได้คุณภาพสูง จะได้ส่วนแบ่งมากขึ้น
ใช้สอดคล้องกับ “เศรษฐกิจพอเพียง + นอร์ดิกโมเดล”
– เน้นสมดุลรายได้ กระจายกำไรจากบนลงล่าง

ประเด็นความเสี่ยง / ปัญหา
โครงสร้างตลาด
ผู้ส่งออก–โรงสีใหญ่ต่อต้าน เพราะต้องเปิดบัญชีต้นทุน–กำไร
กฎหมาย
ต้องแก้ พ.ร.บ.ข้าว และ พ.ร.บ.การค้าภายใน ให้รองรับระบบแบ่งปันผลประโยชน์
กลไกบริหาร
ต้องมีองค์กรกลางอิสระโปร่งใส ไม่ถูกการเมืองครอบงำ
ข้อมูลตลาด
ต้องพัฒนา “ระบบฐานข้อมูลราคาข้าวสาร–ต้นทุนจริง” แบบ Real-time
ภาระรัฐ
ต้องตั้งกองทุนหมุนเวียนเบื้องต้น เพื่อจ่ายชาวนาในช่วงราคาตก

🔹 ทางเลือกเชิงนโยบาย
ระยะแนวทางดำเนินการ
สั้น (1–2 ปี)
นำร่อง “จังหวัดต้นแบบ” เช่น สุพรรณบุรี / พิจิตร / ยโสธร, ตั้ง “Rice Value-sharing Board”
กลาง (3–5 ปี)
ปรับ พ.ร.บ.ข้าว ให้มีสูตรราคากลางแบ่งผลประโยชน์แบบอ้อยฯ
ยาว (5–10 ปี)
เชื่อมกองทุนข้าวฯ เข้ากับ “Green Rice Industry” — พลังงานชีวภาพ, โปรตีนจากข้าว, รำข้าวสกัด ฯลฯ

** บทสรุปเชิงยุทธศาสตร์
- ทำได้ ถ้ามี “องค์กรกลางร่วมรัฐ–ชาวนา–เอกชน” ที่โปร่งใส
- เสี่ยงล้มเหลว ถ้ายังเป็นระบบราชการรวมศูนย์ หรือถูกทุนผูกขาดควบคุม
นี่คือหนึ่งใน “Regulatory Guillotine + Value Redistribution” ที่จะทำให้ “เกษตรกรไทยมีศักดิ์ศรีทางเศรษฐกิจ” อีกครั้งครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
สินค้าเกษตร อุตสาหกรรม ทุกชนิด ข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง มันสำปะหลัง ปาล์ม....   มันควรทำแบบ น้ำตาล
คือ มีการควบคุม
ราคาตลาด ถึงผู้บริโภค
การกำหนดเกณฑ์ คุณภาพ ขั้นต่ำ กับราคา  ผลบวกของราคาเมื่อคุณภาพดีกว่าเกณฑ์
การแบ่งปันผลประโยชน์ เกษตรกร โรงงานที่รับซื้อ การจัดจำหน่ายสินค้า

แต่ข้าว คุณภาพ ราคา ขาย ราคารับซื้อ ...  เกษตรกร ถูกกดราคาเกินควรรึเปล่า  เกษตรกรจะลดการปลูกข้าวคุณภาพดีๆ ไหม  !! ความต่างของข้าว  กับราคา  มันจะทำให้ ข้าว บางแบบ หายไปจากตลาด หรือ ราคาแพงเกินเหตุไหม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่