๔. การทำบุญที่ท่านพระอาจารย์มั่นสรรเสริญ
การสั่งสอนญาติโยมชาวบ้านหนองผือ
ของท่านพระอาจารย์มั่นในสมัยนั้น
ส่วนมากท่านจะเน้นให้ญาติโยมสมาทานศีลห้าเป็นหลัก
ส่วนศีลแปดหรือศีลอุโบสถ ท่านไม่ค่อยจะเน้นหนักเท่าไหร่ท่านกล่าวว่า
ศีลห้าเหมาะสมที่สุดสำหรับฆราวาสญาติโยมผู้ครองเรือน
ถ้างดเว้น ตลอดไปไม่ได้ก็ขอให้งดเว้นให้ได้ในวันพระวันศีล
สำหรับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นท่านบอกว่า
" สัตว์ที่มีบุญคุณนั้นห้ามเด็ดขาด "
นอกจากนั้นท่านกล่าวว่า
" จะงดเว้นไม่ได้ดอกหรือ เพียงวันสองวันเท่านั้น
การกินในวันรักษาศีลจะกินอะไรก็คงได้
ไม่จำเป็นต้องเป็น สัตว์ที่ฆ่าเอง แค่นี้ทำไม่ได้หรือ ไม่ตายดอก... "
สำหรับการขอศีลนั้น ท่านไม่นิยมนิยมให้ขอ
และท่านก็ไม่เคยให้ศีล ( ตอนอยู่หนองผือ )
ท่านให้ใช้วิธีรัติงดเว้นเอาเลย ไม่ต้อง ไปขอจากพระซ้ำ ๆ ซาก ๆ
ผู้ใดมีเจตนาจะรักษาศีลจะเป็นศีลห้า ศีลแปดก็ตาม ให้ตั้งอกตั้งใจเอาเลย
แค่นั้นก็เป็นศีลได้แล้ว และการ ถวายทานในงานบุญต่าง ๆ
ท่านก็ไม่นิยมให้กล่าวคำถวายเช่นกัน
ท่านอธิบายว่า
" บุญนั้นผู้ถวายได้ถวายได้แล้วสำเร็จแล้วตั้งแต่ตั้งใจ
หรือเจตนาในครั้งแรก ตลอดจนนำมาถวายสำเร็จ
ไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีก เพียงแต่ตั้งเจตนาดีเป็นกุศลหวังผลคือความสุข
การพ้นจากทุกข์ทั้งปวงเท่านี้ก็พอแล้วนั่นมันเป็นพิธีการหรือกฏเกณฑ์อย่างหนึ่งของเขา ไม่ต้องเอาอะไรทุกขั้นทุกตอนดอก "
ครั้งนั้นมีศรัทธาญาติโยมจากสกลนคร เขาเป็นคนเชื้อสายจีน มีชื่อว่า เจ๊กไฮ แซ่อะไรนั้นเขาไม่ได้บอกไว้
เขามีความลื่อมใส ศรัทธาในองค์ท่านพระอาจารย์มั่นมาก
ขอเป็นเจ้าภาพกฐินในปีนั้น เมื่อถึงเวลากำหนดกรานกฐินแล้ว
จึงได้ตระเตรียมเดินทางมาพัก นอนค้างคืนที่บ้านหนองผือหนึ่งคืน
โดยพักบ้านของทายกวัดคนหนึ่ง เพื่อจะได้จัดเตรียมอาหารคาวหวานสำหรับไปจังหันตอนเช้าด้วย
พอเช้าขึ้นพวกเขาจึงพากันนำเครื่องกฐินพร้อมกับเครื่องไทยทานอาหารต่างๆ เหล่านั้นไปที่วัด
เมื่อถึงวัดล้างเท้าที่หัวบันไดแล้วพากัน ขึ้นบนศาลาวางเครื่องของ คุกเข่ากราบพระประธาน แล้วจึงรวบรวมสิ่งของ เครื่องผ้ากฐิน พร้อมทั้งของอันเป็นบริวารต่างๆ วางไว้ที่หน้าพระประธานในศาลา
ส่วนเจ๊กไฮ ผู้เป็นหัวหน้านำผ้ากฐินมานั้น เมื่อวางจัดผ้ากฐินพร้อมทั้งของอันเป็นบริวารต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว
นั่งสักครู่ เห็นว่ายังไม่มีอะไร จึงพากันกราบพระประธาน ( เจ๊กไฮ ก็กราบเหมือนกัน ท่าทางเหมือนคนจีนทั่วไปเขากราบนั่นแหละ ) แล้วเขาก็ลง จากศาลาไปเดินเลาะเลียบชมวัดวาอารามเฉยอย่างสบายอารมณ์
จนกระทั่งพระเณรกลับจากบิณฑบาตรแล้ว ขึ้นบนศาลา
