สวัสดีทุกคน เราจะมาคุยกันในประเด็นที่ร้อนแรงและชวนถกเถียงสุด ๆ ในยุคนี้ นั่นคือเรื่อง
"Work-Life Balance" หรือการรักษาสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ที่ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลยอดฮิตของคนรุ่นใหม่ที่ตัดสินใจลาออกจากงาน แล้วคำถามที่ตามมาก็คือ จริงหรือเปล่าที่คนกลุ่มนี้ถูกมองว่าเป็น
"พวกไม่สู้งาน" หรือ
"ไม่มีวันประสบความสำเร็จ"? วันนี้เราจะพาทุกคนไปสำรวจมุมมองนี้ผ่านประสบการณ์ของคนอื่นที่ผมได้ยินมา และลองคุยกันเพื่อดูว่ามันจริงหรือแค่ stereotype ที่ถูกโยนใส่คนรุ่นใหม่กันแน่
ลาออกเพื่อหาความสุขที่แท้จริง
เริ่มจากเรื่องของน้องมิว (นามสมมติ) อายุ 27 ปี สาวออฟฟิศที่เคยทำงานในบริษัทโฆษณาชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ น้องมิวเล่าว่า ตอนแรกที่ได้งานนี้ เธอตื่นเต้นมาก เพราะมันคือ "งานในฝัน" ที่หลายคนอยากได้ เงินเดือนดี เพื่อนร่วมงานเก่ง ๆ เต็มไปหมด และโอกาสก้าวหน้าก็ดูเหมือนจะมีเยอะ แต่หลังจากทำงานไปได้สัก 2 ปี มิวเริ่มรู้สึกว่า "ตัวเองเหมือนหุ่นยนต์ที่ทำงานวนลูปไม่จบ"
มิวเล่าว่า เธอต้องตื่นตี 5 เพื่อฝ่ารถติดไปออฟฟิศ ทำงานถึงสี่ห้าทุ่มแทบทุกวัน และบางครั้งก็มีงานด่วนช่วงสุดสัปดาห์ ชีวิตส่วนตัวแทบไม่มี เพราะเวลาที่เหลือก็หมดไปกับการนอนพักเอาแรงเพื่อทำงานต่อ เธอบอกว่า "หนูรู้สึกเหมือนชีวิตหายไป หนูไม่ได้เจอเพื่อน ไม่ได้ไปกินข้าวกับครอบครัว แม้แต่เวลาจะดูซีรีส์ที่ชอบหรือไปวิ่งออกกำลังกายก็ไม่มี"
สุดท้าย มิวตัดสินใจลาออก หลังจากที่เริ่มมีอาการ Burnout เธอรู้สึกเหนื่อยล้า ท้อแท้ และเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า "นี่คือชีวิตที่เราอยากมีจริง ๆ เหรอ?" เธอเลือกไปทำงานฟรีแลนซ์และเรียนคอร์สออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะด้านการออกแบบกราฟิก ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอรักแต่ไม่มีเวลาได้ทำตอนทำงานประจำ ตอนนี้มิวบอกว่า เธอมีความสุขมากขึ้น แม้รายได้จะไม่แน่นอนเหมือนเมื่อก่อน แต่เธอได้ใช้เวลากับครอบครัว ได้กลับไปวิ่งมาราธอน และรู้สึกว่า "ชีวิตเป็นของตัวเองมากขึ้น"
ถ้ามองจากมุมของคนที่บอกว่า "คนรุ่นใหม่ไม่สู้งาน" มิวน่าจะถูกตีตราว่าเป็นคน "ยอมแพ้ง่าย" เพราะลาออกทั้งที่งานดี แต่ถ้ามองจากมุมของมิว เธอไม่ได้หนีงาน เธอแค่เลือกที่จะ "จัดลำดับความสำคัญในชีวิตใหม่" เธอบอกว่า "หนูไม่ได้เกลียดงาน แต่หนูอยากมีชีวิตที่สมดุลกว่านี้ หนูอยากทำงานที่รักและยังมีเวลาให้ตัวเองด้วย"
