JJNY : 5in1 ปราสาทคนาเป็นของไทย│ทูตจีนพบสีหศักดิ์│กกต.แจงปมเอกสารหลุด│ท่องเที่ยวกัมพูชาดิ่ง│ครูญี่ปุ่น"ทำงานหนักที่สุด"

ผู้ใหญ่บ้านแนงมุด จ.สุรินทร์ โต้แม่ทัพภาคที่ 2 ปราสาทคนาเป็นของไทย
.
.
ผู้ใหญ่บ้านแนงมุด จ.สุรินทร์ โต้แม่ทัพภาคที่ 2 ปราสาทคนาเป็นของไทย เผยมีการปักปันแล้วเสร็จตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
.
จากกรณีที่ พล.ท.วีรยุทธ์ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน มีเนื้อหาตอนหนึ่งว่าปราสาทคนา ต.แนงมุด อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เป็นพื้นที่ต้องสำรวจร่วม จัดทำหลักเขตแดนตาม MOU ต่างคนต่างอยู่ในพื้นที่ของใครของมัน ยังไม่มีใครครอบครอง ยังไม่มีใครควบคุม จนโดนทัวร์ลง ตั้งคำถามว่า เหตุใดชาวกัมพูชาสามารถไปเที่ยวได้ ติดป้ายประชาสัมพันธ์เป็นแหล่งท่องเที่ยวของกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ขณะที่คนไทยเข้าไม่ได้
.
นางเพ็ญนภา พันธุ์ศิลป์ ผู้ใหญ่บ้านแนงมุด เปิดเผยว่า เมื่อก่อนเคยไปเที่ยวปราสาทคนาได้ และไปหลายครั้ง แต่ตอนนี้เข้าไม่ได้ แม้แต่ก้าวเดียว ทั้งๆ ที่อยู่ในประเทศไทยและอธิปไตยของไทย โดยปราสาทคนา แม้จะไม่สมบูรณ์ แต่กรมศิลปากรของไทย เคยไปสำรวจแล้ว ส่วน อบต.แนงมุด ก็จะเข้าไปพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่กัมพูชาไม่ให้เข้าไป
.
ซึ่งหากเป็นพื้นที่ร่วม ก็ควรจะให้คนไทยเข้าเที่ยวได้เหมือนปราสาทตาควาย - ตาเมือนธม ฝากให้ผู้นำของประเทศและทหาร ตอบคำถามนี้ ซึ่งตนอยากให้ได้อธิปไตยไทยคืน ประชาชนอยากไปเที่ยว ถ้าบูรณะจะสวยงามมาก เพราะมีแหล่งน้ำโบราณที่สมบูรณ์ด้วย
.
นางเพ็ญนภา บอกอีกว่า เรื่องเขตแดนมีการปักปันเสร็จแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ดังนั้น จะบอกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อนกันไม่ได้ เพราะว่ามีหลักมุดโบราณ คล้ายหลักกิโลเมตรตลอดแนวชายแดน
.
ตนเคยเข้าไปก็จะเห็นมีลวดหนามกั้นดินแดนของฝั่งไทย และของกัมพูชาตรงหลักมุด หลักก็ยังอยู่ ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนและพื้นที่ร่วมตามที่บอก จึงอยากให้ทำรั้วแบ่งเขตชายแดนไปเลย จะได้รู้ว่าไทยกับกัมพูชาอยู่ถึงจุดไหน
.

.
ทูตจีนพบ ‘สีหศักดิ์’ ย้ำจีนไม่เคยส่งอาวุธให้กัมพูชาใช้โจมตีไทย
https://www.dailynews.co.th/news/5182883/
.
‘จาง เจี้ยนเว่ย’ ทูตจีนคนใหม่ พบ ‘สีหศักดิ์’ ย้ำจีนไม่เคยส่งอาวุธให้กัมพูชาใช้โจมตีไทย ยันวางตัวเป็นกลางตลอด หนุนไทย-กัมพูชาเจรจาแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี
.
เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยภายหลังนายจาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยคนใหม่ เข้าพบและหารือ ซึ่งใช้เวลาหารือกว่า 1 ชั่วโมง 30 นาที ว่า  ตนแสดงความยินดีกับเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทยในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ ซึ่งมารับหน้าที่ในเวลาที่สำคัญ เนื่องจากในปี 2568 การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน ครบรอบ 50 ปี จึงพูดคุยเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อยกระดับความสัมพันธ์ให้ยิ่งแน่นแฟ้น นอกจากนี้ ตนได้หารือถึงกระแสข่าวที่ว่าประเทศจีนส่งอาวุธสนับสนุนกัมพูชา เพื่อใช้ในความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาด้วย โดยตนเชื่อว่าการชี้แจงของเอกอัครราชทูตจีนฯ คงให้ความกระจ่างในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งตนได้ขอบคุณฝ่ายจีนที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาคนี้มาตลอด ขณะที่ฝ่ายจีนยืนยันว่าในเรื่องสถานการณ์ไทย-กัมพูชานั้น จีนมีท่าทีเป็นกลาง และจะสนับสนุนให้ไทยและกัมพูชาเจรจาโดยสันติวิธี รวมถึงในระดับทวิภาคี ซึ่งสิ่งนี้เป็นท่าทีของฝ่ายไทยมาตลอด
.
