AH-64 Apache นักล่าแห่งรัตติกาล

AH-64 Apache นักล่าแห่งรัตติกาล
AH-64 Apache เป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีเครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์คู่ของสหรัฐฯ มีจุดเด่นที่ห้องนักบินแบบเรียงหน้ากระดานสำหรับลูกเรือ 2 นาย และติดตั้งเซนเซอร์ที่จมูกเพื่อหาเป้าหมายและให้วิสัยทัศน์ในเวลากลางคืน

อาวุธหลัก: ติดตั้งปืนลูกโซ่ M230 ขนาด 30 มม. และมีสี่จุดสำหรับติดตั้งอาวุธ เช่น ขีปนาวุธ AGM-114 Hellfire และกระเปาะจรวด Hydra 70

การเริ่มต้น: เริ่มจากโครงการ Model 77 ของ Hughes Helicopters เพื่อทดแทน AH-1 Cobra

เข้าประจำการ: เครื่องต้นแบบ YAH-64 บินครั้งแรกในปี 1975 และกองทัพบกสหรัฐฯ เลือกในปี 1976 โดยเริ่มเข้าประจำการในปี 1986

ผู้ผลิต: หลังจากการเข้าซื้อกิจการ Hughes Helicopters ในปี 1984 การผลิตจึงถูกดูแลโดย McDonnell Douglas และต่อมาคือ Boeing

รุ่นก้าวหน้า: รุ่น AH-64D Apache Longbow ถูกส่งมอบในปี 1997

การผลิตทั่วโลก: มีการส่งมอบ Apache ไปแล้วกว่า 5,000 ลำ ให้กับสหรัฐฯ และพันธมิตร 18 ประเทศ รวมถึงการผลิตภายใต้ใบอนุญาตในสหราชอาณาจักรในชื่อ AgustaWestland Apache

การปฏิบัติการหลัก: ถูกใช้งานโดยสหรัฐฯ ในหลายความขัดแย้ง เช่น ปานามา อ่าวเปอร์เซีย อัฟกานิสถาน และอิรัก รวมถึงประเทศอื่น ๆ เช่น กรีซ, ญี่ปุ่น, อิสราเอล, เนเธอร์แลนด์

การออกแบบและระบบปฏิบัติการ
การออกแบบ Apache เน้นที่ความทนทานและความสามารถในการปฏิบัติการได้ตลอดเวลา

ความอยู่รอด: ห้องนักบินและใบพัดออกแบบมาให้ทนทานต่อกระสุน 23 มม. มีเกราะป้องกันประมาณ 1,100 กิโลกรัม และมีระบบถังเชื้อเพลิงที่ปิดผนึกตัวเองได้ (self-sealing)

สมรรถนะ: มีอัตราการไต่ระดับในแนวดิ่ง 541 เมตร/นาที และเพดานบินปฏิบัติการ 6,400 เมตร ในสภาพอากาศมาตรฐาน

ระบบเล็งเป้า: ใช้ระบบแสดงผลบนหมวกกันน็อก (IHADSS) ทำให้นักบินสามารถควบคุมปืน 30 มม. ให้เคลื่อนที่ตามการมองเห็นได้ รุ่นใหม่ใช้ระบบเล็งเป้า Arrowhead (MTADS)

การบินกลางคืน/สภาพอากาศเลวร้าย: สามารถปฏิบัติการได้ทั้งกลางวันและกลางคืนด้วยระบบ TADS/PNVS (Pilot Night Vision System)

เรดาร์ Longbow: รุ่น Longbow สามารถระบุเป้าหมายได้พร้อมกันถึง 256 เป้าหมาย ภายในระยะ 50 กม.

อาวุธเสริม: นอกจาก Hellfire และ Hydra 70 แล้ว ยังสามารถติดตั้งจรวดนำวิถี APKWS และขีปนาวุธต่อต้านอากาศยาน Stinger ได้

ควบคุมโดรน (MUM-T): รุ่น AH-64E สามารถควบคุมโดรนลาดตระเวน (เช่น RQ-7 Shadow หรือ MQ-1C Grey Eagle) เพื่อค้นหาเป้าหมายและขยายขอบเขตการมองเห็นในสนามรบ

ประวัติการรบและผู้ใช้งานทั่วโลก
Apache มีบทบาทสำคัญในหลายความขัดแย้งทั่วโลกและเป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ

สหรัฐอเมริกา
การรบครั้งแรก: ปฏิบัติการ Just Cause (ปานามา, 1989)

สงครามเด่น: ปฏิบัติการ Desert Storm (1991) ทำลายรถถังและยานพาหนะอิรักกว่า 500 รายการ ปฏิบัติการ Iraqi Freedom (2003) แม้จะมีการสูญเสียบางส่วน แต่ก็แสดงให้เห็นความสามารถในการกลับฐานหลังความเสียหาย

AH-64E ในการรบ: AH-64E เริ่มใช้งานรบครั้งแรกในอัฟกานิสถานปี 2014 โดยบินเร็วกว่า AH-64D และทำงานร่วมกับโดรนอย่างมีประสิทธิภาพ

อินเดีย
การจัดซื้อ: กองทัพอากาศอินเดีย (IAF) สั่งซื้อ AH-64E 22 ลำ และรับมอบจนครบในปี 2020 โดยนำไปประจำการในช่วงความขัดแย้งกับจีน

กองทัพบกอินเดีย: มีการสั่งซื้อ AH-64E เพิ่มอีก 6 ลำ เพื่อประจำการในกองทัพบก โดยเน้นภารกิจต่อต้านยานเกราะและคาดว่าจะได้รับมอบชุดแรกในปี 2025

ผู้ใช้งานหลักอื่น ๆ
อิสราเอล: ใช้งาน Apache (ชื่อ Peten/Saraph) ในความขัดแย้งกับ Hezbollah ในเลบานอน และต่อต้านกลุ่ม Hamas ในฉนวนกาซา

สหราชอาณาจักร: เคยใช้รุ่นดัดแปลง WAH-64 Apache (Apache AH1) และกำลังเปลี่ยนไปใช้ AH-64E 50 ลำที่ซื้อจากสหรัฐฯ

เนเธอร์แลนด์: ใช้ AH-64D 30 ลำ และกำลังอัปเกรดทั้งหมดเป็นมาตรฐาน AH-64E โดยเคยปฏิบัติการในบอสเนีย, อิรัก, และอัฟกานิสถาน

ซาอุดีอาระเบียและ UAE: ใช้ Apache ในภารกิจตามแนวชายแดนและโจมตีกลุ่มกบฏ Houthi ในเยเมน

ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, กาตาร์: เป็นผู้ใช้งาน AH-64D/E ที่สำคัญในภูมิภาคเอเชีย

ผู้ใช้งานในอนาคต
โปแลนด์: ประกาศเลือก AH-64E 96 ลำ เพื่อทดแทนเฮลิคอปเตอร์โจมตีเดิม

ออสเตรเลีย: เลือก AH-64E 29 ลำ เพื่อทดแทน Eurocopter Tiger

โมร็อกโก: ได้รับการอนุมัติการขาย AH-64E 24 ลำ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่