จริงหรือไม่ที่... คนรุ่นใหม่ที่ลาออกเพราะ 'Work-Life Balance' คือพวกไม่สู้งาน และไม่มีทางประสบความสำเร็จ

สวัสดีทุกคน เราจะมาคุยกันในประเด็นที่ร้อนแรงและชวนถกเถียงสุด ๆ ในยุคนี้ นั่นคือเรื่อง "Work-Life Balance" หรือการรักษาสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ที่ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลยอดฮิตของคนรุ่นใหม่ที่ตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วคำถามที่ตามมาก็คือ จริงหรือเปล่าที่คนกลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็น "พวกไม่สู้งาน" หรือ "ไม่มีวันประสบความสำเร็จ"? วันนี้เราจะพาทุกคนไปสำรวจมุมมองนี้ผ่านประสบการณ์ของคนอื่นที่ผมได้ยินมา และลองคุยกันเพื่อดูว่ามันจริงหรือแค่ stereotype ที่ถูกโยนใส่คนรุ่นใหม่กันแน่

คร่อกฟี้ลาออกเพื่อหาความสุขที่แท้จริง
เริ่มจากเรื่องของน้องมิว (นามสมมติ) อายุ 27 ปี สาวออฟฟิศที่เคยทำงานในบริษัทโฆษณาชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ น้องมิวเล่าว่า ตอนแรกที่ได้งานนี้ เธอตื่นเต้นมาก เพราะมันคือ "งานในฝัน" ที่หลายคนอยากได้ เงินเดือนดี เพื่อนร่วมงานเก่ง ๆ เต็มไปหมด และโอกาสก้าวหน้าก็ดูเหมือนจะมีเยอะ แต่หลังจากทำงานไปได้สัก 2 ปี มิวเริ่มรู้สึกว่า "ตัวเองเหมือนหุ่นยนต์ที่ทำงานวนลูปไม่จบ"

มิวเล่าว่า เธอต้องตื่นตี 5 เพื่อฝ่ารถติดไปออฟฟิศ ทำงานถึงสี่ห้าทุ่มแทบทุกวัน และบางครั้งก็มีงานด่วนช่วงสุดสัปดาห์ ชีวิตส่วนตัวแทบไม่มี เพราะเวลาที่เหลือก็หมดไปกับการนอนพักเอาแรงเพื่อทำงานต่อ เธอบอกว่า "หนูรู้สึกเหมือนชีวิตหายไป หนูไม่ได้เจอเพื่อน ไม่ได้ไปกินข้าวกับครอบครัว แม้แต่เวลาจะดูซีรีส์ที่ชอบหรือไปวิ่งออกกำลังกายก็ไม่มี"

สุดท้าย มิวตัดสินใจลาออก หลังจากที่เริ่มมีอาการ Burnout เธอรู้สึกเหนื่อยล้า ท้อแท้ และเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า "นี่คือชีวิตที่เราอยากมีจริง ๆ เหรอ?" เธอเลือกไปทำงานฟรีแลนซ์และเรียนคอร์สออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะด้านการออกแบบกราฟิก ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอรักแต่ไม่มีเวลาได้ทำตอนทำงานประจำ ตอนนี้มิวบอกว่า เธอมีความสุขมากขึ้น แม้รายได้จะไม่แน่นอนเหมือนเมื่อก่อน แต่เธอได้ใช้เวลากับครอบครัว ได้กลับไปวิ่งมาราธอน และรู้สึกว่า "ชีวิตเป็นของตัวเองมากขึ้น"

ถ้ามองจากมุมของคนที่บอกว่า "คนรุ่นใหม่ไม่สู้งาน" มิวน่าจะถูกตีตราว่าเป็นคน "ยอมแพ้ง่าย" เพราะลาออกทั้งที่งานดี แต่ถ้ามองจากมุมของมิว เธอไม่ได้หนีงาน เธอแค่เลือกที่จะ "จัดลำดับความสำคัญในชีวิตใหม่" เธอบอกว่า "หนูไม่ได้เกลียดงาน แต่หนูอยากมีชีวิตที่สมดุลกว่านี้ หนูอยากทำงานที่รักและยังมีเวลาให้ตัวเองด้วย"

