ยุคกลาง ค.ศ.1100-1299

ในช่วงเวลานั้น โลกของเรามีประชากรอยู่ประมาณ 400 ล้านคน
 
100 ล้านคนอยู่ในจักรวรรดิของชาวจีน
 
90 ล้านคนอยู่ในอินเดีย
 
40 ล้านคนอยู่แถบตะวันออกกลาง
 
นับว่าจํานวนประชากรส่วนใหญ่ กระจุกตัวอยู่ในทวีปเอเชีย มีเพียง 60 ล้านคนอยู่ในทวีปยุโรป..
 
หลังจากจักรวรรดิโรมันที่เป็นดั่งแสงสว่างแห่งปัญญาล่มสลาย ยุโรปทั้งทวีปก็เข้าสู่ยุคสมัยแห่งความมืดมิด นักประวัติศาสตร์เรียกช่วงเวลานั้นว่า ยุคมืด หรือ ยุคกลาง ดินแดนขนาดใหญ่ถูกแบ่งเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย มีการปกครองในรูปแบบ
 
ที่เรียกว่า “ระบบศักดินาสวามิภักดิ์” (Feudalism)
 
กษัตริย์มอบหมายที่ดินให้เหล่าขุนนางที่ไว้วางใจนำไปดูแล เมื่อขุนนางได้รับที่ดิน ก็มีการสร้างปราสาทขึ้นบนที่ดินของตัวเอง ชาวนามากมายซึ่งไม่มีที่ดินทำกินก็มาอาศัยที่ดินของขุนนางเพื่อทำการเกษตร โดยจะมีการแบ่งผลผลิตให้ขุนนางตามแต่จะตกลง
 
ระบบเศรษฐกิจในยุคกลางจึงเป็นแบบพึ่งพาตนเอง อาศัยผลผลิตจากภายในอาณาเขตของตัวเอง ชาวนาที่มาอาศัยอยู่ ก็ไม่ได้มีเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐาน จึงมีการซื้อขายสินค้าแลกเปลี่ยนกันระหว่างปราสาทอื่นน้อยมาก
 
ขุนนางแต่ละคนต่างก็มีกองกำลังอัศวินเป็นของตัวเอง หลายครั้งเมื่อเกิดความบาดหมางระหว่างขุนนางกันเอง หรือระหว่างอาณาจักรจึงเกิดสงครามย่อยๆ หลายต่อหลายครั้ง
 
ชาวนาซึ่งอาศัยที่ดินทำกินก็ต้องไปออกรบให้ขุนนางด้วย ชาวนาเมื่อต้องถูกเรียกตัวไปรบบ่อยครั้ง หลายคนจึงเริ่มหมดหวังกับชีวิตในโลกนี้และหันมามองหาความสุขสงบในโลกหน้า เป็นเวลาเดียวกับที่คริสต์ศาสนาเข้ามาเยียวยาจิตใจที่บอบช้ำและมอบความหวังให้กับชีวิต นำมาสู่การเทิดทูนอย่างสูงส่งต่อศาสนา
 
 
เห็นได้จากการก่อสร้างมหาวิหารอันอลังการรูปแบบศิลปะกอทิก (Gothic) ทำให้โบสถ์ตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้าไปทั่วยุโรป ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือมหาวิหารนอเทรอดาม ในกรุงปารีส ที่เริ่มก่อสร้างในปี ค.ศ. 1163
 
เมื่อผู้คนหมดหวังในชีวิตและมีศรัทธาในศาสนาเป็นที่พึ่งสุดท้ายจึงถูกหว่านล้อมให้เข้าสู่สงครามศาสนาที่รุนแรง และยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์...สงครามนี้เรียกว่า สงครามครูเสด
 
เป็นความขัดแย้งระหว่างชาวยุโรปผู้นับถือศาสนาคริสต์ กับชาวอาหรับผู้นับถือศาสนาอิสลาม สาเหตุประการหนึ่งก็เพื่อขับไล่ชาวมุสลิมให้ออกไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ ชื่อ เยรูซาเล็ม..
 
