วิกฤตการณ์ที่คุกคามกรุงเทพฯไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นปัญหาที่สั่งสมและเร่งตัวขึ้นตามภาวะโลกร้อนทำให้กรุงเทพฯกำลังเผชิญกับวิกฤติคู่ที่อันตราย นั่นคือการทรุดตัวของแผ่นดิน และ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่คำถามที่สำคัญที่สุดสำหรับอนาคตว่าเราควรจะ “สู้” เพื่อรักษามหานครแห่งนี้ไว้ หรือ “ถอย” โดยการย้ายเมืองหลวง?
.
สถานการณ์ดินยุบตัวครั้งล่าสุดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนถึงความอ่อนแอของฐานรากเมืองหลวง กรณีถนนสามเสน หน้า รพ.วชิรพยาบาล เกิดเหตุการณ์ถนนทรุดตัวเป็นหลุมขนาดใหญ่ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2568 มีสาเหตุหลักที่ถูกระบุว่าเกิดจาก ดินทรุด ทำให้ท่อประปาแตกและเกิดโพรงใต้ดินเกิดดินไหล (Soil Loss) เข้าไปในอุโมงค์และสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่กำลังก่อสร้าง อีกเหตุการณ์หนึ่งในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน คือการทรุดตัวของพื้นถนนหน้าการไฟฟ้านครหลวงเขตยานนาวา ตอกย้ำว่าปัญหา โพรงใต้ดิน และการเคลื่อนตัวของดินเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ในหลายพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ
.
เหตุการณ์เหล่านี้ชี้ชัดว่า ปัญหาการทรุดตัวของกรุงเทพฯ ไม่ได้มาจากปัจจัยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากงานก่อสร้างบนดินและใต้ดินที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างดินใต้กรุงเทพฯ.โดยตรงซึ่งเป็นภัยคุกคามที่รากฐานคือชั้นดินอ่อน
.
ทั้งนี้จากข้อมูลทางธรณีวิทยาโดยกรมทรัพยากรธรณีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแสดงให้เห็นว่ากรุงเทพมหานครตั้งอยู่บนฐานรากที่อ่อนแอโดยธรรมชาติ นั่นคือ ชั้นดินเหนียวอ่อนกรุงเทพ (Bangkok Soft Clay) ซึ่งเป็นชั้นดินบนสุดที่มีความหนาประมาณ 10-15 เมตร
.
การทรุดตัวของแผ่นดิน (Land Subsidence) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมานานหลายทศวรรษ จากงานวิจัย “Ground Subsidence in Bangkok” โดย สกว. และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรายงานว่าการสูบน้ำบาดาลเกินขีดจำกัดทำให้อัตราการทรุดตัวพุ่งสูงถึงประมาณ 7 ซม.ต่อปีและสูงสุดถึง 12 ซม.ต่อปี ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ก่อนมีการออกกฎหมายควบคุมการสูบน้ำอย่างเข้มงวด
.
แม้มาตรการควบคุมการสูบน้ำบาดาลจะช่วยชะลอการทรุดตัวลงอย่างมาก แต่อัตราการทรุดตัวในปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่
......................................................................................
:: ปัจจัยคู่เร่งวิกฤต: น้ำทะเลสูงและแผ่นดินทรุด ::
.
การทรุดตัวของแผ่นดินมาพร้อมกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น (Sea-Level Rise) จากภาวะโลกร้อน กรุงเทพฯ ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเพียงเล็กน้อย กำลังเผชิญกับวิกฤตความเสี่ยงสูง
สถาบัน McKinsey Global Institute (MGI) ระบุว่า จากการคาดการณ์ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทำให้กรุงเทพฯเมืองหลวงของไทยเป็นเมืองที่มีความเสี่ยงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่จะถูกน้ำท่วมหนักเนื่องจากกรุงเทพมีระดับความสูงเฉลี่ย 1.5 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และแผ่นดินทรุดปีละ 2-3 ซม.
.
นอกจากนี้การคาดการณ์ที่อัปเดตล่าสุดของ Climate Central คาดการณ์ว่าจะเกิดน้ำท่วมรุนแรงในกรุงเทพฯและพื้นที่ริมชายฝั่งของประเทศไทย และตามแนวชายฝั่งของมาเลเซียโดยคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็วที่สุดในปี 2030
......................................................................................
:: ทางเลือกใหม่ตอบโจทย์อนาคตกรุงเทพฯ ::
.