เท่สู้สุดใจ แต่สุดท้ายเลือกตัวเอง
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือพี่โจ (นามสมมติ) อายุ 35 ปี พี่โจเคยเป็นพนักงานระดับผู้จัดการในบริษัทเทคแห่งหนึ่ง เขาเป็นคนที่ทุ่มเทกับงานมาก เรียกได้ว่าเป็น "สายสู้" ของแท้ ทำงานดึก รับผิดชอบโปรเจกต์ใหญ่ และมักถูกยกย่องว่าเป็นคนเก่งในทีม แต่พี่โจเล่าว่า หลังจากทำงานหนักต่อเนื่องหลายปี เขาเริ่มมีปัญหาสุขภาพ ทั้งนอนไม่หลับ ปวดหลังเรื้อรัง และความเครียดที่สะสมจนรู้สึกว่า "ตัวเองไม่ใช่ตัวเอง"

วันหนึ่ง พี่โจได้คุยกับเพื่อนสนิทที่เป็นโค้ชด้านการพัฒนาตัวเอง เพื่อนคนนี้ถามคำถามที่เปลี่ยนมุมมองของเขาไปเลยว่า "ถ้าคุณตายพรุ่งนี้ คุณจะเสียใจที่ไม่ได้ทำอะไร?" พี่โจตอบทันทีว่า "ผมอยากมีเวลาให้ครอบครัว อยากพาลูกไปเที่ยว อยากลองทำธุรกิจเล็ก ๆ ที่เป็นของตัวเอง" คำถามนี้ทำให้เขาตัดสินใจลาออก เพื่อไปเริ่มต้นร้านกาแฟเล็ก ๆ ในจังหวัดที่ตัวเองเติบโตมา

ตอนนี้พี่โจเล่าว่า ชีวิตเขาไม่ได้ง่ายเหมือนตอนเป็นพนักงานเงินเดือน แต่เขารู้สึก "เติมเต็ม" มากขึ้น เขาได้ใช้เวลากับลูก ได้ทำอะไรที่รัก และที่สำคัญคือสุขภาพจิตดีขึ้นเยอะ แม้ว่ารายได้จะน้อยลง แต่เขาบอกว่า "ความสำเร็จสำหรับผมตอนนี้ ไม่ใช่เงินเดือนหรือตำแหน่ง แต่คือการได้ใช้ชีวิตในแบบที่ผมเลือก"

เข้ามาดูมองจากอีกมุม คนรุ่นเก่าคิดยังไง
พี่ป้อม (นามสมมติ) อายุ 50 ปี เจ้าของบริษัทขนาดกลางที่จ้างพนักงานรุ่นใหม่หลายคน พี่ป้อมมองว่า "คนรุ่นใหม่บางคนดูเหมือนจะไม่ค่อยอดทนกับความกดดันในที่ทำงาน" เขาเล่าว่า มีพนักงานรุ่นใหม่หลายคนที่ลาออกหลังจากทำงานได้ไม่ถึงปี โดยให้เหตุผลว่า "อยากหาความสมดุลในชีวิต" หรือ "งานหนักเกินไป" พี่ป้อมบอกว่า สมัยเขาเริ่มทำงานใหม่ ๆ การทุ่มเทให้งานคือเรื่องปกติ ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้อง "สู้" และ "ทน" กับความยากลำบาก

