เนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีของภาพยนตร์ "มหา'ลัย เหมืองแร่" (The Tin Mine) ซึ่งออกฉายในปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) ถือเป็นภาพยนตร์ไทยขึ้นหิ้งที่ยังคงถูกกล่าวขวัญถึงในฐานะหนึ่งในภาพยนตร์ไทยที่ดีที่สุดตลอดกาล
จากงานเขียนสู่แผ่นฟิล์ม
ภาพยนตร์ "มหา'ลัย เหมืองแร่" ดัดแปลงมาจากส่วนหนึ่งของหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด "เหมืองแร่" ของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ (ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์) ซึ่งเป็นงานเขียนกึ่งอัตชีวประวัติที่เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตในช่วงที่เขาถูกไล่ออกจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ถูกรีไทร์) และตัดสินใจเดินทางไปทำงานเป็นกรรมกรที่ เหมืองแร่กระโสม อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ในช่วงปี พ.ศ. 2492-2496
เรื่องราวในหนังสือคือ "หลักสูตรชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัย" ที่อาจินต์ (ในเรื่องใช้ชื่อว่า อาจิน) ได้เรียนรู้ทั้งทักษะชีวิต มิตรภาพ และสัจธรรมจากการทำงานหนักในเหมืองแร่ที่ห่างไกลความเจริญ ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจและเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้เริ่มเขียนงานประพันธ์
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย จิระ มะลิกุล (จากค่าย GTH ในขณะนั้น) ซึ่งถือเป็นผลงานที่แสดงถึงความทุ่มเทในการสร้างสูงมาก เพราะคุณเก้งได้อ่านหนังสือเรื่องนี้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้วชอบมาก และมีความใฝ่ฝันที่อยากจะเอาเรื่องเหมืองแร่ มาทำเป็นภาพยนตร์อยู่ตลอด
ก่อนหน้านี้มีผู้กำกับหลายคนที่อยากเอาเรื่องนี้มาทำ แต่คุณอาจินต์ไม่ยอมขายลิขสิทธิ์ให้ ทั้งยังเขียนคำนำไว้ว่า
"เหมืองแร่เป็นเรื่องราวทางอารมณ์ ไม่ใช่แอคชั่นทางภาพยนตร์' เพราะเรื่องเหมืองแร่เป็นบันทึกชีวิตของเขา ไม่เหมาะสมกับการดัดแปลงในสื่ออื่นมาก่อน
แต่เพราะความตั้งใจของคุณเก้งที่คุณอาจินต์ได้เห็นตอนที่ได้เจอกัน คุณเก้งกล่าวว่า "ผมไม่เคยคิดว่าหนังแอคชั่นจะหมายถึงคนชกกันแค่นั้น ฝนตก7วัน7คืนก็สามารถเป็นหนังแอคชั่นได้" พอได้ฟังดังนั้นคุณอาจินต์เลยยิมยอมขายลิขสิทธิ์ให้
ผู้กำกับมีความตั้งใจจะสร้างฉากเหมืองแร่ให้สมจริงที่สุด โดยมีการไปถ่ายทำในสถานที่จริง และใช้เวลาเตรียมงานและถ่ายทำอย่างละเอียดเพื่อให้ภาพของเหมืองแร่กระโสมในอดีตกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
และได้ พิชญะ วัชจิตพันธ์ มารับบท อาจิน และนักแสดงมากฝีมือท่านอื่นๆ ร่วมแสดง รวมถึงการแสดงที่เป็นธรรมชาติและเข้าถึงบทบาทของตัวละครชาวเหมือง ทำให้ผู้ชมรู้สึกผูกพันกับตัวละครและเรื่องราว
การเขีบนบทนั้น ทีมงานต้องทำการเลือกและร้อยเรียงเรื่องสั้นหลายๆ ตอนเข้าด้วยกัน เพื่อให้กลายเป็นโครงเรื่องภาพยนตร์ที่ต่อเนื่องและมีแก่นสารหลักที่ชัดเจน คือการเติบโตและการเรียนรู้ชีวิตของชายหนุ่มคนหนึ่งใน "มหาวิทยาลัยชีวิต" แห่งนี้
ตัวหนังเรื่องนี้เปรียบเทียบการอยู่เหมืองแร่4ปี เท่ากับการเรียนมหาวิทยาลัย แต่เป็นมหาวิทยาลัยชีวิตที่สอนให้รู้จัก "เกียรติของคนต้องขุดเอง"
"มหา'ลัย เหมืองแร่" เล่าเรื่องราวของ อาจิน หนุ่มวิศวะที่ชีวิตพลิกผันไปทำงานใช้แรงงานในเหมืองแร่ดีบุก ณ จังหวัดพังงา เป็นเวลา 4 ปี ที่นั่นเขาได้พบกับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ หลายชนชั้น ทั้งนายฝรั่ง เพื่อนร่วมงานชาวเหมืองที่รักการดื่มเหล้า การพนัน และการทำงานหนัก
แก่นของเรื่องคือการสะท้อน มิตรภาพ ความซื่อสัตย์ ความอดทน และการให้กำลังใจ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและทุรกันดาร