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีข้อเสนอให้ย้ายเมืองหลวง ซึ่งผมคิดว่ามีทางเลือกที่ดีกว่า เพราะการย้ายเมืองหลวงเป็นทางเลือกที่มีต้นทุนสูงถึง 1 ล้านล้านบาท เทียบเคียงกับงบประมาณโครงการสร้างเมืองหลวงใหม่“นูซันตารา” แทนกรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซีย
.
ความจริงมีทางเลือกอื่นๆ อีกหากรัฐบาลคิดจะสู้โดยไม่ต้องย้ายเมืองหลวง ได้แก่
เมืองอัจฉริยะ
.
1. การสร้างเมืองราชการดิจิตอลซิตี้ (Digital City) โดยบริหารและบริการแบบรัฐบาลดิจิตอล (Digital Government) ด้วยการย้ายส่วนราชการออกจากกรุงเทพฯไปในพื้นที่ที่มีการคมนาคมสะดวกในรัศมีไม่เกิน 120 กม. จากกรุงเทพฯ เช่น สระบุรี เพชรบุรี ราชบุรี และฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์พ้นจากพื้นที่ลุ่มต่ำและมีศักยภาพด้านคมนาคมสูง เนื่องจากมีโครงข่ายทางหลวงสายหลัก มอเตอร์เวย์ รถไฟรางคู่ รวมทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าเชื่อมกรุงเทพฯกับเมืองใหม่และสนามบิน (ในอนาคต) อำนวยความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางสู่เมืองราชการใหม่เพื่อลดความแออัดของประชากร ลดน้ำหนักกดทับฐานดินกรุงเทพฯ และช่วยกระจายความเจริญ ซึ่งมีตัวอย่างการแยกศูนย์ราชการในต่างประเทศเช่นออสเตรเลีย สร้างกรุงแคนเบอร์ราให้เป็นเมืองราชการโดยเฉพาะ ห่างจากซิดนีย์ 160 กม.ขณะที่ มาเลเซีย ย้ายส่วนราชการจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปยังเมือง “ปุตราจายา”
.
2. การสร้างเมืองเศรษฐกิจและเมืองเทคโนโลยีเป็นเมืองใหม่ เช่น จีนสร้างศูนย์เศรษฐกิจใหม่โดยกระจายศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเซี่ยงไฮ้สู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจผู่ตง (Pudong) จากทุ่งนาให้กลายเป็น ศูนย์กลางทางการเงิน และนวัตกรรมระดับโลกภายใน 30 ปี ซึ่งช่วยลดความหนาแน่นและสร้างเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ตามโมเดลเขตเศรษฐกิจ “เซินเจิ้น”
.
3. การสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมถาวรขนาดเมกะโปรเจค (MegaProject) ที่มีประสิทธิภาพป้องกันกรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่น การสร้างเขื่อนริมอ่าวตัวก. (Protection Dyke) เช่นกรณีอังกฤษและเนเธอแลนด์และการขุด “เจ้าพระยา 2” ฝั่งซ้ายจากแม่น้ำเจ้าพระยาไปออกแม่น้ำบางประกงหรือฝั่งขวาออกอ่าวไทย เช่นในอดีตที่มีการขุดคลองภาษีเจริญ คลองดำเนินสะดวก และคลองแสนแสบ ควบคู่กับการสร้างระบบระบายน้ำใต้ดินเช่นกรณีของกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น และสิงคโปร์
.
แนวทางเหล่านี้ต้องการการตัดสินใจโดยเร็วเพื่อรักษากรุงเทพฯ ไว้ในฐานะมหานครแห่งประวัติศาสตร์ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมกับสร้างความเจริญที่กระจายตัวไปยังภูมิภาคอื่นๆ ได้อย่างมีอนาคต
......................................................................................
:: บทสรุป มหานครแห่งความเสี่ยงจมน้ำปี 2050 ??? ::
.
คณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) คาดการณ์ว่าภายในปี 2100 ระดับน้ำทะเลอาจสูงกว่าปัจจุบันถึง 1.1 เมตร และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใดๆ ก็ตามจะไม่สามารถหยุดยั้งผลกระทบในระยะสั้นและระยะกลางของปรากฏการณ์นี้ได้
งานวิจัยของ Nature Communications คาดการณ์ว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะพื้นที่ต่ำและชายฝั่ง อาจเสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วมถาวร (Inundation) ภายในปี ค.ศ. 2050 หรือ 2100
.
กรุงเทพฯกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะจมน้ำในอนาคต เนื่องจากหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและดินทรุดตัว พื้นที่บางส่วนของกรุงเทพฯ อาจจมอยู่ใต้น้ำ และจะประสบปัญหาน้ำท่วมขังที่รุนแรงและยาวนานขึ้น
.
ปัญหาดังกล่าวเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน การทรุดตัวของแผ่นดิน การระบายน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการลดลงของพื้นที่สีเขียว
.
องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ระบุว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป ประชากร 5 ล้านคนจาก 10.7 ล้านคนในกรุงเทพมหานคร อาจเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมโดยคาดว่าพื้นที่หนึ่งในสามของเมืองหลวงของไทย อาจจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมดภายใน พ.ศ. 2593 และส่งผลให้ประชาชนเกือบ 11 ล้านคนต้องอพยพออกจากพื้นที่
.
สัญญาณเตือนภัยชัดเจน ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องคิดใหญ่ทำใหม่ คิกออฟนโยบายและเริ่มก้าวแรกในช่วงเวลา 4 เดือนที่ยังบริหารประเทศ
.
อย่าปล่อยให้กรุงเทพฯเป็นมหานครแห่งความเสี่ยง ทั้งเมืองเสี่ยงและประชาชนเสี่ยงจากวิกฤตคู่ ทำให้กรุงเทพฯยุบและกรุงเทพฯจมดังเช่นที่เป็นอยู่ในวันนี้และตลอดไป
......................................................................................
เรื่องโดย : อลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการยกระดับมาตรฐานการก่อสร้าง มาตรฐานความปลอดภัยฯ สภาผู้แทนราษฎรฯ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์ ประธานมูลนิธิ Worldview Climate Foundation
.
https://www.salika.co/2025/10/05/bangkok-the-city-of-risk/
.
Knowledge Sharing Space | www.salika.co
.
#กรุงเทพฯ #การทรุดตัวของแผ่นดิน #น้ำท่วมรุนแรง #ปัจจัยธรรมชาติ #มหานครแห่งความเสี่ยง #salikaco
CR
https://www.facebook.com/share/1CiVoW5Tj1/?mibextid=wwXIfr
”กรุงเทพ“ จะ“สู้” เพื่อรักษามหานครแห่งนี้ไว้ หรือ “ถอย” โดยการย้ายเมืองหลวง?
.
สถานการณ์ดินยุบตัวครั้งล่าสุดในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจนถึงความอ่อนแอของฐานรากเมืองหลวง กรณีถนนสามเสน หน้า รพ.วชิรพยาบาล เกิดเหตุการณ์ถนนทรุดตัวเป็นหลุมขนาดใหญ่ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2568 มีสาเหตุหลักที่ถูกระบุว่าเกิดจาก ดินทรุด ทำให้ท่อประปาแตกและเกิดโพรงใต้ดินเกิดดินไหล (Soil Loss) เข้าไปในอุโมงค์และสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่กำลังก่อสร้าง อีกเหตุการณ์หนึ่งในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน คือการทรุดตัวของพื้นถนนหน้าการไฟฟ้านครหลวงเขตยานนาวา ตอกย้ำว่าปัญหา โพรงใต้ดิน และการเคลื่อนตัวของดินเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้ในหลายพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ
.
เหตุการณ์เหล่านี้ชี้ชัดว่า ปัญหาการทรุดตัวของกรุงเทพฯ ไม่ได้มาจากปัจจัยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากงานก่อสร้างบนดินและใต้ดินที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างดินใต้กรุงเทพฯ.โดยตรงซึ่งเป็นภัยคุกคามที่รากฐานคือชั้นดินอ่อน
.
ทั้งนี้จากข้อมูลทางธรณีวิทยาโดยกรมทรัพยากรธรณีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแสดงให้เห็นว่ากรุงเทพมหานครตั้งอยู่บนฐานรากที่อ่อนแอโดยธรรมชาติ นั่นคือ ชั้นดินเหนียวอ่อนกรุงเทพ (Bangkok Soft Clay) ซึ่งเป็นชั้นดินบนสุดที่มีความหนาประมาณ 10-15 เมตร
.