สู้สุดใจ แต่สุดท้ายเลือกตัวเอง
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือพี่โจ (นามสมมติ) อายุ 35 ปี พี่โจเคยเป็นพนักงานระดับผู้จัดการในบริษัทเทคแห่งหนึ่ง เขาเป็นคนที่ทุ่มเทกับงานมาก เรียกได้ว่าเป็น "สายสู้" ของแท้ ทำงานดึก รับผิดชอบโปรเจกต์ใหญ่ และมักถูกยกย่องว่าเป็นคนเก่งในทีม แต่พี่โจเล่าว่า หลังจากทำงานหนักต่อเนื่องหลายปี เขาเริ่มมีปัญหาสุขภาพ ทั้งนอนไม่หลับ ปวดหลังเรื้อรัง และความเครียดที่สะสมจนรู้สึกว่า "ตัวเองไม่ใช่ตัวเอง"
วันหนึ่ง พี่โจได้คุยกับเพื่อนสนิทที่เป็นโค้ชด้านการพัฒนาตัวเอง เพื่อนคนนี้ถามคำถามที่เปลี่ยนมุมมองของเขาไปเลยว่า "ถ้าคุณตายพรุ่งนี้ คุณจะเสียใจที่ไม่ได้ทำอะไร?" พี่โจตอบทันทีว่า "ผมอยากมีเวลาให้ครอบครัว อยากพาลูกไปเที่ยว อยากลองทำธุรกิจเล็ก ๆ ที่เป็นของตัวเอง" คำถามนี้ทำให้เขาตัดสินใจลาออก เพื่อไปเริ่มต้นร้านกาแฟเล็ก ๆ ในจังหวัดที่ตัวเองเติบโตมา
ตอนนี้พี่โจเล่าว่า ชีวิตเขาไม่ได้ง่ายเหมือนตอนเป็นพนักงานเงินเดือน แต่เขารู้สึก "เติมเต็ม" มากขึ้น เขาได้ใช้เวลากับลูก ได้ทำอะไรที่รัก และที่สำคัญคือสุขภาพจิตดีขึ้นเยอะ แม้ว่ารายได้จะน้อยลง แต่เขาบอกว่า "ความสำเร็จสำหรับผมตอนนี้ ไม่ใช่เงินเดือนหรือตำแหน่ง แต่คือการได้ใช้ชีวิตในแบบที่ผมเลือก"
มองจากอีกมุม คนรุ่นเก่าคิดยังไง
พี่ป้อม (นามสมมติ) อายุ 50 ปี เจ้าของบริษัทขนาดกลางที่จ้างพนักงานรุ่นใหม่หลายคน พี่ป้อมมองว่า "คนรุ่นใหม่บางคนดูเหมือนจะไม่ค่อยอดทนกับความกดดันในที่ทำงาน" เขาเล่าว่า มีพนักงานรุ่นใหม่หลายคนที่ลาออกหลังจากทำงานได้ไม่ถึงปี โดยให้เหตุผลว่า "อยากหาความสมดุลในชีวิต" หรือ "งานหนักเกินไป" พี่ป้อมบอกว่า สมัยเขาเริ่มทำงานใหม่ ๆ การทุ่มเทให้งานคือเรื่องปกติ ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้อง "สู้" และ "ทน" กับความยากลำบาก
แต่เมื่อถามพี่ป้อมต่อว่า "แล้วพี่คิดว่าความสำเร็จคืออะไร?" เขาคิดนานก่อนจะตอบว่า "มันก็คือการมีเงิน มีหน้าที่การงานมั่นคง และเป็นที่ยอมรับในสังคม" พอผมถามต่อว่า "แล้วความสุขส่วนตัวล่ะ?" พี่ป้อมยิ้มแล้วบอกว่า "สมัยพี่ เราไม่ค่อยคิดถึงเรื่องนี้ เราแค่ทำงานไปก่อน"
นี่คือจุดที่เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ สำหรับคนรุ่นเก่า ความสำเร็จอาจวัดจากตัวชี้วัดภายนอก เช่น เงิน ตำแหน่ง หรือชื่อเสียง แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ ความสำเร็จเริ่มรวม "ความสุข" และ "คุณภาพชีวิต" เข้าไปด้วย