เตรียมจัดแจงอาหารลงบาตรจนเสร็จสรรพเรียบร้อยทุกองค์
ท่านพระอาจารย์มั่นจึงให้เรียกเจ๊กไฮมาเพื่อจะได้อนุโมทนารับพรต่อไป
แต่เจ๊กไฮ ก็ไม่มารับพรด้วย มีคนถามเขาว่า
" ทำไมไม่รับพรด้วย "
เขาบอกว่า
" อั๊วได้บุญแล้ว ไม่ต้องรับพรก็ได้ การกล่าวคำถวายก็ไม่ต้องว่า เพราะอั๊วได้บุญตั้งแต่อั๊วตั้งใจจะทำบุญทีแรกแล้ว ฉะนั้นอั๊วจึงไม่ต้องรับพรและคำกล่าวถวายใดๆ เลย "
ภายหลังฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่น
ได้พลิกวิธีคำว่าผ้ากฐินมาเป็นผ้าบังสุกุลแทน ท่านจึพิจารณากองผ้ากฐิน เป็นผ้าบังสุกุล
เสร็จแล้วท่านได้เทศน์ฉลองยกย่องผ้าบังสุกุลของเจ๊กไฮเป็นการใหญ่เลย
ท่านกล่าวถึง
ผ้ากฐินนั้นได้รับอานิสงส์น้อยเพียง แค่ ๔ เดือนเท่านั้น
ไม่เหมือนกับผ้าบังสุกุลซึ่งได้อานิสงส์ตลอดไป
คือ ผู้ใช้สามารถใช้ได้ตลอดไม่มีกำหนดเขตใช้จนขาดหรือใช้ไม่ได้จึง จะทำอย่างอื่นต่อไป
และสุดท้ายท่านกล่าวอีกว่า " ใครทำบุญก็ไม่เหมือนเจ๊กไฮทำบุญ
เจ๊กไฮทำบุญได้บุญมากที่สุด พรเขาก็ไม่ต้องรับ
คำถวายก็ไม่ต้องว่าเขาได้บุญตั้งแต่เขาออกจากบ้านมา บุญเขาเต็มอยู่แล้ว
ไม่ตกหล่นสูญหายไปไหน บุญเป็นนามธรรมอยู่ที่ใจ อย่างนี้จึงเรียกว่า ทำบุญได้บุญแท้.. "
ตัดลอกจากเวปหลวงปู่มั่น
https://www.luangpumun.org/watpab4.html
วันนี้ วันออกพรรษา ไปทำบุญกฐินใหญ่ ที่ไหนกัน?
การสั่งสอนญาติโยมชาวบ้านหนองผือ
ของท่านพระอาจารย์มั่นในสมัยนั้น
ส่วนมากท่านจะเน้นให้ญาติโยมสมาทานศีลห้าเป็นหลัก
ส่วนศีลแปดหรือศีลอุโบสถ ท่านไม่ค่อยจะเน้นหนักเท่าไหร่ท่านกล่าวว่า
ศีลห้าเหมาะสมที่สุดสำหรับฆราวาสญาติโยมผู้ครองเรือน
ถ้างดเว้น ตลอดไปไม่ได้ก็ขอให้งดเว้นให้ได้ในวันพระวันศีล
สำหรับการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นท่านบอกว่า " สัตว์ที่มีบุญคุณนั้นห้ามเด็ดขาด "
นอกจากนั้นท่านกล่าวว่า " จะงดเว้นไม่ได้ดอกหรือ เพียงวันสองวันเท่านั้น
การกินในวันรักษาศีลจะกินอะไรก็คงได้
ไม่จำเป็นต้องเป็น สัตว์ที่ฆ่าเอง แค่นี้ทำไม่ได้หรือ ไม่ตายดอก... "
สำหรับการขอศีลนั้น ท่านไม่นิยมนิยมให้ขอ
และท่านก็ไม่เคยให้ศีล ( ตอนอยู่หนองผือ )
ท่านให้ใช้วิธีรัติงดเว้นเอาเลย ไม่ต้อง ไปขอจากพระซ้ำ ๆ ซาก ๆ
ผู้ใดมีเจตนาจะรักษาศีลจะเป็นศีลห้า ศีลแปดก็ตาม ให้ตั้งอกตั้งใจเอาเลย
แค่นั้นก็เป็นศีลได้แล้ว และการ ถวายทานในงานบุญต่าง ๆ
ท่านก็ไม่นิยมให้กล่าวคำถวายเช่นกัน
ท่านอธิบายว่า " บุญนั้นผู้ถวายได้ถวายได้แล้วสำเร็จแล้วตั้งแต่ตั้งใจ
หรือเจตนาในครั้งแรก ตลอดจนนำมาถวายสำเร็จ
ไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรอีก เพียงแต่ตั้งเจตนาดีเป็นกุศลหวังผลคือความสุข
