กมธ.ความมั่นคง ตรวจรพ.สต.ซำเม็ง รับปากเร่งชงรบ.เยียวยาปชช.รับผลกระทบ ชาวบ้านผวาเขมรประชิดชายแดน
.
.
กมธ.ความมั่นคง ตรวจรพ.สต.ซำเม็ง รับปากเร่งชงรบ.เยียวยาปชช.รับผลกระทบ ชาวบ้านผวาเขมรประชิดชายแดน
.
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร นำโดย นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะประธาน กมธ. ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลซำเม็ง โดยมีพี่น้องประชาชนในพื้นที่มารอต้อนรับและสะท้อนปัญหาในหลายมิติที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดน
.
นายรังสิมันต์ กล่าวกับชาวบ้านว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการสำรวจความพร้อมรับสถานการณ์ฉุกเฉินเท่านั้น แต่ยังมุ่งรับฟังความยากลำบากและความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนหลายด้านที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ และต้องการให้ประชาชนถ่ายทอดปัญหาให้กับคณะกรรมาธิการเพื่อให้คณะกรรมาธิการได้รับความเดือดร้อนความพี่น้องไปดำเนินการ ช่วยเหลือให้ทุเลาเบาบางลง
.
จากนั้นได้เปิดโอกาสให้ชาวบ้านสะท้อนถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น หนึ่งในนั้นคือ นายอุดม แย้มสวน ซึ่งระบุว่าในฐานะเกษตรกรสวนยางพารา ต้องเผชิญความลำบากในการออกไปเก็บยางเนื่องจากยังมีความหวาดระแวงต่อสถานการณ์ จึงขอให้ประธานกรรมาธิการช่วยเป็นกระบอกเสียงนำเสนอปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
.
ขณะเดียวกัน นางเข็มจิรา จันทร์ทอง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านชำเม็ง ให้ข้อมูลว่า เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีการปะทะ ได้รับแจ้งเตือนจากผู้นำชุมชนและได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังหลุมหลบภัยและศูนย์อพยพเป็นการเร่งด่วน ต่อมาพบว่าอาคารของโรงพยาบาลได้รับความเสียหายจากการปะทะ ซึ่งหากไม่สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกได้ทันจะเกิดอันตรายและผลกระทบอย่างมาก ปัจจุบันผ่านมาแล้วกว่า 2 เดือน แต่สภาพจิตใจของเจ้าหน้าที่ยังคงหวาดกลัว อีกทั้งมีข่าวว่าฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนย้ายอาวุธมาประชิดแนวชายแดน อาคารที่ได้รับความเสียหายยังไม่ถูกซ่อมแซม ทำให้การให้บริการประชาชนไม่สามารถดำเนินไปอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ และเจ้าหน้าที่ยังต้องทำงานภายใต้ภาวะความกังวล จึงขอให้กรรมาธิการนำเรื่องนี้ไปเร่งรัดต่อรัฐบาลเพื่อการเยียวยาและซ่อมแซมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลที่ได้รับความเสียหายด้วย
.
นายรังสิมันต์ กล่าวให้กำลังใจและย้ำความเข้าใจต่อความทุกข์ยากของชาวบ้าน พร้อมยืนยันว่ากรรมาธิการรับทราบความสำคัญของปัญหาเรื่องสุขภาพจิตของเจ้าหน้าที่และพี่น้องประชาชนทุกคน พร้อมจะแจ้งความเดือดร้อนเหล่านี้ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว เพื่อให้เกิดการช่วยเหลือเยียวยา ทั้งยังยืนยันว่าฝ่ายไทยไม่ต้องการความขัดแย้ง แต่การจัดการกับสถานการณ์ต้องอาศัยการเจรจาระหว่างประเทศซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ทั้งนี้ กมธ.ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติจะแสวงหาวิธีการต่าง ๆ และเสนอข้อเรียกร้องที่เป็นประโยชน์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน
.
ด้าน นางทองสา ภูมิชาติ เกษตรกรในพื้นที่ กล่าวถึงผลกระทบต่อการประกอบอาชีพว่า ก่อนเกิดเหตุประสบภัยแล้ง ต่อมามีการประทะทำให้เมล็ดพันธุ์และผลผลิตทางการเกษตรเสียหายไม่สามารถเก็บกู้ได้ พื้นที่สวนยังถูกจัดให้เป็นพื้นที่สีแดงและอยู่ระหว่างการเฝ้าระวังการเก็บกู้ระเบิดที่ยังตกค้าง ส่งผลให้ปีนี้การลงทุนและผลผลิตสูญเปล่า ชาวบ้านต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง โดยตนอยากให้ทหารไทยจัดการยิงตอบกลับให้จบๆ สถานการณ์จะยุติ
.
