ส่งออกลดพ่นพิษ โรงงานเลิกจ้าง พนง. แคล-คอมพ์นำร่องปลด 1,450 คน
วันที่ 4 ตุลาคม 2568 - 07:01 น.
พิษภาษีทรัมป์ออกฤทธิ์ ส่งออกไทยปลายปีชะลอหนัก แคล-คอมพ์ฯปลดแรงงานต่างด้าว 1,450 คน แจงรับมือเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลง “ระยอง-ฉะเชิงเทรา” ออกอาการเดียวกัน ชี้ได้รับผลกระทบจากส่งออกลด ต้องเปิดเออร์ลี่ คาดต้นปี’69 อาจถึงขั้นปิดกิจการเพื่อตัดขาดทุน เผยธุรกิจปิโตรฯโดนจีนแย่งตลาด วอนรัฐบาลหนุน EEC หวังดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติช่วยฟื้นเศรษฐกิจ
จากกรณีที่บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับแบรนด์สำคัญทั่วโลก เช่น Western Digital, Seagate, Advance Digital Broadcast, Technicolor, Pace, Hewlett Packard, Panasonic ผลิตอุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์ และผลิตภัณฑ์กล่องรับสัญญาณ และหูฟัง ซึ่งมีโรงงานผลิตอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี ได้มีการเลิกจ้างพนักงานชาวต่างชาติจำนวน 1,450 คน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568
แคล-คอมพ์ฯ แจ้งว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับความผันผวนของอุปสงค์ บริษัทจึงจำเป็นต้องทบทวนกำลังคน เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ซึ่งสอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี
ด้วยเหตุผลข้างต้น บริษัทมีแรงงานเกินความจำเป็นในบางสายการผลิต จึงจำเป็นต้องปรับลดพนักงานจำนวน 1,450 คน จากที่มีพนักงานทั้งหมด 29,256 คน หลังจากดำเนินการครั้งนี้ บริษัทจะคงเหลือพนักงาน 27,806 คน ทั้งนี้ เพื่อรักษาสถานะการจ้างงานที่เหลืออยู่ให้มั่นคงต่อไป โดยบริษัทจะดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ถูกต้องตามกฎหมาย และคำนึงถึงประโยชน์ของทุกภาคส่วน รวมถึงชื่อเสียงของบริษัทในระดับโลก
บริษัทยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวได้ปฏิบัติตามสัญญาจ้าง กฎหมายคุ้มครองแรงงาน และข้อบังคับการทำงาน อีกทั้งยังได้หารือร่วมกับสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมการจัดหางาน และสำนักงานประกันสังคมในการดำเนินการครั้งนี้ และได้ชี้แจงกระบวนการเลิกจ้าง พร้อมจ่ายค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนดให้แก่พนักงานที่ได้รับผลกระทบ อีกทั้งยังได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานและช่วยเหลือพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของบริษัทให้คำปรึกษาและดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลา เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ กระบวนการเลิกจ้างได้ดำเนินการตามสิทธิที่มีอยู่ในสัญญาจ้างแรงงาน โดยบริษัทได้จ่ายค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์ที่พนักงานมีอยู่ แก่พนักงานที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ ยังได้จ่ายเพิ่มเติมอีก 3 ประการคือ
1.ค่าเช่าบ้านจำนวน 1,000 บาท
2.ค่าเดินทาง 300 บาท
3.ชดเชยค่าแรงให้อีกคนละ 1 เดือน
โรงงานระยองส่อแววธุรกิจแย่
นายทินกร ลาวัณย์เสถียร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.สตาร์ มันนี่ ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยถึง 93 สาขา ในฐานะประธานหอการค้าจังหวัดระยอง กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าขณะนี้มีบางธุรกิจได้รับผลกระทบหนักจากภาวะการส่งออกที่ลดลง โดยบางบริษัทมีการปรับลดพนักงานลง ด้วยการเปิดโครงการสมัครใจลาออก และคาดว่าช่วงต้นปี 2569 จะมีบางบริษัทอาจถึงขั้นปิดตัวลง บางบริษัทได้ประกาศขายกิจการ และบางบริษัทจะปิดกิจการบางส่วนที่ขาดทุน เพื่อประหยัดต้นทุน