ด้านเอกอัครราชทูตจีนฯ กล่าวว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติและดีใจอย่างยิ่งที่มีโอกาสมาเข้าเยี่ยมคารวะรมว.ต่างประเทศคนใหม่ของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายมีการหารือเรื่องมิตรภาพความสัมพันธ์กันอย่างรอบด้าน ลึกซึ้ง ซึ่งปีนี้เป็นปีที่จีนกับไทยสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตครบรอบ 50 ปี ถือเป็นโอกาสที่สำคัญและพิเศษมากในการพัฒนาก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและส่งผลสำเร็จมากขึ้น ขณะเดียวกันได้มีการพูดคุยเรื่องที่สื่อมวลชนในประเทศไทยให้ความสนใจ คือ เรื่องอาวุธที่กัมพูชาใช้นั้น ตนขอชี้แจงว่าประเทศจีนให้ความสำคัญอย่างสูงต่อการพัฒนาความสัมพันธ์กับไทย และถือว่าการพัฒนาความสัมพันธ์กับไทยเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุดของการดำเนินการทางการทูตของจีน
.
ตั้งแต่ไทยกับกัมพูชาปะทะกัน จีนก็มีท่าทีที่เป็นกลาง ยุติธรรม เพื่อช่วยให้ฝ่ายไทยและกัมพูชาได้พูดคุยและคลี่คลายปัญหา ขอย้ำว่าตั้งแต่เกิดเหตุปะทะกันระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา ประเทศจีนไม่เคยสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ใดๆ ให้กัมพูชาเพื่อใช้โจมตีประเทศไทย และอาวุธที่กัมพูชามีอยู่แล้วเป็นความร่วมมือทางด้านทหารที่มีอยู่แล้วทั้ง 2 ฝ่าย” เอกอัครราชทูตจีนฯ กล่าว
.
เอกอัครราชทูตจีนฯ กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา ประเทศจีนมีท่าทีที่เสมอต้นเสมอปลาย คือเราจะเป็นกลางและยุติธรรม เราจะพยายามส่งเสริมให้ทั้ง 2 ฝ่าย พูดคุยเจรจาด้วยวิธีทวิภาคี เพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง อาทิ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ได้ใช้โอกาสต่างๆ เพื่อพูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยและกัมพูชา ขณะที่นายซุน เว่ยตง รมช.ต่างประเทศจีน ได้ช่วยส่งเสริมการพูดคุยเจรจากับทั้ง 2 ฝ่ายด้วย นอกจากนี้ นายเติ้ง ซีจวิน ผู้แทนพิเศษด้านกิจการเอเชีย กระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ไปเยี่ยมไทยและกัมพูชาถึง 3 ครั้ง เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้ไทยและกัมพูชาพูดคุยกันและคลี่คลายปัญหา
.
ต่อไปนี้จีนจะยืนหยัดให้ไทยและกัมพูชาใช้ช่องทางทวิภาคี เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยกันแบบสันติวิธี และยินดีที่จะให้ประเทศอาเซียนใช้วิถีอาเซียนช่วยแก้ไขปัญหาเพื่อให้เกิดเสถียรภาพในภูมิภาค ไทยกับกัมพูชาในฐานะที่เป็นเพื่อนบ้านก็จะมีการส่งเสริมความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ส่งเสริมการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยวิธีการหารืออย่างฉันมิตร สอดคล้องกับผลประโยชน์ของ 2 ประเทศในระยะยาว และจีนพร้อมจะแสดงบทบาทอย่างสร้างสรรค์ต่อเนื่อง” เอกอัครราชทูตจีนฯ กล่าว
.

.
กกต. แจงปม เอกสารหลุด 229 รายชื่อ คดีฮั้วสว. ชี้ถูกพิมพ์ขึ้นใหม่-รายชื่อคลาดเคลื่อน
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_9968759
.
กกต. แจงปม เอกสารหลุด 229 รายชื่อ คดีฮั้วเลือกสว. ไม่ได้หลุดจากคกก.ไต่สวนฯ ที่ 26 พบถูกพิมพ์ขึ้นใหม่ มีชื่อคลาดเคลื่อน
.
เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2568 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่เอกสารข่าวระบุว่า ตามที่สำนักงาน กกต. ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ที่ 379/2568 เมื่อวันที่ 2 ต.ค.2568 เรื่อง สำนักงาน กกต. ชี้แจงกรณีเอกสารและรายชื่อในคดี สว.
