แฟนขนมทั่วโลกพูดถึง Oreo x Reese’s สองตำนานขนมหวานจับมือกัน

ลองนึกภาพคุกกี้ดำไส้ขาวอย่าง Oreo มารวมกับขนมถ้วยเนยถั่วเคลือบช็อกโกแลตอย่าง Reese’s Peanut Butter Cup ผลลัพธ์ไม่ใช่แค่การเพิ่มรสชาติใหม่ แต่...
.
.....เป็นการสร้างปรากฏการณ์ที่ทำให้ทั้งโซเชียลมีเดีย สื่อ และแฟนขนมทั่วโลกพูดถึงพร้อมกัน
การร่วมมือของ Oreo และ Reese’s ในปี 2568 ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมาก เพราะสะท้อนให้เห็นว่า การฟังเสียงผู้บริโภค การกล้าร่วมมือ การตลาดดิจิทัล สามารถร่วมกันพัฒนาสินค้าในฝัน ให้เกิดขึ้นได้จริง และยังเป็นบทเรียนที่น่าคิดสำหรับองค์กรอื่นๆ
.
Oreo เกิดขึ้นในปี 2455 ปัจจุบันอยู่ภายใต้บริษัท Mondelēz International เป็นขนมที่ขายดีที่สุดในโลก มีรสชาติและรูปแบบหลากหลาย และขายในกว่า 100 ประเทศ
.
ส่วน Reese’s ก่อตั้งในปี 2471 โดย Harry Burnett Reese ก่อนจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ The Hershey Company จุดเด่นของ Reese’s คือการผสมผสานระหว่างเนยถั่วกับช็อกโกแลต จนกลายเป็นหนึ่งในขนมที่ขายดีในอเมริกา
.
ปัจจัยที่ทำให้ Oreo และ Reese’s มาร่วมมือกัน ไม่ได้มาจากการคิดจากห้องประชุม แต่มาจากแฟนๆ บอกให้ทำ ผู้บริโภคในสังคมออนไลน์ทดลองจับคู่ Oreo กับ Reese’s เองมานาน
.
ไม่ว่าจะเอา Oreo มาประกบเนยถั่ว Reese’s หรือเอาถ้วย Reese’s มารวมกับคุกกี้ Oreo จนเกิดเป็นคอนเทนต์ไวรัล
.
เมื่อผู้บริโภคได้เรียกร้องกันอย่างมากมาย ทั้งสองบริษัทจึงเลือกตอบสนอง ด้วยการออกแคมเปญว่า “You asked for it”
.
ความร่วมมือนี้เริ่มจากการพัฒนาสูตรจริงจังกว่า 3 ปีที่ทีม R&D ของทั้งสองบริษัทต้องทำงานร่วมกัน ทดลองสูตรใหม่หลายครั้ง แลกเปลี่ยนสูตรลับ รวมถึงเซ็นสัญญาลิขสิทธิ์เพื่อปกป้องความลับของแต่ละฝ่าย
.
สินค้าที่ออกมามี 2 ตัวหลัก ได้แก่
.
1. Reese’s Oreo Cup ถ้วยเนยถั่ว Reese’s แบบเดิม แต่ผสมเศษคุกกี้ลงไปในไส้ ด้านบนเคลือบด้วย Oreo White Creme และ
.
2. Oreo Reese’s Cookie คุกกี้ Oreo ที่เปลี่ยนไส้กลางเป็นครีมเนยถั่ว Reese’s ผสมชิ้นคุกกี้ Oreo ได้ทั้งรสของโอรีโอและรสของ Reese’s
.
ทันทีที่เปิดตัวผลตอบรับในอเมริกาออกมาดีมากร้านค้าหลายแห่งสินค้าหมดเร็ว ผลจากรีวิวต่างๆ ออกมาในเชิงบวก และได้รับคำชื่นชมไปทั่ว
.
สิ่งที่สามารถเรียนรู้จากเคสนี้ไม่ใช่แค่การผสมผสานระหว่างสองรสชาติที่เป็นที่รู้จัก แต่ยังบทเรียนและข้อคิดทางธุรกิจจากการร่วมมือระหว่างสองยักษ์ใหญ่
.
1. ฟังเสียงผู้บริโภคอย่างจริงจัง การร่วมมือครั้งนี้พิสูจน์ว่าแรงบันดาลใจจากลูกค้า มีค่ามากกว่าการวางกลยุทธ์อยู่ในห้องประชุม ผู้บริโภคคือผู้สร้างสรรค์สูตรผสม Oreo กับ Reese’s จนกลายเป็นไวรัล
.
การฟังเสียงลูกค้าจึงไม่ใช่แค่การเก็บข้อมูลแต่เป็นการจับสัญญาณนวัตกรรมจากผู้ใช้จริง การติดตามและเฝ้าดู User-Generated Content) อย่างเป็นระบบ คือแหล่งข้อมูลชั้นยอดที่จะช่วยในการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ได้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น
.
2. การร่วมมือระหว่างบริษัท สามารถขยายพลังแบรนด์ได้จริง Oreo ได้เชื่อมต่อกับกลุ่ม Gen Z ที่นิยม Reese’s ขณะที่ Reese’s ได้ความสดใหม่จาก Oreo ผลลัพธ์คือการยืมพลังแฟนคลับซึ่งกันและกัน
.
3. ต้องรักษาอัตลักษณ์ของแบรนด์ สิ่งที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกพอใจคือการที่รสชาติแท้จริง ของทั้งสองแบรนด์ยังอยู่ครบ การรักษาตัวตนของแบรนด์สำคัญพอๆ กับการสร้างความแปลกใหม่
.
4. ความซับซ้อนเบื้องหลังที่ต้องยอมลงทุน กว่าที่สินค้านี้จะวางจำหน่าย ต้องใช้เวลาถึง 3 ปี ในการร่วมมือในการวิจัยและพัฒนาสินค้า
.
5. การตลาดดิจิทัลมีความสำคัญ แคมเปญการตลาดเริ่มจากใช้สื่อหลักทางโลกสังคมออนไลน์ เนื้อหาการตลาดทั้งหมดพูดกับผู้บริโภคด้วยภาษาของแฟนๆ เอง ได้แก่ “You asked for it” ที่ย้ำว่าแบรนด์ตอบสนองต่อสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริง
.
ความร่วมมือของ Oreo และ Reese’s เป็นมากกว่าการออกสินค้าขนมใหม่ แต่คือ กรณีศึกษาด้านกลยุทธ์และนวัตกรรม ที่ให้ข้อคิดตั้งแต่ การฟังเสียงผู้บริโภค การจับมือข้ามแบรนด์ การรักษาอัตลักษณ์ ไปจนถึงการตลาดดิจิทัล
.
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่