หนังเต็มไปด้วยบทสนทนาและฉากที่เรียบง่าย แต่กินใจและทรงพลัง โดยเฉพาะวลีอมตะที่ว่า "อาจินต์ เอาผมไปฆ่าให้ตาย ผมก็รักคุณ" ซึ่งเป็นประโยคที่สรุปมิตรภาพอันงดงามและความเข้าใจในรสชาติชีวิตของลูกผู้ชายที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน
หลัวจากออกฉาย ภาพยนตร์ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างท่วมท้นจากนักวิจารณ์และผู้ชมส่วนใหญ่ ยกย่องในเรื่อง บทภาพยนตร์ที่แข็งแกร่ง (แม้บางส่วนจะมองว่าเหมือนการนำเรื่องสั้นมาต่อกัน แต่โดยรวมก็สามารถร้อยเรียงได้อย่างมีเอกภาพ), งานสร้างที่พิถีพิถัน (กำกับศิลป์และการถ่ายภาพยอดเยี่ยม), ดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่ไพเราะและเสริมอารมณ์ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณค่าทางจิตใจ ที่มอบให้ผู้ชมในเรื่องของการเรียนรู้ชีวิตและการให้กำลังใจ
ผลตอบรับทางด้านรางวัล"มหา'ลัย เหมืองแร่" กวาดรางวัลในเวทีต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะบนเวที รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 15 ที่คว้ารางวัลไปถึง 6 สาขาหลัก รวมถึง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ ผู้กำกับยอดเยี่ยม
แต่น่าเสียดายที่ในด้านรายได้เชิงพาณิชย์ ภาพยนตร์กลับ ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร โดยทำรายได้ไปเพียงประมาณ 30 ล้านบาท เนื่องจากช่วงเข้าฉายต้องชนกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศอย่าง Star Wars: Episode III – Revenge of the Sith แต่ถึงกระนั้น คุณค่าของหนังก็ไม่ได้ลดลงเลย และได้รับการยกย่องให้เป็นหนังที่ "ไม่เคยถูกรีไทร์" จากใจผู้ชมมาจนถึงปัจจุบัน
"มหา'ลัย เหมืองแร่" จึงไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ แต่เป็นเหมือนมรดกทางวรรณกรรมที่ถูกนำมาตีความอย่างเคารพและงดงามบนแผ่นฟิล์ม เป็นหนังที่เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งฉายชัดถึงความคลาสสิกและคุณค่าของการเป็น "มหา'ลัยชีวิต" ที่สอนให้คนรู้จักคุณค่าของตัวเองและมิตรภาพที่แท้จริง
20 ปีของภาพยนตร์ "มหา'ลัย เหมืองแร่"
จากงานเขียนสู่แผ่นฟิล์ม
ภาพยนตร์ "มหา'ลัย เหมืองแร่" ดัดแปลงมาจากส่วนหนึ่งของหนังสือรวมเรื่องสั้นชุด "เหมืองแร่" ของ อาจินต์ ปัญจพรรค์ (ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์) ซึ่งเป็นงานเขียนกึ่งอัตชีวประวัติที่เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตในช่วงที่เขาถูกไล่ออกจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ถูกรีไทร์) และตัดสินใจเดินทางไปทำงานเป็นกรรมกรที่ เหมืองแร่กระโสม อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ในช่วงปี พ.ศ. 2492-2496
เรื่องราวในหนังสือคือ "หลักสูตรชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัย" ที่อาจินต์ (ในเรื่องใช้ชื่อว่า อาจิน) ได้เรียนรู้ทั้งทักษะชีวิต มิตรภาพ และสัจธรรมจากการทำงานหนักในเหมืองแร่ที่ห่างไกลความเจริญ ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจและเป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้เริ่มเขียนงานประพันธ์
ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย จิระ มะลิกุล (จากค่าย GTH ในขณะนั้น) ซึ่งถือเป็นผลงานที่แสดงถึงความทุ่มเทในการสร้างสูงมาก เพราะคุณเก้งได้อ่านหนังสือเรื่องนี้มาตั้งแต่ยังเด็กแล้วชอบมาก และมีความใฝ่ฝันที่อยากจะเอาเรื่องเหมืองแร่ มาทำเป็นภาพยนตร์อยู่ตลอด
ก่อนหน้านี้มีผู้กำกับหลายคนที่อยากเอาเรื่องนี้มาทำ แต่คุณอาจินต์ไม่ยอมขายลิขสิทธิ์ให้ ทั้งยังเขียนคำนำไว้ว่า
"เหมืองแร่เป็นเรื่องราวทางอารมณ์ ไม่ใช่แอคชั่นทางภาพยนตร์' เพราะเรื่องเหมืองแร่เป็นบันทึกชีวิตของเขา ไม่เหมาะสมกับการดัดแปลงในสื่ออื่นมาก่อน