Work-Life Balance คือความอ่อนแอหรือความกล้า
ถ้าจะให้ผมสรุปจากเรื่องราวของมิวและพี่โจ รวมถึงมุมมองของพี่ป้อม ผมคิดว่า การที่คนรุ่นใหม่เลือก Work-Life Balance ไม่ได้แปลว่าพวกเขา "ไม่สู้งาน" หรือ "ไม่มีวันประสบความสำเร็จ" แต่พวกเขากำลังนิยามความสำเร็จในแบบของตัวเอง ซึ่งอาจจะต่างจากคนรุ่นก่อน
Work-Life Balance ไม่ใช่การหนีงาน
คนอย่างมิวหรือพี่โจไม่ได้ลาออกเพราะขี้เกียจหรือกลัวงานหนัก แต่พวกเขาเลือกที่จะ "ออกแบบชีวิต" ในแบบที่เหมาะกับตัวเอง การลาออกเพื่อหาสมดุลชีวิตอาจต้องใช้ความกล้ามากกว่าการอยู่ต่อในงานที่ไม่มีความสุข เพราะมันคือการก้าวออกจาก Comfort Zone และยอมรับความไม่แน่นอน
ความสำเร็จไม่ใช่แค่เงินหรือตำแหน่ง
คนรุ่นใหม่มองว่าความสำเร็จไม่ใช่แค่การไต่เต้าขึ้นไปเป็น CEO หรือมีเงินล้านในบัญชี แต่รวมถึงการมีสุขภาพจิตที่ดี มีเวลาให้ครอบครัว หรือได้ทำในสิ่งที่รัก มิวยังคงทำงานหนักในฐานะฟรีแลนซ์ และพี่โจก็เหนื่อยกับการทำร้านกาแฟ แต่ทั้งคู่เลือกงานที่ "มีความหมาย" สำหรับพวกเขา
สังคมเปลี่ยน ทัศนคติก็ต้องเปลี่ยน
สมัยก่อน การทำงานหนักอาจเป็นทางเลือกเดียวในการพิสูจน์ตัวเอง แต่ยุคนี้มีโอกาสและช่องทางมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานฟรีแลนซ์ ธุรกิจส่วนตัว หรือการทำงานระยะไกล คนรุ่นใหม่เลยมีอิสระมากขึ้นในการเลือกว่า "จะใช้ชีวิตยังไง"
กลับมาที่คำถามว่า "คนรุ่นใหม่ที่ลาออกเพราะ Work-Life Balance คือพวกไม่สู้งาน และไม่มีทางประสบความสำเร็จ" ผมคิดว่าไม่จริงเลย การเลือก Work-Life Balance ไม่ได้แปลว่าคุณอ่อนแอหรือยอมแพ้ แต่มันแสดงถึงความกล้าที่จะฟังเสียงหัวใจตัวเอง และเลือกเส้นทางที่อาจจะไม่เหมือนใคร ความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจวัดจากเงินและตำแหน่ง แต่บางคนวัดจากความสุขและอิสรภาพ
สุดท้ายแล้ว ผมอยากชวนทุกคนลองถามตัวเองว่า "ความสำเร็จสำหรับเราคืออะไร?" และถ้าคุณรู้คำตอบแล้ว อย่ากลัวที่จะเดินตามมัน ไม่ว่าจะต้องลาออก เปลี่ยนงาน หรือสู้ต่อในที่เดิม เพราะชีวิตนี้มันสั้นเกินกว่าจะใช้ไปกับการทำอะไรที่ไม่ใช่ "ตัวเรา"
แหล่งที่มาและแรงบันดาลใจสำหรับโพสนี้
ใน Pantip มีการพูดถึง WLB ในหลายกระทู้ ซึ่งสะท้อนความคิดเห็นที่หลากหลาย เช่น คนรุ่นเก่ามองว่าคนรุ่นใหม่ "ขี้เกียจ" หรือ "ยอมแพ้ง่าย" ขณะที่คนรุ่นใหม่มองว่า WLB คือการเลือกใช้ชีวิตในแบบที่เหมาะกับตัวเอง ผมหยิบความขัดแย้งนี้มาสร้าง เพื่อเป็นตัวแทนมุมมองคนรุ่นเก่า และ "น้องมิว" กับ "พี่โจ" เพื่อแสดงมุมมองคนรุ่นใหม่