แต่เมื่อถามพี่ป้อมต่อว่า "แล้วพี่คิดว่าความสำเร็จคืออะไร?" เขาคิดนานก่อนจะตอบว่า "มันก็คือการมีเงิน มีหน้าที่การงานมั่นคง และเป็นที่ยอมรับในสังคม" พอผมถามต่อว่า "แล้วความสุขส่วนตัวล่ะ?" พี่ป้อมยิ้มแล้วบอกว่า "สมัยพี่ เราไม่ค่อยคิดถึงเรื่องนี้ เราแค่ทำงานไปก่อน"

นี่คือจุดที่เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ สำหรับคนรุ่นเก่า ความสำเร็จอาจวัดจากตัวชี้วัดภายนอก เช่น เงิน ตำแหน่ง หรือชื่อเสียง แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ ความสำเร็จเริ่มรวม "ความสุข" และ "คุณภาพชีวิต" เข้าไปด้วย

ยิ้มWork-Life Balance คือความอ่อนแอหรือความกล้า
ถ้าจะให้ผมสรุปจากเรื่องราวของมิวและพี่โจ รวมถึงมุมมองของพี่ป้อม ผมคิดว่า การที่คนรุ่นใหม่เลือก Work-Life Balance ไม่ได้แปลว่าพวกเขา "ไม่สู้งาน" หรือ "ไม่มีวันประสบความสำเร็จ" แต่พวกเขากำลังนิยามความสำเร็จในแบบของตัวเอง ซึ่งอาจจะต่างจากคนรุ่นก่อน

Work-Life Balance ไม่ใช่การหนีงาน
คนอย่างมิวหรือพี่โจไม่ได้ลาออกเพราะขี้เกียจหรือกลัวงานหนัก แต่พวกเขาเลือกที่จะ "ออกแบบชีวิต" ในแบบที่เหมาะกับตัวเอง การลาออกเพื่อหาสมดุลชีวิตอาจต้องใช้ความกล้ามากกว่าการอยู่ต่อในงานที่ไม่มีความสุข เพราะมันคือการก้าวออกจาก Comfort Zone และยอมรับความไม่แน่นอน

ความสำเร็จไม่ใช่แค่เงินหรือตำแหน่ง
คนรุ่นใหม่มองว่าความสำเร็จไม่ใช่แค่การไต่เต้าขึ้นไปเป็น CEO หรือมีเงินล้านในบัญชี แต่รวมถึงการมีสุขภาพจิตที่ดี มีเวลาให้ครอบครัว หรือได้ทำในสิ่งที่รัก มิวยังคงทำงานหนักในฐานะฟรีแลนซ์ และพี่โจก็เหนื่อยกับการทำร้านกาแฟ แต่ทั้งคู่เลือกงานที่ "มีความหมาย" สำหรับพวกเขา

สังคมเปลี่ยน ทัศนคติก็ต้องเปลี่ยน
สมัยก่อน การทำงานหนักอาจเป็นทางเลือกเดียวในการพิสูจน์ตัวเอง แต่ยุคนี้มีโอกาสและช่องทางมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานฟรีแลนซ์ ธุรกิจส่วนตัว หรือการทำงานระยะไกล คนรุ่นใหม่เลยมีอิสระมากขึ้นในการเลือกว่า "จะใช้ชีวิตยังไง"

กลับมาที่คำถามว่า "คนรุ่นใหม่ที่ลาออกเพราะ Work-Life Balance คือพวกไม่สู้งาน และไม่มีทางประสบความสำเร็จ" ผมคิดว่าไม่จริงเลย การเลือก Work-Life Balance ไม่ได้แปลว่าคุณอ่อนแอหรือยอมแพ้ แต่มันแสดงถึงความกล้าที่จะฟังเสียงหัวใจตัวเอง และเลือกเส้นทางที่อาจจะไม่เหมือนใคร ความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจวัดจากเงินและตำแหน่ง แต่บางคนวัดจากความสุขและอิสรภาพ