การพ้นจากทุกข์ทั้งปวงเท่านี้ก็พอแล้วนั่นมันเป็นพิธีการหรือกฏเกณฑ์อย่างหนึ่งของเขา ไม่ต้องเอาอะไรทุกขั้นทุกตอนดอก "
ครั้งนั้นมีศรัทธาญาติโยมจากสกลนคร เขาเป็นคนเชื้อสายจีน มีชื่อว่า เจ๊กไฮ แซ่อะไรนั้นเขาไม่ได้บอกไว้
เขามีความลื่อมใส ศรัทธาในองค์ท่านพระอาจารย์มั่นมาก
ขอเป็นเจ้าภาพกฐินในปีนั้น เมื่อถึงเวลากำหนดกรานกฐินแล้ว
จึงได้ตระเตรียมเดินทางมาพัก นอนค้างคืนที่บ้านหนองผือหนึ่งคืน
โดยพักบ้านของทายกวัดคนหนึ่ง เพื่อจะได้จัดเตรียมอาหารคาวหวานสำหรับไปจังหันตอนเช้าด้วย
พอเช้าขึ้นพวกเขาจึงพากันนำเครื่องกฐินพร้อมกับเครื่องไทยทานอาหารต่างๆ เหล่านั้นไปที่วัด
เมื่อถึงวัดล้างเท้าที่หัวบันไดแล้วพากัน ขึ้นบนศาลาวางเครื่องของ คุกเข่ากราบพระประธาน แล้วจึงรวบรวมสิ่งของ เครื่องผ้ากฐิน พร้อมทั้งของอันเป็นบริวารต่างๆ วางไว้ที่หน้าพระประธานในศาลา
ส่วนเจ๊กไฮ ผู้เป็นหัวหน้านำผ้ากฐินมานั้น เมื่อวางจัดผ้ากฐินพร้อมทั้งของอันเป็นบริวารต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว
นั่งสักครู่ เห็นว่ายังไม่มีอะไร จึงพากันกราบพระประธาน ( เจ๊กไฮ ก็กราบเหมือนกัน ท่าทางเหมือนคนจีนทั่วไปเขากราบนั่นแหละ ) แล้วเขาก็ลง จากศาลาไปเดินเลาะเลียบชมวัดวาอารามเฉยอย่างสบายอารมณ์
จนกระทั่งพระเณรกลับจากบิณฑบาตรแล้ว ขึ้นบนศาลา
เตรียมจัดแจงอาหารลงบาตรจนเสร็จสรรพเรียบร้อยทุกองค์
ท่านพระอาจารย์มั่นจึงให้เรียกเจ๊กไฮมาเพื่อจะได้อนุโมทนารับพรต่อไป
แต่เจ๊กไฮ ก็ไม่มารับพรด้วย มีคนถามเขาว่า " ทำไมไม่รับพรด้วย "
เขาบอกว่า " อั๊วได้บุญแล้ว ไม่ต้องรับพรก็ได้ การกล่าวคำถวายก็ไม่ต้องว่า เพราะอั๊วได้บุญตั้งแต่อั๊วตั้งใจจะทำบุญทีแรกแล้ว ฉะนั้นอั๊วจึงไม่ต้องรับพรและคำกล่าวถวายใดๆ เลย "
ภายหลังฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านพระอาจารย์มั่น
ได้พลิกวิธีคำว่าผ้ากฐินมาเป็นผ้าบังสุกุลแทน ท่านจึพิจารณากองผ้ากฐิน เป็นผ้าบังสุกุล
เสร็จแล้วท่านได้เทศน์ฉลองยกย่องผ้าบังสุกุลของเจ๊กไฮเป็นการใหญ่เลย
ท่านกล่าวถึงผ้ากฐินนั้นได้รับอานิสงส์น้อยเพียง แค่ ๔ เดือนเท่านั้น
ไม่เหมือนกับผ้าบังสุกุลซึ่งได้อานิสงส์ตลอดไป
คือ ผู้ใช้สามารถใช้ได้ตลอดไม่มีกำหนดเขตใช้จนขาดหรือใช้ไม่ได้จึง จะทำอย่างอื่นต่อไป
และสุดท้ายท่านกล่าวอีกว่า " ใครทำบุญก็ไม่เหมือนเจ๊กไฮทำบุญ
เจ๊กไฮทำบุญได้บุญมากที่สุด พรเขาก็ไม่ต้องรับ
คำถวายก็ไม่ต้องว่าเขาได้บุญตั้งแต่เขาออกจากบ้านมา บุญเขาเต็มอยู่แล้ว
ไม่ตกหล่นสูญหายไปไหน บุญเป็นนามธรรมอยู่ที่ใจ อย่างนี้จึงเรียกว่า ทำบุญได้บุญแท้.. "
ตัดลอกจากเวปหลวงปู่มั่น
https://www.luangpumun.org/watpab4.html