โพสต์: "Worklife balance มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรอ? แคร์อนาคตดีกว่ามั้ย"
https://pantip.com/topic/42881232
โพสต์นี้มีคนรุ่นเก่ามาแชร์มุมมองว่า WLB อาจไม่สำคัญเท่าการโฟกัสอนาคตและเงินเดือน ซึ่งสะท้อนทัศนคติของ "พี่ป้อม" ที่มองว่าคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยอดทนกับงานหนัก นอกจากนี้ยังมีคอมเมนต์จากคนรุ่นใหม่ที่แย้งว่าการเลือก WLB คือการเลือกคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เรื่องของ "น้องมิว" ที่ลาออกเพื่อความสุข

โพสต์: "ตกลง Work-life Balancing ดีหรือไม่ดีคะ เห็นชาวพันทิพตำหนิว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง"
https://pantip.com/topic/42203627
โพสต์นี้มีการถกเถียงถึง WLB ว่าเป็นแนวคิดที่ "หลอกลวง" หรือเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ควรยึดถือ มีคนเล่าประสบการณ์ว่าลาออกเพราะงานหนักเกินจนสุขภาพจิตแย่ ซึ่งคล้ายกับสิ่งที่ผมใส่ในเรื่องของ "น้องมิว" และ "พี่โจ" ที่เผชิญ Burnout และเลือกเปลี่ยนเส้นทางชีวิต

โพสต์: "ตามหาที่ทำงาน work-life balance"
https://pantip.com/topic/37335352
โพสต์นี้คนตั้งกระทู้ถามว่ามีที่ทำงานไหนที่ให้ WLB จริง ๆ และมีคนมาแชร์ประสบการณ์ลาออกจากงานที่กดดันเพื่อไปทำอะไรที่เหมาะกับตัวเองมากขึ้น เช่น งานฟรีแลนซ์หรือธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เรื่องของ "น้องมิว" (ที่หันไปทำฟรีแลนซ์) และ "พี่โจ" (ที่เปิดร้านกาแฟ)

โพสต์: "Work life balance ไม่มีจริง มีจริงเฉพาะ 'Work ไร้ Balance'"
https://pantip.com/topic/42610267
โพสต์นี้มีคนระบายว่า WLB ในที่ทำงานบางแห่งเป็นแค่คำโฆษณา และเล่าถึงความรู้สึกหมดไฟจากการทำงานหนักเกินไป ซึ่งช่วยผมออกแบบตัวละครอย่าง "น้องมิว" ที่รู้สึกเหมือน "หุ่นยนต์" และ "พี่โจ" ที่มีปัญหาสุขภาพจากการทำงานหนัก
จริงหรือไม่ที่... คนรุ่นใหม่ที่ลาออกเพราะ 'Work-Life Balance' คือพวกไม่สู้งาน และไม่มีทางประสบความสำเร็จ
เริ่มจากเรื่องของน้องมิว (นามสมมติ) อายุ 27 ปี สาวออฟฟิศที่เคยทำงานในบริษัทโฆษณาชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ น้องมิวเล่าว่า ตอนแรกที่ได้งานนี้ เธอตื่นเต้นมาก เพราะมันคือ "งานในฝัน" ที่หลายคนอยากได้ เงินเดือนดี เพื่อนร่วมงานเก่ง ๆ เต็มไปหมด และโอกาสก้าวหน้าก็ดูเหมือนจะมีเยอะ แต่หลังจากทำงานไปได้สัก 2 ปี มิวเริ่มรู้สึกว่า "ตัวเองเหมือนหุ่นยนต์ที่ทำงานวนลูปไม่จบ"