สุดท้ายแล้ว ผมอยากชวนทุกคนลองถามตัวเองว่า "ความสำเร็จสำหรับเราคืออะไร?" และถ้าคุณรู้คำตอบแล้ว อย่ากลัวที่จะเดินตามมัน ไม่ว่าจะต้องลาออก เปลี่ยนงาน หรือสู้ต่อในที่เดิม เพราะชีวิตนี้มันสั้นเกินกว่าจะใช้ไปกับการทำอะไรที่ไม่ใช่ "ตัวเรา"





แหล่งที่มาและแรงบันดาลใจสำหรับโพสนี้
ใน Pantip มีการพูดถึง WLB ในหลายกระทู้  ซึ่งสะท้อนความคิดเห็นที่หลากหลาย เช่น คนรุ่นเก่ามองว่าคนรุ่นใหม่ "ขี้เกียจ" หรือ "ยอมแพ้ง่าย" ขณะที่คนรุ่นใหม่มองว่า WLB คือการเลือกใช้ชีวิตในแบบที่เหมาะกับตัวเอง ผมหยิบความขัดแย้งนี้มาสร้าง เพื่อเป็นตัวแทนมุมมองคนรุ่นเก่า และ "น้องมิว" กับ "พี่โจ" เพื่อแสดงมุมมองคนรุ่นใหม่

winkโพสต์: "Worklife balance มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรอ? แคร์อนาคตดีกว่ามั้ย" https://pantip.com/topic/42881232
โพสต์นี้มีคนรุ่นเก่ามาแชร์มุมมองว่า WLB อาจไม่สำคัญเท่าการโฟกัสอนาคตและเงินเดือน ซึ่งสะท้อนทัศนคติของ "พี่ป้อม" ที่มองว่าคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยอดทนกับงานหนัก นอกจากนี้ยังมีคอมเมนต์จากคนรุ่นใหม่ที่แย้งว่าการเลือก WLB คือการเลือกคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เรื่องของ "น้องมิว" ที่ลาออกเพื่อความสุข

winkโพสต์: "ตกลง Work-life Balancing ดีหรือไม่ดีคะ เห็นชาวพันทิพตำหนิว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง"  https://pantip.com/topic/42203627
โพสต์นี้มีการถกเถียงถึง WLB ว่าเป็นแนวคิดที่ "หลอกลวง" หรือเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ควรยึดถือ มีคนเล่าประสบการณ์ว่าลาออกเพราะงานหนักเกินจนสุขภาพจิตแย่ ซึ่งคล้ายกับสิ่งที่ผมใส่ในเรื่องของ "น้องมิว" และ "พี่โจ" ที่เผชิญ Burnout และเลือกเปลี่ยนเส้นทางชีวิต

winkโพสต์: "ตามหาที่ทำงาน work-life balance"  https://pantip.com/topic/37335352
โพสต์นี้คนตั้งกระทู้ถามว่ามีที่ทำงานไหนที่ให้ WLB จริง ๆ และมีคนมาแชร์ประสบการณ์ลาออกจากงานที่กดดันเพื่อไปทำอะไรที่เหมาะกับตัวเองมากขึ้น เช่น งานฟรีแลนซ์หรือธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เรื่องของ "น้องมิว" (ที่หันไปทำฟรีแลนซ์) และ "พี่โจ" (ที่เปิดร้านกาแฟ)  

winkโพสต์: "Work life balance ไม่มีจริง มีจริงเฉพาะ 'Work ไร้ Balance'"  https://pantip.com/topic/42610267
โพสต์นี้มีคนระบายว่า WLB ในที่ทำงานบางแห่งเป็นแค่คำโฆษณา และเล่าถึงความรู้สึกหมดไฟจากการทำงานหนักเกินไป ซึ่งช่วยผมออกแบบตัวละครอย่าง "น้องมิว" ที่รู้สึกเหมือน "หุ่นยนต์" และ "พี่โจ" ที่มีปัญหาสุขภาพจากการทำงานหนัก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่