ที่เห็นชัดในจังหวัดระยอง ในนิคมมาบตาพุด คือธุรกิจปิโตรเคมี แนวโน้มยังไม่มีสัญญาณบวก เกิดจากดีมานด์ซัพพลายไม่สอดคล้องกัน เนื่องจากประเทศจีนที่เคยเป็นผู้บริโภคหลักได้เปลี่ยนสถานะจากผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติก และมีการส่งออกในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ด้านความต้องการในประเทศลดต่ำลง
จากสถานการณ์ปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การใช้วัตถุดิบลดต่ำลงอย่างมีนัยยะ ราคาตกต่ำเป็นประวัติการณ์ บวกกับนโยบายการเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐอเมริกา สร้างผลกระทบที่ต่อเนื่องให้การส่งออกจีนสะดุด ประเทศไทยจึงสะดุดตาม อุตสาหกรรมปิโตรเคมีหลายบริษัทกำไรลดลงค่อนข้างมากถึงขั้นขาดทุน
เศรษฐกิจโลกชะลอฉุดส่งออกทรุด
“เศรษฐกิจทั่วโลกซบเซายังไม่ฟื้นตัว เห็นได้จากราคาทองที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากหลายประเทศมีปัญหาเรื่องการบริโภค เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ตอนนี้คนหันมาตุนทองคำกัน เพราะไม่เชื่อมั่นสภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสหรัฐประกาศปรับภาษีนำเข้าไทยเป็น 19% ทำให้คนอเมริกันใช้ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ต้องประหยัดมากขึ้น เงินในกระเป๋าเท่าเดิม แต่ซื้อของได้น้อยลง
เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจอเมริกาค่อนข้างชะลอตัว ยิ่งรัฐบาลสหรัฐเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ หลังจากสมาชิกวุฒิสภาไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายจัดสรรเงินทุน ก็มีผลกระทบทั่วโลกพอสมควร ขณะที่ประเทศจีนเศรษฐกิจก็ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อการส่งออก”
รายละเอียดข่าวเพิ่มเติม ...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้นายทินกรกล่าวต่อไปว่า ในระยองมีธุรกิจหลากหลาย ไม่ใช่ธุรกิจทุกตัวจะได้รับผลกระทบ บางตัวยังไปต่อได้ และมีหลายกิจการที่ต่างชาติเข้ามาลงทุน เนื่องจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ส่งเสริมเรื่องสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV), อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, อุตสาหกรรมการแพทย์สมัยใหม่ก็ดีขึ้น
จี้รัฐบาลหนุน EEC ดูดเงิน ตปท.
สำหรับปัญหาที่เกิดขึ้นคงต้องให้รัฐบาลชุดใหม่ออกมาตรการมาช่วย สิ่งที่เห็นด้วยกับรัฐบาล คือการนำนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการคนละครึ่ง และใกล้ปีใหม่ควรจะมีมาตรการช็อปดีมีคืน โดยให้สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล รวมถึงการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ อันนี้เป็นเรื่องที่ดี เพราะเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจที่โดนดึงออกไปจะได้กลับเข้ามาสู่ในระบบอีกครั้ง ทำให้มีเม็ดเงินในระบบเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน อยากเสนอให้รัฐบาลดำเนินมาตรการ ได้แก่
1.มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ เช่น ช่วยเหลือกลุ่ม SMEs ที่มีปัญหา และมาตรการลดดอกเบี้ย และปล่อยสินเชื่อเข้ามาในระบบเพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระและเสริมศักยภาพผู้ประกอบการให้ดียิ่งขึ้น
2.ลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเขตพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อรองรับการเจริญเติบโตในอนาคตของพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ เพราะตอนนี้ยังมีความล่าช้าอยู่มาก เกือบ 6 ปีแล้วที่ยังไม่เห็นโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ ๆ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