มิวเล่าว่า เธอต้องตื่นตี 5 เพื่อฝ่ารถติดไปออฟฟิศ ทำงานถึงสี่ห้าทุ่มแทบทุกวัน และบางครั้งก็มีงานด่วนช่วงสุดสัปดาห์ ชีวิตส่วนตัวแทบไม่มี เพราะเวลาที่เหลือก็หมดไปกับการนอนพักเอาแรงเพื่อทำงานต่อ เธอบอกว่า "หนูรู้สึกเหมือนชีวิตหายไป หนูไม่ได้เจอเพื่อน ไม่ได้ไปกินข้าวกับครอบครัว แม้แต่เวลาจะดูซีรีส์ที่ชอบหรือไปวิ่งออกกำลังกายก็ไม่มี"
สุดท้าย มิวตัดสินใจลาออก หลังจากที่เริ่มมีอาการ Burnout เธอรู้สึกเหนื่อยล้า ท้อแท้ และเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่า "นี่คือชีวิตที่เราอยากมีจริง ๆ เหรอ?" เธอเลือกไปทำงานฟรีแลนซ์และเรียนคอร์สออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะด้านการออกแบบกราฟิก ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอรักแต่ไม่มีเวลาได้ทำตอนทำงานประจำ ตอนนี้มิวบอกว่า เธอมีความสุขมากขึ้น แม้รายได้จะไม่แน่นอนเหมือนเมื่อก่อน แต่เธอได้ใช้เวลากับครอบครัว ได้กลับไปวิ่งมาราธอน และรู้สึกว่า "ชีวิตเป็นของตัวเองมากขึ้น"
ถ้ามองจากมุมของคนที่บอกว่า "คนรุ่นใหม่ไม่สู้งาน" มิวน่าจะถูกตีตราว่าเป็นคน "ยอมแพ้ง่าย" เพราะลาออกทั้งที่งานดี แต่ถ้ามองจากมุมของมิว เธอไม่ได้หนีงาน เธอแค่เลือกที่จะ "จัดลำดับความสำคัญในชีวิตใหม่" เธอบอกว่า "หนูไม่ได้เกลียดงาน แต่หนูอยากมีชีวิตที่สมดุลกว่านี้ หนูอยากทำงานที่รักและยังมีเวลาให้ตัวเองด้วย"
อีกเรื่องที่น่าสนใจคือพี่โจ (นามสมมติ) อายุ 35 ปี พี่โจเคยเป็นพนักงานระดับผู้จัดการในบริษัทเทคแห่งหนึ่ง เขาเป็นคนที่ทุ่มเทกับงานมาก เรียกได้ว่าเป็น "สายสู้" ของแท้ ทำงานดึก รับผิดชอบโปรเจกต์ใหญ่ และมักถูกยกย่องว่าเป็นคนเก่งในทีม แต่พี่โจเล่าว่า หลังจากทำงานหนักต่อเนื่องหลายปี เขาเริ่มมีปัญหาสุขภาพ ทั้งนอนไม่หลับ ปวดหลังเรื้อรัง และความเครียดที่สะสมจนรู้สึกว่า "ตัวเองไม่ใช่ตัวเอง"
วันหนึ่ง พี่โจได้คุยกับเพื่อนสนิทที่เป็นโค้ชด้านการพัฒนาตัวเอง เพื่อนคนนี้ถามคำถามที่เปลี่ยนมุมมองของเขาไปเลยว่า "ถ้าคุณตายพรุ่งนี้ คุณจะเสียใจที่ไม่ได้ทำอะไร?" พี่โจตอบทันทีว่า "ผมอยากมีเวลาให้ครอบครัว อยากพาลูกไปเที่ยว อยากลองทำธุรกิจเล็ก ๆ ที่เป็นของตัวเอง" คำถามนี้ทำให้เขาตัดสินใจลาออก เพื่อไปเริ่มต้นร้านกาแฟเล็ก ๆ ในจังหวัดที่ตัวเองเติบโตมา
ตอนนี้พี่โจเล่าว่า ชีวิตเขาไม่ได้ง่ายเหมือนตอนเป็นพนักงานเงินเดือน แต่เขารู้สึก "เติมเต็ม" มากขึ้น เขาได้ใช้เวลากับลูก ได้ทำอะไรที่รัก และที่สำคัญคือสุขภาพจิตดีขึ้นเยอะ แม้ว่ารายได้จะน้อยลง แต่เขาบอกว่า "ความสำเร็จสำหรับผมตอนนี้ ไม่ใช่เงินเดือนหรือตำแหน่ง แต่คือการได้ใช้ชีวิตในแบบที่ผมเลือก"
