จะเป็นอย่างไร ถ้าแท็กซี่ไทย เปลี่ยนเป็น EV ? /โดย ลงทุนแมน

ปัญหาหลักน่าจะเป็นเรื่องจุดชาร์จไฟ



อุตสาหกรรมแท็กซี่กำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ เมื่อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กำลังมีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์

ประเทศต่าง ๆ อย่างจีน นอร์เวย์ และอีกหลายประเทศทั่วโลก กำลังมุ่งเปลี่ยนผ่านสู่การใช้รถแท็กซี่ไฟฟ้า 100%

โดยคาดการณ์กันว่า ตลาดแท็กซี่ไฟฟ้าทั่วโลก มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด และอาจมีมูลค่าสูงถึง 1.9 ล้านล้านบาท ภายในปี 2032

สะท้อนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้กลายเป็นเทรนด์อนาคตที่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ต้องเผชิญหน้าและปรับตัวตามให้ทัน

เรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

ภาพในอดีต รถแท็กซี่ที่เราคุ้นชินคือ รถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิง NGV หรือก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์
ซึ่งเป็นทางเลือกที่ช่วยลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิง โดยเฉพาะในยุคที่ราคาน้ำมันสูงลิ่ว

แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป เทคโนโลยียานยนต์พัฒนาดีขึ้น บวกกับแนวคิดที่ตระหนักถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่กำลังเร่งให้ประเทศทั่วโลกเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

ประเทศไทยเอง ปัจจุบันทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจึงเห็นความสำคัญของรถยนต์ไฟฟ้า และพร้อมที่จะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านนี้ขึ้นจริง

ไม่ว่าจะเป็นมาตรการอุดหนุนจากภาครัฐ การขยายเครือข่ายสถานีชาร์จให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ เพื่อการเข้าถึงการชาร์จไฟได้ง่ายและสะดวกสบาย และการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในระบบการขนส่งสาธารณะ

รวมไปถึงการลดบทบาทของรถยนต์สันดาปภายในลงไป
ซึ่งในอนาคตอาจจะมีการจำกัดพื้นที่การใช้งาน หรือการเพิ่มภาษีที่มีการปล่อยมลพิษสูง อย่างที่หลายประเทศทั่วโลกเริ่มดำเนินการแล้ว

ซึ่งแท็กซี่ไฟฟ้า ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งคำตอบของเทรนด์นี้ ที่ยังไม่ค่อยเห็นมากนักในบ้านเรา

ภาพในอนาคต ถ้าปัจจัยหลาย ๆ ด้านเอื้ออำนวย
ทั้งราคารถ EV อยู่ในระดับต้นทุนที่รับได้ ราคาเปลี่ยนแบตเตอรี่ที่คุ้มทุน หรือสถานีชาร์จที่กระจายครอบคลุมไม่ต่างจากสาขาปั๊มน้ำมัน ก็น่าจะทำให้วงการแท็กซี่ไฟฟ้าในบ้านเราสดใสขึ้น

ทีนี้เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น ลองมาดูกันว่าชีวิตคนขับแท็กซี่ไฟฟ้าที่ใช้งานจริงกันจะเปลี่ยนไปอย่างไร

ถ้าเทียบกันระหว่างรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซ NGV กับรถแท็กซี่ไฟฟ้า ในมุมของต้นทุน การหารายได้ และการดูแลรักษา

ลองนึกตามว่า ในแต่ละวัน รายได้จากการขับแท็กซี่ ต้องถูกหักออกไปเป็นค่าก๊าซ NGV ที่มีราคาผันผวน ซึ่งค่าใช้จ่ายต่อวันสูงถึง 400-600 บาท

แต่ถ้าเป็นรถแท็กซี่ไฟฟ้า จะมีค่าใช้จ่ายต่อกิโลเมตรที่ถูกกว่ามาก
ถ้าคำนวณจากค่าไฟเฉลี่ย 1 บาทต่อกิโลเมตร สมมติว่าเดินรถระยะทางราว 300 กิโลเมตรต่อวัน ทำให้เสียค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันเพียง 300 บาท  
หรือเท่ากับว่า ค่าใช้จ่ายอาจประหยัดสูงสุดถึง 300 บาทต่อวัน

ส่วนค่าบำรุงรักษารถไฟฟ้า ยังถูกกว่ามาก เพราะรถยนต์ไฟฟ้าใช้มอเตอร์ขับเคลื่อน ทำให้มีชิ้นส่วนที่ต้องดูแลน้อยกว่ามาก ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ไม่มีระบบเกียร์ที่ซับซ้อน
ซึ่งค่าบำรุงรักษาอาจจะถูกกว่ากันถึง 7 เท่า เมื่อเทียบกับรถที่ใช้น้ำมันหรือก๊าซ NGV

อย่างไรก็ตาม ประเด็นหลักที่หลายคนกังวลกับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าคงหนีไม่พ้นเรื่องต้นทุนของแบตเตอรี่ ซึ่งถ้าบริษัทผู้ผลิตเร่งพัฒนาแบตเตอรี่ต่อไปในอนาคต ก็มีโอกาสที่แบตเตอรี่อาจจะมีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำลงได้

นอกจากต้นทุนที่ลดลงแล้ว การขับรถแท็กซี่ไฟฟ้าอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการหารายได้อีกทางหนึ่งด้วย
เพราะลูกค้าหลาย ๆ คน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ถ้าเลือกได้ ก็อยากนั่งรถแท็กซี่ที่ขับเงียบสนิท ไม่มีกลิ่น และรถดูทันสมัย ซึ่งรถแท็กซี่ไฟฟ้า ตอบโจทย์เรื่องนี้ได้

เมื่อการเดินทางได้รับความสะดวกสบาย และประสบการณ์ที่ดีขึ้น ความเป็นไปได้ที่ผู้โดยสารจะเรียกใช้บริการมากขึ้น นั่นก็หมายถึงรายได้ที่อาจจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

และคงไม่ได้ส่งผลดีแค่กับผู้ขับขี่รายบุคคลเท่านั้น แต่รวมไปถึงสหกรณ์แท็กซี่
เพราะข้อแรกเลย ถ้าสมาชิกของสหกรณ์มีรายได้และกำไรที่ดีขึ้น ก็ช่วยให้ระบบสหกรณ์มีความเข้มแข็งมากขึ้น

ต่อมา เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
โดยการใช้รถยนต์ไฟฟ้าช่วยเสริมภาพลักษณ์ขององค์กรให้ดูทันสมัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมตามเทรนด์ที่ผู้บริโภคในยุคใหม่

และอาจดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้หันมาประกอบอาชีพนี้มากขึ้น สามารถใช้เทคโนโลยีอย่างรถยนต์ไฟฟ้าที่ทันสมัย สอดรับกับวิถีชีวิตในปัจจุบัน

ถึงตรงนี้จะเห็นว่า การตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้แท็กซี่ไฟฟ้า ถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของคนขับแท็กซี่ ที่แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ก็แฝงได้ด้วยโอกาสหลายอย่าง ทั้งช่วยเพิ่มรายได้และกำไร ลดค่าใช้จ่าย และมีโอกาสที่จะนำไปสู่สังคมลดมลพิษ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่