3.แก้ไขเรื่องการทำการค้าออนไลน์ โดยผู้ประกอบการ SMEs ต้องเสียค่า GP ให้กับแพลตฟอร์มต่างชาติเพิ่มขึ้น ทำให้มีกำไรน้อยลงจนแทบไม่เหลือกำไร แถมเงินยังออกนอกประเทศไปมหาศาล โดยที่รัฐบาลไม่สามารถเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
การแก้ไขคือ อยากให้รัฐบาลทำแพลตฟอร์มแห่งชาติ เพื่อทำให้ SMEs และวิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการไทยมีทางเลือกในการขายสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น โดยไม่โดนชาร์จ GP ที่สูงเกินไป รัฐบาลอาจจะขาดทุนเรื่องการทำโปรโมชั่นต่าง ๆ แต่จะได้รายได้มหาศาลจากการจัดเก็บภาษีที่ถูกต้องและถูกกฎหมายในประเทศ นั่นคืออาจจะขาดทุนการทำแพลตฟอร์มและการทำโปรโมชั่นระดับพันล้าน แต่จะเก็บภาษีได้เป็นระดับแสนล้านบาท
4.ส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว โดยการสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้านความปลอดภัย 5.ส่งเสริมด้านการเกษตร โดยเน้นผลิตผลมูลค่าสูง เช่น ทุเรียน โดยต้องเริ่มนำเทคโนโลยีมาถ่ายทอดให้เกษตรกร ในการทำการเกษตรให้มีผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณที่สูงขึ้น
ฉะเชิงเทราแอบใช้แรงงานเถื่อน
นายสุกัณฑ์ โสรัจจกิจ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดฉะเชิงเทรา กล่าวว่าสถานการณ์ภาพรวมภาคอุตสาหกรรมในจังหวัดไม่ค่อยสู้ดีนัก แม้ในครึ่งปีนี้ยังไม่มีการแจ้งยุบกิจการโรงงาน-การปลดแรงงาน เนื่องจากได้มีการปลดไปแล้วตั้งแต่ปี 2567 หลายพันคน รวมถึงแรงงานกัมพูชาที่กลับประเทศกว่า 70-80% หรือราว 3,000 คน ถือเป็นโอกาสที่ผู้ประกอบการควบคุมต้นทุนเพิ่ม เพราะไม่มีการจ้างแรงงานมาทดแทน แต่ก็มีบางโรงงานจ้างแรงงานต่างด้าวเถื่อน เพื่อลดต้นทุนจ่ายค่าแรงเพียง 300 กว่าบาท/วัน แทนที่จะต้องจ่าย 400 บาทตามกฎหมาย
“ความเสียหายของการนำแรงงานต่างด้าว คือไม่มีทักษะความสามารถ ความจริงผู้ประกอบการก็ไม่อยากจ้าง แต่ก็ต้องทำไปเพื่อประคองธุรกิจ เพราะคณะรัฐมนตรียังไม่มีมติให้เปิดขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวใหม่ในปี 2568 อย่างเป็นทางการ ซึ่งกังวลว่าจะทำระบบเสียหายหมด”
“กลุ่มยานยนต์-รีไซเคิล” น่าห่วง
นายสุกัณฑ์กล่าวต่อไปว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีต่างชาติเข้ามาลงทุนจำนวนมาก ได้แก่
1) กลุ่มโรงงานชิ้นส่วนยานยนต์ ทุกอย่างที่ผลิตส่งออกจดลิขสิทธิ์ Made in Thailand บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่มาจากจีน ไม่ใช้วัตถุดิบส่วนประกอบที่เป็นสินค้าไทย กลายเป็นคู่แข่ง ไม่ใช่คู่ค้า ควรส่งเสริมให้มีการร่วมลงทุน โดยร่วมกันส่งเสริมการตลาด นวัตกรรม และเทคโนโลยี มากกว่าการใช้พื้นที่
2) กลุ่มโรงงานรีไซเคิล กำจัดขยะ ที่มีการเพ่งเล็งตรวจสอบ เนื่องจากการขนถ่ายขยะไปกำจัดจะต้องรอนำเข้าระบบอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมจังหวัด ถ้ากรมโรงงานอุตสาหกรรมไม่อนุญาตก็ไม่สามารถขนถ่ายขยะได้ ทำให้ขยะล้นโรงงาน เกิดปัญหาการลักลอบทิ้งนอกระบบ สุดท้ายก็กลายเป็นปัญหาที่ภาครัฐเข้ามาตรวจสอบ
ภาษีทรัมป์พ่นพิษ รง.ส่งออกที่ปทุมฯ
นายสมควร จันทร์แดง ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปทุมธานี กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าอุตสาหกรรมในจังหวัดกำลังเผชิญปัญหาส่งออกลดลง เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยเฉพาะจากผลกระทบการกีดกันทางการค้าของสหรัฐ โดยมีอุตสาหกรรมในจังหวัดปทุมธานีที่น่าเป็นห่วง ได้แก่ กลุ่มที่ส่งออกไปสหรัฐอเมริกา