พี่ป้อม (นามสมมติ) อายุ 50 ปี เจ้าของบริษัทขนาดกลางที่จ้างพนักงานรุ่นใหม่หลายคน พี่ป้อมมองว่า "คนรุ่นใหม่บางคนดูเหมือนจะไม่ค่อยอดทนกับความกดดันในที่ทำงาน" เขาเล่าว่า มีพนักงานรุ่นใหม่หลายคนที่ลาออกหลังจากทำงานได้ไม่ถึงปี โดยให้เหตุผลว่า "อยากหาความสมดุลในชีวิต" หรือ "งานหนักเกินไป" พี่ป้อมบอกว่า สมัยเขาเริ่มทำงานใหม่ ๆ การทุ่มเทให้งานคือเรื่องปกติ ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้อง "สู้" และ "ทน" กับความยากลำบาก
แต่เมื่อถามพี่ป้อมต่อว่า "แล้วพี่คิดว่าความสำเร็จคืออะไร?" เขาคิดนานก่อนจะตอบว่า "มันก็คือการมีเงิน มีหน้าที่การงานมั่นคง และเป็นที่ยอมรับในสังคม" พอผมถามต่อว่า "แล้วความสุขส่วนตัวล่ะ?" พี่ป้อมยิ้มแล้วบอกว่า "สมัยพี่ เราไม่ค่อยคิดถึงเรื่องนี้ เราแค่ทำงานไปก่อน"
นี่คือจุดที่เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างคนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ สำหรับคนรุ่นเก่า ความสำเร็จอาจวัดจากตัวชี้วัดภายนอก เช่น เงิน ตำแหน่ง หรือชื่อเสียง แต่สำหรับคนรุ่นใหม่ ความสำเร็จเริ่มรวม "ความสุข" และ "คุณภาพชีวิต" เข้าไปด้วย
ถ้าจะให้ผมสรุปจากเรื่องราวของมิวและพี่โจ รวมถึงมุมมองของพี่ป้อม ผมคิดว่า การที่คนรุ่นใหม่เลือก Work-Life Balance ไม่ได้แปลว่าพวกเขา "ไม่สู้งาน" หรือ "ไม่มีวันประสบความสำเร็จ" แต่พวกเขากำลังนิยามความสำเร็จในแบบของตัวเอง ซึ่งอาจจะต่างจากคนรุ่นก่อน
Work-Life Balance ไม่ใช่การหนีงาน
คนอย่างมิวหรือพี่โจไม่ได้ลาออกเพราะขี้เกียจหรือกลัวงานหนัก แต่พวกเขาเลือกที่จะ "ออกแบบชีวิต" ในแบบที่เหมาะกับตัวเอง การลาออกเพื่อหาสมดุลชีวิตอาจต้องใช้ความกล้ามากกว่าการอยู่ต่อในงานที่ไม่มีความสุข เพราะมันคือการก้าวออกจาก Comfort Zone และยอมรับความไม่แน่นอน
ความสำเร็จไม่ใช่แค่เงินหรือตำแหน่ง
คนรุ่นใหม่มองว่าความสำเร็จไม่ใช่แค่การไต่เต้าขึ้นไปเป็น CEO หรือมีเงินล้านในบัญชี แต่รวมถึงการมีสุขภาพจิตที่ดี มีเวลาให้ครอบครัว หรือได้ทำในสิ่งที่รัก มิวยังคงทำงานหนักในฐานะฟรีแลนซ์ และพี่โจก็เหนื่อยกับการทำร้านกาแฟ แต่ทั้งคู่เลือกงานที่ "มีความหมาย" สำหรับพวกเขา
สังคมเปลี่ยน ทัศนคติก็ต้องเปลี่ยน
สมัยก่อน การทำงานหนักอาจเป็นทางเลือกเดียวในการพิสูจน์ตัวเอง แต่ยุคนี้มีโอกาสและช่องทางมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นงานฟรีแลนซ์ ธุรกิจส่วนตัว หรือการทำงานระยะไกล คนรุ่นใหม่เลยมีอิสระมากขึ้นในการเลือกว่า "จะใช้ชีวิตยังไง"