จากการรับฟังปัญหา นายรังสิมันต์ระบุว่าจะเร่งร่างหนังสือถึงรัฐบาลเพื่อให้มีการเยียวยาและซ่อมแซมสถานที่สาธารณะรวมทั้งพิจารณามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อไป โดยคณะกรรมาธิการจะติดตามความคืบหน้าและนำเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนเข้าสู่กระบวนการติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่แนวชายแดนต่อไป
.
.
วินธัย โต้โฆษกเขมรทั้ง 6 ประเด็น หลังกัมพูชา ร่ายยาว เมินทำแผนอพยพคนก่อนถก RBC
.
โฆษกกองทัพบก โต้ โฆษกกห.เขมร ยืนยันใช้กลไกทวิภาคี ในการแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างสันติ ย้ำ ทั้งสองประเทศต้องขับเคลื่อนร่วมกันบนพื้นฐานข้อเท็จจริง จึงจะให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมมุ่งสร้างเสถียรภาพ และประโยชน์ระยะยาวแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ
.
วินธัย โต้โฆษกเขมร ยันใช้กลไกทวิภาคี แก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติ หลังกัมพูชาเมินทำแผนอพยพคนก่อนถก RBC
.
เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่กองทัพภาคที่ 1 มีหนังสือแจ้งไปถึงฝ่ายกัมพูชาว่า จะเข้าร่วมการประชุม RBC กับ ภูมิภาคทหารที่ 5 ฝ่ายกัมพูชา ในวันที่ 10–12 ตุลาคม 68 ณ เมืองปอยเปต จังหวัดบันเตียเมียนเจย ตามมติการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 68 ที่จังหวัดเกาะกง ก็ต่อเมื่อฝ่ายกัมพูชาได้จัดทำ “แผนการอพยพประชาชนกัมพูชา” ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่พิพาท 3 แห่ง ได้แก่ บ้านหนองจาน, บ้านหนองหญ้าแก้ว, อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว, บ้านตาพระยา อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว โดยต้องส่งแผนการดังกล่าวให้กองทัพภาคที่ 1 ภายในวันที่ 7 ตุลาคม 68 ก่อน จึงจะพิจารณาเข้าร่วมประชุม นั้น
.
พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ได้ออกมาแถลงการณ์ต่อกรณีดังกล่าวในหลายประเด็น
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ออกมาชี้แจงตอบข้อเท็จจริงในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
.
1. ประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวว่า : การประชุมคณะกรรมการชายแดนระดับภาค (RBC) ระหว่างภูมิภาคทหารที่ 5 กองทัพบกกัมพูชา กับกองทัพภาคที่ 1 นั้น เป็นตามมติของคณะกรรมการชายแดนร่วมทั่วไป (GBC) ที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ในการประชุมพิเศษครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 68
โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า มั่นใจว่า กองทัพภาคที่ 1 ไม่ได้มีเจตนาจะไม่มีการประชุม หรือละเลยมติจากที่ประชุม GBC จากการประชุมพิเศษครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 68 ที่ผ่านมา เพียงต้องการให้การประชุมทุกครั้งได้บังเกิดผลที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ เน้นสามารถนำไปสู่กระบวนการแก้ปัญหา ที่เน้นผลสัมฤทธิ์ เป็นรูปธรรมจับต้องได้ ไม่ใช่การรับปากเพื่อถ่วงเวลา โดยไม่มีรายละเอียดนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างแท้จริง เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา
.
2. ประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวว่า: กรณีพื้นที่บ้านโจ๊กเจย และบ้านเปรยจัน กัมพูชาขอยืนยันว่าจะดำเนินการตามที่ได้ตกลงกันไว้ในคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) เมื่อวันที่ 10 กันยายน 68 ซึ่งมอบหมายให้คณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นกลไกหลักในการประชุมและหาทางออกในประเด็นดังกล่าว
.
พล.ต.วินธัย กล่าวว่า กรณีพื้นที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว มีการรุกล้ำพื้นที่ใน 2 ลักษณะ ลักษณะแรก รุกล้ำอยู่ในเขตพื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ ซึ่งตามข้อตกลงของทั้งสองประเทศ ที่อยู่ในเงื่อนไข ต้องอาศัยกลไก JBC แต่สำหรับลักษณะที่สอง ล่วงล้ำอยู่ในเขตอธิปไตยไทยอย่างชัดเจน ตรงนี้คือความเร่งด่วนแรกที่ฝ่ายไทยจำเป็นต้องดำเนินการ
.
3. ประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวว่า : ส่วนที่กล่าวถึงคณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาค (RBC) จะมีหน้าที่เพียงประสานและคลี่คลายสถานการณ์เฉพาะหน้าในพื้นที่ เพื่อลดความตึงเครียดและแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีเท่านั้น มิได้มีอำนาจชี้ขาดเรื่องเส้นเขตแดน
.
โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ต่อกรณีนี้ ยืนยันว่าคณะกรรมการชายแดนระดับภูมิภาค(RBC)ฝ่ายไทย ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงาน เพราะต่อกรณีปัญหา การรุกล้ำพื้นที่ในลักษณะที่สอง ที่รุกล้ำเข้ามาในเขตไทยที่ไม่ใช่พื้นที่อ้างสิทธิ์ มาเป็นระยะเวลายาวนานแล้วนั้น จะมีกลไกฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินการหลัก ภายใต้กฎหมายปกติของประเทศไทย
.
4. ประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชา กล่าวถึงการสำรวจพบว่ามีบางจุดซึ่งประชาชนไทย ได้เข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชาจริง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของปัญหาต้องอาศัยข้อตกลงหลักการที่ทั้งสองประเทศได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้
.
พล.ต.วินธัย กล่าวว่า กรณีนี้ฝ่ายกัมพูชา สามารถใช้ช่องทางกลไกในระดับพื้นที่ของสองฝ่าย มาช่วยแก้ปัญหาได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเท่าที่ได้รับข้อมูลมา อาจจะเป็นการใช้ประโยชน์เพื่อด้านการเกษตร น่าจะแก้ไขได้ไม่ยาก ไม่เหมือนการรุกล้ำเขตแดนด้วยอาคารสิ่งปลูกสร้างแบบถาวร
.
5. ประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชาจะรอผลการพิจารณาของคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC) เกี่ยวกับกรณีพื้นที่บ้านโจ๊กเจย และบ้านเปรยจัน รวมถึงพื้นที่ที่มีสิ่งปลูกสร้างหรือกิจกรรมของประชาชนไทยที่รุกล้ำข้ามเส้นเขตแดนบางส่วน จึงขอผลักดันให้มีการจัดการประชุม JBC โดยเร็ว เพื่อหาทางออกร่วมกัน
.
โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ขอเรียนว่า กลไก JBC มีส่วนสำคัญสำหรับการกำหนดเขตแดน ในพื้นที่ที่มีความสลับซับซ้อน โดยเฉพาะบนภูมิประเทศพื้นที่ลักษณะป่าภูเขา เพื่อพิสูจน์หาแนวสันปันน้ำด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยในปัจจุบัน สำหรับในกรณีปัญหาบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว นั้น มีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบ สามารถลากเส้นตรง เชื่อมระหว่างหลักเขต ที่ทั้งสองฝ่ายได้มีการสำรวจเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถจะพอเห็นภาพแนวสมมุติฐานอ้างอิงเขตแดน เพื่อใช้ไปประกอบในการทำงานได้
.
6. ประเด็นที่ฝ่ายกัมพูชากล่าวว่า : ขอเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงในการประชุม GBC ที่ผ่านมาอย่างเคร่งครัด
.
โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ส่วนกรณีนี้ ฝ่ายไทยยืนยัน มุ่งมั่นยึดถือข้อตกลง และมติที่ประชุมของทุกเวทีระหว่างประเทศเสมอมา อีกทั้งพยายามเพิ่มเติม ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้กลไกต่างๆเหล่านี้ นำไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยแท้จริง
.
“กองทัพบกยืนยันที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี ผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ โดยมุ่งส่งเสริมกระบวนการหารือและหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ หากฝ่ายกัมพูชาตระหนักถึงข้อเท็จจริงตามที่ได้ชี้แจงไปแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าแนวทางแก้ไขที่ฝ่ายไทยเสนอมีความเหมาะสม สอดคล้องกับหลักสากลและกลไกทวิภาคีที่ทั้งสองประเทศยึดถือร่วมกัน แนวทางดังกล่าวไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างเสถียรภาพในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา เท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศในระยะยาว และหากทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่นี้ได้สำเร็จ ก็เชื่อมั่นได้ว่าพื้นที่อื่นๆ ที่ยังมีประเด็นค้างอยู่ก็จะสามารถแก้ไขได้ด้วยสันติวิธีเช่นเดียวกันในอนาคต” โฆษกกองทัพบก กล่าว
JJNY : กมธ.ความมั่นคง ตรวจรพ.สต.ซำเม็ง│โต้โฆษกเขมรทั้ง 6 ประเด็น│สำรวจผลกระทบน้ำหนุน│เตือนแมตโมทำฝนตกหนักบางแห่ง
.