เช่น กลุ่มอาหารกระป๋อง, การผลิตกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์
ขณะที่เศรษฐกิจจังหวัดปทุมธานีในเดือนมิถุนายน 2568 มีหลายด้านที่ชะลอตัว เช่น การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัว จากภาคบริการและภาคอุตสาหกรรม,
ด้านการผลิต มีสัญญาณหดตัวลง จากการผลิตภาคบริการ -1.1% จากยอดขายที่ผู้ประกอบการแจ้งเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า และยอดขายที่ผู้ประกอบการแจ้งเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สาขาอสังหาริมทรัพย์ ลดลง -7.1% ถึง -5.6% ตามลำดับ เพราะการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยลดลง การขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยลดลง รวมถึงผู้บริโภคระมัดระวังการลงทุนสินทรัพย์ระยะยาว ส่งผลให้กระทบต่อภาคอุตสาหกรรม โดยภาคอุตสาหกรรม ผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวมลดลงเล็กน้อย ประมาณ -0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน
ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 พบว่าสถานประกอบกิจการในจังหวัดมีการเลิกกิจการกว่า 73 แห่ง ลูกจ้างถูกเลิกจ้าง 246 คน โดยประเภทกิจการที่เลิกจ้างสูงสุด ได้แก่
1) ร้านสินค้าเบ็ดเตล็ดและการค้าอื่น ๆ 26 แห่ง
2) กิจการก่อสร้าง 13 แห่ง และกิจการอื่น ๆ 12 แห่ง ส่งผลให้การจ้างงานหดตัวกว่า -1.5% หลังจากเดือนก่อนขยายตัว 2% ซึ่งการจ้างงานใหม่ยังมีเฉพาะส่วนที่ขาดแคลนเท่านั้น
.. อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/economy/news-1896142
ส่งออกลดพ่นพิษ โรงงานเลิกจ้าง พนง. แคล-คอมพ์นำร่องปลด 1,450 คน
ส่งออกลดพ่นพิษ โรงงานเลิกจ้าง พนง. แคล-คอมพ์นำร่องปลด 1,450 คน
วันที่ 4 ตุลาคม 2568 - 07:01 น.
พิษภาษีทรัมป์ออกฤทธิ์ ส่งออกไทยปลายปีชะลอหนัก แคล-คอมพ์ฯปลดแรงงานต่างด้าว 1,450 คน แจงรับมือเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนแปลง “ระยอง-ฉะเชิงเทรา” ออกอาการเดียวกัน ชี้ได้รับผลกระทบจากส่งออกลด ต้องเปิดเออร์ลี่ คาดต้นปี’69 อาจถึงขั้นปิดกิจการเพื่อตัดขาดทุน เผยธุรกิจปิโตรฯโดนจีนแย่งตลาด วอนรัฐบาลหนุน EEC หวังดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติช่วยฟื้นเศรษฐกิจ
จากกรณีที่บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งทำธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับแบรนด์สำคัญทั่วโลก เช่น Western Digital, Seagate, Advance Digital Broadcast, Technicolor, Pace, Hewlett Packard, Panasonic ผลิตอุปกรณ์ต่อพ่วงคอมพิวเตอร์ และผลิตภัณฑ์กล่องรับสัญญาณ และหูฟัง ซึ่งมีโรงงานผลิตอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี ได้มีการเลิกจ้างพนักงานชาวต่างชาติจำนวน 1,450 คน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568
แคล-คอมพ์ฯ แจ้งว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับความผันผวนของอุปสงค์ บริษัทจึงจำเป็นต้องทบทวนกำลังคน เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย ซึ่งสอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี
ด้วยเหตุผลข้างต้น บริษัทมีแรงงานเกินความจำเป็นในบางสายการผลิต จึงจำเป็นต้องปรับลดพนักงานจำนวน 1,450 คน จากที่มีพนักงานทั้งหมด 29,256 คน หลังจากดำเนินการครั้งนี้ บริษัทจะคงเหลือพนักงาน 27,806 คน ทั้งนี้ เพื่อรักษาสถานะการจ้างงานที่เหลืออยู่ให้มั่นคงต่อไป โดยบริษัทจะดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ถูกต้องตามกฎหมาย และคำนึงถึงประโยชน์ของทุกภาคส่วน รวมถึงชื่อเสียงของบริษัทในระดับโลก