.
โดยมี “บันทึกแจ้งข้อกล่าวหา และรายชื่อผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 229 คน ในคดีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) พ.ศ. 2567” ปรากฏเป็นข่าว ซึ่งเอกสารดังกล่าวอยู่ในการครอบครองของสำนักงาน กกต. และผู้ถูกกล่าวหา โดยเลขาธิการ กกต. ได้สั่งให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น
.
สำนักงาน กกต. ขอชี้แจงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเอกสารและรายชื่อผู้ถูกกล่าวหา จำนวน 229 คน ในคดีการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) พ.ศ. 2567 ดังนี้ 1.บันทึกแจ้งข้อกล่าวหา ไม่ได้หลุดออกจากสำนักงาน กกต. หรือคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ส่วนกลาง คณะที่ 26 หรือพนักงานที่รับผิดชอบสำนวนดังกล่าวแต่อย่างใด
.
เพราะบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาจะมีการส่งต้นฉบับให้กับผู้ถูกกล่าวหาโดยวิธีการลับ และเก็บสำเนาคู่ฉบับไว้ในสำนวนการไต่สวนของ สำนักงาน กกต. ทั้งนี้ เอกสารต้นฉบับดังกล่าวที่อยู่กับผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากการครอบครองของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งแล้ว
.
2.กรณีปรากฏรายชื่อผู้ถูกกล่าวหาคดีการเลือก สว. จำนวน 229 คน จากการตรวจสอบรายชื่อดังกล่าว เป็นการจัดพิมพ์ขึ้นมาใหม่ เนื่องจากมีรายชื่อคลาดเคลื่อนและจำนวนผู้ถูกกล่าวหาไม่ตรงกับความเป็นจริง
.

.
ท่องเที่ยวกัมพูชาดิ่ง นทท. ลดฮวบ 38.4% หลังเหตุปะทะชายแดน
.
กระทรวงท่องเที่ยวกัมพูชาเผย สถิติท่องเที่ยวดิ่ง นักท่องเที่ยวลดฮวบ 38.4% ขณะที่นักท่องเที่ยวไทยลดฮวบ เดือน ส.ค. เหลือ 1.6 หมื่นคน หลังเหตุปะทะชายแดน
.
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา ได้เผยแพร่รายงานสถิติด้านการท่องเที่ยวในเดือนสิงหาคม 2568 ซึ่งเป็นช่วงหลังเกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา
.
จากข้อมูล พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในกัมพูชาเมื่อเดือนสิงหาคม อยู่ที่ 338,351 คน ลดลงถึง 38.4% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2567 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่หายไป
.
หากพิจารณาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางมายังกัมพูชาในเดือนสิงหาคม จะพบว่า ชาวจีนมีสัดส่วนมากที่สุด ด้วยจำนวน 97,456 คน เพิ่มขึ้น 30.2% เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมปีก่อน
.
อันดับ 2 คือ นักท่องเที่ยวเวียดนาม มาเยือนกัมพูชา 93,857 คน ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน 15.5% ซึ่งน่าจะเกิดจากปัจจัยเรื่องกำลังในการใช้จ่ายที่ลดลง รวมถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งตามแนวชายแดน
.
ส่วนนักท่องเที่ยวไทย ซึ่งเคยเป็นแหล่งรายได้หลักของภาคการท่องเที่ยวกัมพูชา สัดส่วนลดลงไปอยู่อันดับ 3 ด้วยจำนวนเพียง 16,137 คน ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ลดลงอย่างฮวบฮาบ เทียบกับสถิติเดิม เกือบ 2 แสนคน เมื่อปีก่อน
.
แน่นอนว่าปัจจัยหลักมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดน ส่งผลให้มีการยกเลิกเที่ยวบิน และการจองโรงแรม ซึ่งกระทบหนักต่อการท่องเที่ยว ธุรกิจบริการและค้าปลีกใกล้พื้นที่ชายแดน
.
หากดูในภาพรวมการท่องเที่ยวช่วง 8 เดือนแรกของปี 2568 กัมพูชาต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมกว่า 4 ล้านคน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 5.6%
.
แต่สัดส่วนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มากที่สุดในช่วง 8 เดือนแรก ยังคงเป็นไทย อยู่ที่ 962,462 คน แต่ก็ถือว่าลดลงจาก 8 เดือนแรกของปีก่อนหน้าถึง 28%
อันดับ 2 คือ เวียดนาม 808,471 คน และอันดับ 3 คือ จีน มีนักท่องเที่ยวมาเยือน 784,965 คน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 45.7% ซึ่งสะท้อนว่าจีนกำลังจะมีบทบาทสำคัญในการต่อชีวิตเศรษฐกิจกัมพูชา ที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่