แต่เพราะความตั้งใจของคุณเก้งที่คุณอาจินต์ได้เห็นตอนที่ได้เจอกัน คุณเก้งกล่าวว่า "ผมไม่เคยคิดว่าหนังแอคชั่นจะหมายถึงคนชกกันแค่นั้น ฝนตก7วัน7คืนก็สามารถเป็นหนังแอคชั่นได้" พอได้ฟังดังนั้นคุณอาจินต์เลยยิมยอมขายลิขสิทธิ์ให้
ผู้กำกับมีความตั้งใจจะสร้างฉากเหมืองแร่ให้สมจริงที่สุด โดยมีการไปถ่ายทำในสถานที่จริง และใช้เวลาเตรียมงานและถ่ายทำอย่างละเอียดเพื่อให้ภาพของเหมืองแร่กระโสมในอดีตกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
และได้ พิชญะ วัชจิตพันธ์ มารับบท อาจิน และนักแสดงมากฝีมือท่านอื่นๆ ร่วมแสดง รวมถึงการแสดงที่เป็นธรรมชาติและเข้าถึงบทบาทของตัวละครชาวเหมือง ทำให้ผู้ชมรู้สึกผูกพันกับตัวละครและเรื่องราว
การเขีบนบทนั้น ทีมงานต้องทำการเลือกและร้อยเรียงเรื่องสั้นหลายๆ ตอนเข้าด้วยกัน เพื่อให้กลายเป็นโครงเรื่องภาพยนตร์ที่ต่อเนื่องและมีแก่นสารหลักที่ชัดเจน คือการเติบโตและการเรียนรู้ชีวิตของชายหนุ่มคนหนึ่งใน "มหาวิทยาลัยชีวิต" แห่งนี้
ตัวหนังเรื่องนี้เปรียบเทียบการอยู่เหมืองแร่4ปี เท่ากับการเรียนมหาวิทยาลัย แต่เป็นมหาวิทยาลัยชีวิตที่สอนให้รู้จัก "เกียรติของคนต้องขุดเอง"
"มหา'ลัย เหมืองแร่" เล่าเรื่องราวของ อาจิน หนุ่มวิศวะที่ชีวิตพลิกผันไปทำงานใช้แรงงานในเหมืองแร่ดีบุก ณ จังหวัดพังงา เป็นเวลา 4 ปี ที่นั่นเขาได้พบกับผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ หลายชนชั้น ทั้งนายฝรั่ง เพื่อนร่วมงานชาวเหมืองที่รักการดื่มเหล้า การพนัน และการทำงานหนัก
แก่นของเรื่องคือการสะท้อน มิตรภาพ ความซื่อสัตย์ ความอดทน และการให้กำลังใจ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายและทุรกันดาร
หนังเต็มไปด้วยบทสนทนาและฉากที่เรียบง่าย แต่กินใจและทรงพลัง โดยเฉพาะวลีอมตะที่ว่า "อาจินต์ เอาผมไปฆ่าให้ตาย ผมก็รักคุณ" ซึ่งเป็นประโยคที่สรุปมิตรภาพอันงดงามและความเข้าใจในรสชาติชีวิตของลูกผู้ชายที่ผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน
หลัวจากออกฉาย ภาพยนตร์ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมอย่างท่วมท้นจากนักวิจารณ์และผู้ชมส่วนใหญ่ ยกย่องในเรื่อง บทภาพยนตร์ที่แข็งแกร่ง (แม้บางส่วนจะมองว่าเหมือนการนำเรื่องสั้นมาต่อกัน แต่โดยรวมก็สามารถร้อยเรียงได้อย่างมีเอกภาพ), งานสร้างที่พิถีพิถัน (กำกับศิลป์และการถ่ายภาพยอดเยี่ยม), ดนตรีประกอบภาพยนตร์ที่ไพเราะและเสริมอารมณ์ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณค่าทางจิตใจ ที่มอบให้ผู้ชมในเรื่องของการเรียนรู้ชีวิตและการให้กำลังใจ
ผลตอบรับทางด้านรางวัล"มหา'ลัย เหมืองแร่" กวาดรางวัลในเวทีต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะบนเวที รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 15 ที่คว้ารางวัลไปถึง 6 สาขาหลัก รวมถึง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ ผู้กำกับยอดเยี่ยม
แต่น่าเสียดายที่ในด้านรายได้เชิงพาณิชย์ ภาพยนตร์กลับ ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร โดยทำรายได้ไปเพียงประมาณ 30 ล้านบาท เนื่องจากช่วงเข้าฉายต้องชนกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศอย่าง Star Wars: Episode III – Revenge of the Sith แต่ถึงกระนั้น คุณค่าของหนังก็ไม่ได้ลดลงเลย และได้รับการยกย่องให้เป็นหนังที่ "ไม่เคยถูกรีไทร์" จากใจผู้ชมมาจนถึงปัจจุบัน
"มหา'ลัย เหมืองแร่" จึงไม่ใช่แค่ภาพยนตร์ แต่เป็นเหมือนมรดกทางวรรณกรรมที่ถูกนำมาตีความอย่างเคารพและงดงามบนแผ่นฟิล์ม เป็นหนังที่เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งฉายชัดถึงความคลาสสิกและคุณค่าของการเป็น "มหา'ลัยชีวิต" ที่สอนให้คนรู้จักคุณค่าของตัวเองและมิตรภาพที่แท้จริง