กลับมาที่คำถามว่า "คนรุ่นใหม่ที่ลาออกเพราะ Work-Life Balance คือพวกไม่สู้งาน และไม่มีทางประสบความสำเร็จ" ผมคิดว่าไม่จริงเลย การเลือก Work-Life Balance ไม่ได้แปลว่าคุณอ่อนแอหรือยอมแพ้ แต่มันแสดงถึงความกล้าที่จะฟังเสียงหัวใจตัวเอง และเลือกเส้นทางที่อาจจะไม่เหมือนใคร ความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจวัดจากเงินและตำแหน่ง แต่บางคนวัดจากความสุขและอิสรภาพ
สุดท้ายแล้ว ผมอยากชวนทุกคนลองถามตัวเองว่า "ความสำเร็จสำหรับเราคืออะไร?" และถ้าคุณรู้คำตอบแล้ว อย่ากลัวที่จะเดินตามมัน ไม่ว่าจะต้องลาออก เปลี่ยนงาน หรือสู้ต่อในที่เดิม เพราะชีวิตนี้มันสั้นเกินกว่าจะใช้ไปกับการทำอะไรที่ไม่ใช่ "ตัวเรา"
แหล่งที่มาและแรงบันดาลใจสำหรับโพสนี้
ใน Pantip มีการพูดถึง WLB ในหลายกระทู้ ซึ่งสะท้อนความคิดเห็นที่หลากหลาย เช่น คนรุ่นเก่ามองว่าคนรุ่นใหม่ "ขี้เกียจ" หรือ "ยอมแพ้ง่าย" ขณะที่คนรุ่นใหม่มองว่า WLB คือการเลือกใช้ชีวิตในแบบที่เหมาะกับตัวเอง ผมหยิบความขัดแย้งนี้มาสร้าง เพื่อเป็นตัวแทนมุมมองคนรุ่นเก่า และ "น้องมิว" กับ "พี่โจ" เพื่อแสดงมุมมองคนรุ่นใหม่
โพสต์นี้มีคนรุ่นเก่ามาแชร์มุมมองว่า WLB อาจไม่สำคัญเท่าการโฟกัสอนาคตและเงินเดือน ซึ่งสะท้อนทัศนคติของ "พี่ป้อม" ที่มองว่าคนรุ่นใหม่ไม่ค่อยอดทนกับงานหนัก นอกจากนี้ยังมีคอมเมนต์จากคนรุ่นใหม่ที่แย้งว่าการเลือก WLB คือการเลือกคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เรื่องของ "น้องมิว" ที่ลาออกเพื่อความสุข
โพสต์นี้มีการถกเถียงถึง WLB ว่าเป็นแนวคิดที่ "หลอกลวง" หรือเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ควรยึดถือ มีคนเล่าประสบการณ์ว่าลาออกเพราะงานหนักเกินจนสุขภาพจิตแย่ ซึ่งคล้ายกับสิ่งที่ผมใส่ในเรื่องของ "น้องมิว" และ "พี่โจ" ที่เผชิญ Burnout และเลือกเปลี่ยนเส้นทางชีวิต
โพสต์นี้คนตั้งกระทู้ถามว่ามีที่ทำงานไหนที่ให้ WLB จริง ๆ และมีคนมาแชร์ประสบการณ์ลาออกจากงานที่กดดันเพื่อไปทำอะไรที่เหมาะกับตัวเองมากขึ้น เช่น งานฟรีแลนซ์หรือธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เรื่องของ "น้องมิว" (ที่หันไปทำฟรีแลนซ์) และ "พี่โจ" (ที่เปิดร้านกาแฟ)
โพสต์นี้มีคนระบายว่า WLB ในที่ทำงานบางแห่งเป็นแค่คำโฆษณา และเล่าถึงความรู้สึกหมดไฟจากการทำงานหนักเกินไป ซึ่งช่วยผมออกแบบตัวละครอย่าง "น้องมิว" ที่รู้สึกเหมือน "หุ่นยนต์" และ "พี่โจ" ที่มีปัญหาสุขภาพจากการทำงานหนัก