การทรุดตัวของแผ่นดิน (Land Subsidence) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นมานานหลายทศวรรษ จากงานวิจัย “Ground Subsidence in Bangkok” โดย สกว. และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยรายงานว่าการสูบน้ำบาดาลเกินขีดจำกัดทำให้อัตราการทรุดตัวพุ่งสูงถึงประมาณ 7 ซม.ต่อปีและสูงสุดถึง 12 ซม.ต่อปี ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ก่อนมีการออกกฎหมายควบคุมการสูบน้ำอย่างเข้มงวด
.
แม้มาตรการควบคุมการสูบน้ำบาดาลจะช่วยชะลอการทรุดตัวลงอย่างมาก แต่อัตราการทรุดตัวในปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่
......................................................................................
:: ปัจจัยคู่เร่งวิกฤต: น้ำทะเลสูงและแผ่นดินทรุด ::
.
การทรุดตัวของแผ่นดินมาพร้อมกับระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น (Sea-Level Rise) จากภาวะโลกร้อน กรุงเทพฯ ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางเพียงเล็กน้อย กำลังเผชิญกับวิกฤตความเสี่ยงสูง
สถาบัน McKinsey Global Institute (MGI) ระบุว่า จากการคาดการณ์ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทำให้กรุงเทพฯเมืองหลวงของไทยเป็นเมืองที่มีความเสี่ยงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่จะถูกน้ำท่วมหนักเนื่องจากกรุงเทพมีระดับความสูงเฉลี่ย 1.5 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล และแผ่นดินทรุดปีละ 2-3 ซม.
.
นอกจากนี้การคาดการณ์ที่อัปเดตล่าสุดของ Climate Central คาดการณ์ว่าจะเกิดน้ำท่วมรุนแรงในกรุงเทพฯและพื้นที่ริมชายฝั่งของประเทศไทย และตามแนวชายฝั่งของมาเลเซียโดยคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็วที่สุดในปี 2030
......................................................................................
:: ทางเลือกใหม่ตอบโจทย์อนาคตกรุงเทพฯ ::
.
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีข้อเสนอให้ย้ายเมืองหลวง ซึ่งผมคิดว่ามีทางเลือกที่ดีกว่า เพราะการย้ายเมืองหลวงเป็นทางเลือกที่มีต้นทุนสูงถึง 1 ล้านล้านบาท เทียบเคียงกับงบประมาณโครงการสร้างเมืองหลวงใหม่“นูซันตารา” แทนกรุงจาการ์ตาของอินโดนีเซีย
.
ความจริงมีทางเลือกอื่นๆ อีกหากรัฐบาลคิดจะสู้โดยไม่ต้องย้ายเมืองหลวง ได้แก่
เมืองอัจฉริยะ
.
1. การสร้างเมืองราชการดิจิตอลซิตี้ (Digital City) โดยบริหารและบริการแบบรัฐบาลดิจิตอล (Digital Government) ด้วยการย้ายส่วนราชการออกจากกรุงเทพฯไปในพื้นที่ที่มีการคมนาคมสะดวกในรัศมีไม่เกิน 120 กม. จากกรุงเทพฯ เช่น สระบุรี เพชรบุรี ราชบุรี และฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์พ้นจากพื้นที่ลุ่มต่ำและมีศักยภาพด้านคมนาคมสูง เนื่องจากมีโครงข่ายทางหลวงสายหลัก มอเตอร์เวย์ รถไฟรางคู่ รวมทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าเชื่อมกรุงเทพฯกับเมืองใหม่และสนามบิน (ในอนาคต) อำนวยความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางสู่เมืองราชการใหม่เพื่อลดความแออัดของประชากร ลดน้ำหนักกดทับฐานดินกรุงเทพฯ และช่วยกระจายความเจริญ ซึ่งมีตัวอย่างการแยกศูนย์ราชการในต่างประเทศเช่นออสเตรเลีย สร้างกรุงแคนเบอร์ราให้เป็นเมืองราชการโดยเฉพาะ ห่างจากซิดนีย์ 160 กม.ขณะที่ มาเลเซีย ย้ายส่วนราชการจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ไปยังเมือง “ปุตราจายา”
.
2. การสร้างเมืองเศรษฐกิจและเมืองเทคโนโลยีเป็นเมืองใหม่ เช่น จีนสร้างศูนย์เศรษฐกิจใหม่โดยกระจายศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเซี่ยงไฮ้สู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจผู่ตง (Pudong) จากทุ่งนาให้กลายเป็น ศูนย์กลางทางการเงิน และนวัตกรรมระดับโลกภายใน 30 ปี ซึ่งช่วยลดความหนาแน่นและสร้างเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ตามโมเดลเขตเศรษฐกิจ “เซินเจิ้น”
.
3. การสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมถาวรขนาดเมกะโปรเจค (MegaProject) ที่มีประสิทธิภาพป้องกันกรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่น การสร้างเขื่อนริมอ่าวตัวก. (Protection Dyke) เช่นกรณีอังกฤษและเนเธอแลนด์และการขุด “เจ้าพระยา 2” ฝั่งซ้ายจากแม่น้ำเจ้าพระยาไปออกแม่น้ำบางประกงหรือฝั่งขวาออกอ่าวไทย เช่นในอดีตที่มีการขุดคลองภาษีเจริญ คลองดำเนินสะดวก และคลองแสนแสบ ควบคู่กับการสร้างระบบระบายน้ำใต้ดินเช่นกรณีของกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น และสิงคโปร์
.
แนวทางเหล่านี้ต้องการการตัดสินใจโดยเร็วเพื่อรักษากรุงเทพฯ ไว้ในฐานะมหานครแห่งประวัติศาสตร์ ศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมกับสร้างความเจริญที่กระจายตัวไปยังภูมิภาคอื่นๆ ได้อย่างมีอนาคต
......................................................................................
:: บทสรุป มหานครแห่งความเสี่ยงจมน้ำปี 2050 ??? ::
.
คณะกรรมการระหว่างประเทศว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) คาดการณ์ว่าภายในปี 2100 ระดับน้ำทะเลอาจสูงกว่าปัจจุบันถึง 1.1 เมตร และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใดๆ ก็ตามจะไม่สามารถหยุดยั้งผลกระทบในระยะสั้นและระยะกลางของปรากฏการณ์นี้ได้
งานวิจัยของ Nature Communications คาดการณ์ว่า พื้นที่ส่วนใหญ่ของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะพื้นที่ต่ำและชายฝั่ง อาจเสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วมถาวร (Inundation) ภายในปี ค.ศ. 2050 หรือ 2100
.
กรุงเทพฯกำลังเผชิญกับความเสี่ยงที่จะจมน้ำในอนาคต เนื่องจากหลายปัจจัยที่ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและดินทรุดตัว พื้นที่บางส่วนของกรุงเทพฯ อาจจมอยู่ใต้น้ำ และจะประสบปัญหาน้ำท่วมขังที่รุนแรงและยาวนานขึ้น
.
ปัญหาดังกล่าวเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นจากภาวะโลกร้อน การทรุดตัวของแผ่นดิน การระบายน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการลดลงของพื้นที่สีเขียว
.
องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ระบุว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นไป ประชากร 5 ล้านคนจาก 10.7 ล้านคนในกรุงเทพมหานคร อาจเผชิญกับความเสี่ยงจากน้ำท่วมโดยคาดว่าพื้นที่หนึ่งในสามของเมืองหลวงของไทย อาจจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมดภายใน พ.ศ. 2593 และส่งผลให้ประชาชนเกือบ 11 ล้านคนต้องอพยพออกจากพื้นที่
.
สัญญาณเตือนภัยชัดเจน ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องคิดใหญ่ทำใหม่ คิกออฟนโยบายและเริ่มก้าวแรกในช่วงเวลา 4 เดือนที่ยังบริหารประเทศ
.
อย่าปล่อยให้กรุงเทพฯเป็นมหานครแห่งความเสี่ยง ทั้งเมืองเสี่ยงและประชาชนเสี่ยงจากวิกฤตคู่ ทำให้กรุงเทพฯยุบและกรุงเทพฯจมดังเช่นที่เป็นอยู่ในวันนี้และตลอดไป
......................................................................................
เรื่องโดย : อลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการยกระดับมาตรฐานการก่อสร้าง มาตรฐานความปลอดภัยฯ สภาผู้แทนราษฎรฯ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์ ประธานมูลนิธิ Worldview Climate Foundation
.
https://www.salika.co/2025/10/05/bangkok-the-city-of-risk/
.
Knowledge Sharing Space | www.salika.co
.
#กรุงเทพฯ #การทรุดตัวของแผ่นดิน #น้ำท่วมรุนแรง #ปัจจัยธรรมชาติ #มหานครแห่งความเสี่ยง #salikaco
CR https://www.facebook.com/share/1CiVoW5Tj1/?mibextid=wwXIfr