สงครามนี้ยืดเยื้อยาวนานเป็นเวลา 200 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1096 - ค.ศ. 1291 ผู้ปกครองดินแดนในยุโรปทั้งกษัตริย์และพระสันตะปาปา ต่างเกณฑ์ผู้คนที่
หมดหวังกับชีวิตให้ไปรบเพื่อศาสนา ยอดผู้เสียชีวิตคือ 7 ล้านคน ตลอดเวลาเกือบ 200 ปี ของสงคราม
แม้ผลของสงครามจะจบลงด้วยชาวคริสต์ในยุโรปไม่สามารถรักษากรุงเยรูซาเล็มไว้ได้
 
แต่สงครามครูเสดก็ทำให้ชาวยุโรปได้เดินทางไปพบเห็นโลกของชาวอาหรับ ซึ่งในเวลานั้นมีความก้าวหน้ามากกว่าทั้งในด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ รวมไปถึงการค้า จนนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของโลกตะวันตก
 
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ 1 คือ “เลขอารบิก”
 
เดิมชาวยุโรปใช้ระบบเลขโรมัน แต่เมื่อนักคณิตศาสตร์แห่งเมืองปิซ่า บนคาบสมุทรอิตาลี
 
เลโอนาร์โด ฟีโบนักชี (Leonardo Fibonacci) ได้นำระบบเลขฮินดู-อารบิก ซึ่งนิยมใช้ในหมู่ชาวอาหรับมาใช้ในงานเขียน หนังสือ Liber Abaci ในปีค.ศ. 1202 เลขฮินดู-อารบิก ซึ่งใช้ตัวเลข 0-9 ทำให้เกิดความสะดวกในการคำนวณมากกว่าระบบเลขโรมันมาก ระบบตัวเลขแบบใหม่นี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการทําบัญชีการค้า แปลงหน่วยการชั่งการวัด การแลกเปลี่ยนเงินตรา ไปจนถึงการคำนวณดอกเบี้ย
 
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ 2 คือ “การขยายตัวของการค้า”
 
ชาวยุโรปที่มีเสรีภาพน้อย ได้เดินทางไปพบสินค้าแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พรม เครื่องเทศ ผ้าไหม หรือแม้แต่ ส้อม บางส่วนเป็นสินค้าของชาวอาหรับเอง ในขณะที่อีกหลายชนิดเป็นสินค้าที่นำเข้ามาจากจีนและอินเดีย สินค้าจากอาหรับและโลกตะวันออก เริ่มเป็นที่ต้องการ จึงเกิดชนชั้นใหม่ คือชนชั้นพ่อค้า
 
 
พ่อค้าผู้เป็นสื่อกลางในการนำสินค้ามาค้าขายให้ชาวยุโรป เกิดเมืองศูนย์กลางการค้าขึ้นหลายแห่ง โดยเฉพาะบนคาบสมุทรอิตาลีและ ศูนย์กลางการค้าที่โดดเด่นที่สุดก็คือ “นครเวนิส”
 
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ 3 คือ “มหาวิทยาลัย”
การก่อตั้งมหาวิทยาลัยในช่วงแรกเป็นไปเพื่อรองรับวัตถุประสงค์ทางศาสนาและการปกครอง เน้นการสอนในเรื่องของเทววิทยา และกฎหมาย
มหาวิทยาลัยในยุคแรกๆ ประกอบไปด้วยมหาวิทยาลัยโบโลนญา ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1088
มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1096
ตามมาด้วยมหาวิทยาลัยปารีส ในปี ค.ศ. 1150
 
แต่การเข้ามาขององค์ความรู้จากโลกอาหรับ ทำให้มีการเพิ่มการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ แพทยศาสตร์ ไปจนถึงระบบบัญชีและการค้า ซึ่งกลายเป็นรากฐานภูมิปัญญาของชาวตะวันตกในยุคสมัยต่อมา
 
จุดเปลี่ยนสำคัญที่ 4 คือ “ธนาคาร”
 
“นครเวนิส” เมืองท่าบนฝั่งทะเลเอเดรียติก เจริญก้าวหน้าขึ้นมาจากการเป็นศูนย์กลางการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ระหว่างดินแดนใจกลางยุโรปกับเมืองท่าอื่นๆ ของชาวอาหรับ แต่ละดินแดนต่างใช้สกุลเงินแตกต่างกันออกไป เวนิสจึงกลายเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนเงินตราจนทำให้เมืองเต็มไปด้วยความมั่งคั่ง
 