บริษัทยืนยันว่าการดำเนินการดังกล่าวได้ปฏิบัติตามสัญญาจ้าง กฎหมายคุ้มครองแรงงาน และข้อบังคับการทำงาน อีกทั้งยังได้หารือร่วมกับสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมการจัดหางาน และสำนักงานประกันสังคมในการดำเนินการครั้งนี้ และได้ชี้แจงกระบวนการเลิกจ้าง พร้อมจ่ายค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนดให้แก่พนักงานที่ได้รับผลกระทบ อีกทั้งยังได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานและช่วยเหลือพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคลของบริษัทให้คำปรึกษาและดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลา เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ กระบวนการเลิกจ้างได้ดำเนินการตามสิทธิที่มีอยู่ในสัญญาจ้างแรงงาน โดยบริษัทได้จ่ายค่าชดเชยและสิทธิประโยชน์ที่พนักงานมีอยู่ แก่พนักงานที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ ยังได้จ่ายเพิ่มเติมอีก 3 ประการคือ
1.ค่าเช่าบ้านจำนวน 1,000 บาท
2.ค่าเดินทาง 300 บาท
3.ชดเชยค่าแรงให้อีกคนละ 1 เดือน
โรงงานระยองส่อแววธุรกิจแย่
นายทินกร ลาวัณย์เสถียร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.สตาร์ มันนี่ ผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยถึง 93 สาขา ในฐานะประธานหอการค้าจังหวัดระยอง กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าขณะนี้มีบางธุรกิจได้รับผลกระทบหนักจากภาวะการส่งออกที่ลดลง โดยบางบริษัทมีการปรับลดพนักงานลง ด้วยการเปิดโครงการสมัครใจลาออก และคาดว่าช่วงต้นปี 2569 จะมีบางบริษัทอาจถึงขั้นปิดตัวลง บางบริษัทได้ประกาศขายกิจการ และบางบริษัทจะปิดกิจการบางส่วนที่ขาดทุน เพื่อประหยัดต้นทุน
ที่เห็นชัดในจังหวัดระยอง ในนิคมมาบตาพุด คือธุรกิจปิโตรเคมี แนวโน้มยังไม่มีสัญญาณบวก เกิดจากดีมานด์ซัพพลายไม่สอดคล้องกัน เนื่องจากประเทศจีนที่เคยเป็นผู้บริโภคหลักได้เปลี่ยนสถานะจากผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี เป็นผู้ผลิตเม็ดพลาสติก และมีการส่งออกในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ด้านความต้องการในประเทศลดต่ำลง
จากสถานการณ์ปัญหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การใช้วัตถุดิบลดต่ำลงอย่างมีนัยยะ ราคาตกต่ำเป็นประวัติการณ์ บวกกับนโยบายการเก็บภาษีตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐอเมริกา สร้างผลกระทบที่ต่อเนื่องให้การส่งออกจีนสะดุด ประเทศไทยจึงสะดุดตาม อุตสาหกรรมปิโตรเคมีหลายบริษัทกำไรลดลงค่อนข้างมากถึงขั้นขาดทุน
เศรษฐกิจโลกชะลอฉุดส่งออกทรุด
“เศรษฐกิจทั่วโลกซบเซายังไม่ฟื้นตัว เห็นได้จากราคาทองที่ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากหลายประเทศมีปัญหาเรื่องการบริโภค เพราะเศรษฐกิจไม่ดี ตอนนี้คนหันมาตุนทองคำกัน เพราะไม่เชื่อมั่นสภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสหรัฐประกาศปรับภาษีนำเข้าไทยเป็น 19% ทำให้คนอเมริกันใช้ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ต้องประหยัดมากขึ้น เงินในกระเป๋าเท่าเดิม แต่ซื้อของได้น้อยลง
เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจอเมริกาค่อนข้างชะลอตัว ยิ่งรัฐบาลสหรัฐเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์ หลังจากสมาชิกวุฒิสภาไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายจัดสรรเงินทุน ก็มีผลกระทบทั่วโลกพอสมควร ขณะที่ประเทศจีนเศรษฐกิจก็ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อการส่งออก”
รายละเอียดข่าวเพิ่มเติม ...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
.. อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/economy/news-1896142