ธนาคารแห่งแรกในยุโรป ได้ถือกําเนิดขึ้นในนครแห่งนี้เมื่อปี ค.ศ. 1156 สาเหตุหลักก็เพื่อให้คริสตจักรยืมเงินไปใช้ในการทําสงครามครูเสด และเจ้า ผู้ครองเวนิสเองก็ยืมเงินไปใช้สําหรับทําสงครามเพื่อควบคุมเส้นทางเดินเรือบนฝั่งทะเลเอเดรียติก
 
เมื่อควบคุมการค้าได้ทั่วฝั่งทะเลเอเดรียติก เวนิสจึงขึ้นแท่นการเป็นศูนย์กลางการค้า และกลายเป็นนครรัฐที่ใหญ่ที่สุดบนคาบสมุทรอิตาลีในราวปี ค.ศ. 1290 เวนิสมีประชากร 180,000 คน อย่างไรก็ตาม นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับนครหางโจว เมืองหลวงแห่งอาณาจักรซึ่งที่มีประชากรเกือบ 1,500,000 คน..
 
ในช่วงเวลาเดียวกัน อารยธรรมโลกตะวันออก โดยเฉพาะอารยธรรมจีน นับว่ามีความเจริญก้าวหน้ากว่าโลกตะวันตก ประเทศจีนในเวลานั้นเต็มไปด้วยสิ่งประดิษฐ์มากมาย ทั้งผ้าไหม เข็มทิศ กระดาษ ธนบัตร รวมถึงการค้ากับชาวอาหรับผ่านเส้นทางสายไหม
 
แต่แล้วในปี ค.ศ. 1271 ผู้นําชาวมองโกล นามว่า กุบไลข่าน ได้โค่นอํานาจราชวงศ์ซ่ง แล้วตั้งราชวงศ์หยวน ปกครองจักรวรรดิมองโกลอันกว้างใหญ่ไพศาลโดยย้ายศูนย์กลางแห่งใหม่มาอยู่ที่เมืองต้าตู หรือกรุงปักกิ่งในปัจจุบัน ถึงอย่างนั้น นครหางโจวก็ยังคงเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจและการค้า
 
จักรพรรดิกุบไลข่านทรงสนพระทัยการค้าขาย และเปิดรับการติดต่อจากโลกตะวันตก โดยเฉพาะ “ครอบครัวโปโล” ตระกูลพ่อค้าจากนครเวนิส ซึ่งได้เดินทางตามเส้นทางสายไหมมาเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิถึงกรุงต้าตู
 
“มาร์โคโปโล” นักเดินทางหนุ่มผู้เดินทางมากับครอบครัวในปี ค.ศ. 1271 ได้ถวายงานให้ราชสำนักหยวนในฐานะราชทูต และเดินทางไปทั่วแผ่นดินจีน เมื่อเดินทางกลับถึงนครเวนิสในปี ค.ศ. 1295จึงได้ร่วมกับเพื่อนนักเขียน เขียนหนังสือบอกเล่าการใช้ชีวิตในเมืองจีนชื่อว่า “The Travels of Marco Polo”
 
แม้เรื่องราวในหนังสือจะสร้างความสงสัยให้กับผู้คนว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง แต่หนังสือเล่มนั้นก็เป็นที่นิยมไปทั่วยุโรปและเปิดโลกทัศน์ของชาวยุโรปให้ได้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าของอารยธรรมจีน..
 
ซึ่งนำมาสู่การขยายการค้าทั้งกับจีนและโลกตะวันออก และนำความมั่งคั่งมหาศาลมาให้แก่พ่อค้าบนคาบสมุทรอิตาลี ในขณะที่ชาวยุโรปก็ได้เปิดหูเปิดตาต้อนรับสินค้า และวิทยาการใหม่ๆ
 
ทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นผลดี แต่หารู้ไม่..ว่าการติดต่อค้าขายกับโลกตะวันออกจะนำโรคภัยร้ายแรงเข้ามาสู่ยุโรปโรคระบาดที่จะคร่าชีวิตผู้คนในยุโรป คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด โรคร้ายนี้ถูกเรียกว่า กาฬโรค..
 
 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่