
SOCIETY: มนุษย์หินไม่ได้ร้อง 'อุกะๆ'
แต่น่าจะส่งเสียง
'กรีดร้อง' แบบสัตว์ป่า
.
ปัญหาว่า 'ภาษา' เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เป็นปัญหาทั้งทางปรัชญาและทางมานุษยวิทยากายภาพ ซึ่งในอดีตก็มักจะเชื่อกันว่าภาษาแบบที่เราเข้าใจเป็นลักษณะเฉพาะของโฮโมเซเปียนส์เท่านั้น มนุษย์รุ่นก่อนหน้านั้นไม่มีความสามารถในการใช้ภาษา
.
อย่างไรก็ดีในยุคหลังๆ ที่คนเริ่มมองภาพกว้างขึ้น ระดับที่มองว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน (ในที่นี้หมายถึงสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังขนานกับพื้น) จำนวนมากก็มีภาษาเอาไว้สื่อสาร มันจึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะเชื่อว่า 'มนุษย์' รุ่นก่อนโฮโมเซเปียนส์จะไม่มีภาษาที่ใช้ในการสื่อสารกัน
.
และนี่นำมาสู่ปัญหาของ 'ภาษานีแอนเดอร์ทัล'
.
อันที่จริงเป็นที่ถกเถียงกันมายาวนานแล้วว่าภาษาเป็นลักษณะเฉพาะของโฮโมเซเปียนส์จริงๆ หรือมนุษย์รุ่นก่อนหน้าอย่างนีแอนเดอร์ทัลก็มีภาษาแล้ว และข้อสรุปโดยรวมก็คือมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลมีความสามารถที่จะพัฒนาภาษาได้แน่นอน แค่เรายืนยันไม่ได้ เพราะมนุษย์รุ่นนี้ยังไม่มีการเขียน
.
ทีนี้สิ่งที่น่าสนใจที่จะถามต่อคือ ถ้ามีภาษาแล้ว นีเแอนเดอร์ทัลน่าจะคุยกันยังไง?
.
คำตอบนี้ไม่ยาก เพราะเรามีข้อมูลทั้งโครงสร้างกะโหลกและระบบทางเดินหายใจของนีแอนด์เดอร์ทัลครบมากพอที่จะเดาได้ว่า ถ้าพวกเขาส่งเสียงมันจะออกมาเป็นอย่างไร
.
คำตอบสั้นๆ ที่อาจขัดใจหลายคนก็คือ พวกเขาไม่ได้ส่งเสียง ‘อุกะๆ’ เสียงต่ำๆ แบบที่ป๊อปคัลเจอร์พยายามจะแสดงภาพจำให้เราเห็น
.
แต่พวกเขาน่าจะส่งเสียงที่มนุษย์ยุคปัจจุบันฟังเป็นเสียงกรีดร้องแหลมๆ สูงๆ โดยทฤษฎีที่เชื่อว่ามนุษย์นีแอนเดอร์ทัลมีเสียงแบบนี้ เรียกว่า ‘High-Pitched Voice Theory’
.
ทั้งนี้ให้ลองนึกถึงเสียงของพวกลิงชิมแปนซีว่ามันเป็นยังไง แล้วลองจินตนาการว่าถ้ามนุษย์เลียนเสียงพวกมัน เสียงจะออกมาเป็นยังไง และนั่นคือเสียงที่น่าจะเป็นของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล ภายใต้ทฤษฎีนี้ซึ่งวางอยู่บนฐานของการวิเคราะห์โครงสร้างกะโหลกและกายวิภาคอื่นๆ
.
แน่นอน ยุคหลังๆ มีความพยายามจากการวิเคราะห์ระบบการได้ยินว่าจริงๆ แล้วมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลน่าจะมีเสียงคล้ายมนุษย์ เพราะย่านเสียงที่ได้ยินใกล้กัน แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เกี่ยวกันเลย เพราะในทางวิวัฒนาการ การวิวัฒนาการการได้ยินมันไม่ได้ทำมาเพื่อการสื่อสาร แต่เป็นไปเพื่อรับรู้สภาพแวดล้อมหรือระวังภัยมากกว่า หรือพูดง่ายๆ สิ่งมีชีวิตใดจะมีชีวิตรอดได้ ก็ต้องฟังเสียงสิ่งที่จะกินเป็นอาหารได้ เพื่อไปจับกิน หรือต้องฟังเสียงสิ่งที่จะมากินตนเองได้ จะได้วิ่งหนีทัน สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐาน และการสื่อสารมันมาทีหลัง
.
ใดๆ ก็ตาม ข้อถกเถียงก็ยังคงดำเนินต่อไป และก็คงจะมีต่อไปเรื่อยๆ ความรู้ก็น่าจะอัปเดตต่อไป
.
แต่เหนือสิ่งอื่นใด อยากให้เราลืมภาพจำของเสียงมนุษย์หินที่ร้อง “อุกะๆ” แบบในหนังหรือการ์ตูน เพราะนั่นดูจะไม่มีเค้าความจริงบนฐานความรู้ปัจจุบัน ไม่ได้ต่างจากการที่ทุกวันนี้เราต้องอัปเดตภาพของ ‘ไดโนเสาร์’ ว่าจริงๆ แล้วผิวหนังมันน่าจะปกคลุมด้วยขนแบบพวกนก มากกว่าจะมีผิวหนังแบบสัตว์เลื้อยคลาน
.
แหล่งที่มา : Brandthink
https://www.facebook.com/share/1DWrFuFt6V/
มนุษย์หินไม่ได้ร้อง 'อุกะๆ' แต่น่าจะส่งเสียง 'กรีดร้อง' แบบสัตว์ป่า
SOCIETY: มนุษย์หินไม่ได้ร้อง 'อุกะๆ'
แต่น่าจะส่งเสียง
'กรีดร้อง' แบบสัตว์ป่า
.
ปัญหาว่า 'ภาษา' เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เป็นปัญหาทั้งทางปรัชญาและทางมานุษยวิทยากายภาพ ซึ่งในอดีตก็มักจะเชื่อกันว่าภาษาแบบที่เราเข้าใจเป็นลักษณะเฉพาะของโฮโมเซเปียนส์เท่านั้น มนุษย์รุ่นก่อนหน้านั้นไม่มีความสามารถในการใช้ภาษา
.
อย่างไรก็ดีในยุคหลังๆ ที่คนเริ่มมองภาพกว้างขึ้น ระดับที่มองว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน (ในที่นี้หมายถึงสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังขนานกับพื้น) จำนวนมากก็มีภาษาเอาไว้สื่อสาร มันจึงไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะเชื่อว่า 'มนุษย์' รุ่นก่อนโฮโมเซเปียนส์จะไม่มีภาษาที่ใช้ในการสื่อสารกัน
.
และนี่นำมาสู่ปัญหาของ 'ภาษานีแอนเดอร์ทัล'
.
อันที่จริงเป็นที่ถกเถียงกันมายาวนานแล้วว่าภาษาเป็นลักษณะเฉพาะของโฮโมเซเปียนส์จริงๆ หรือมนุษย์รุ่นก่อนหน้าอย่างนีแอนเดอร์ทัลก็มีภาษาแล้ว และข้อสรุปโดยรวมก็คือมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลมีความสามารถที่จะพัฒนาภาษาได้แน่นอน แค่เรายืนยันไม่ได้ เพราะมนุษย์รุ่นนี้ยังไม่มีการเขียน
.
ทีนี้สิ่งที่น่าสนใจที่จะถามต่อคือ ถ้ามีภาษาแล้ว นีเแอนเดอร์ทัลน่าจะคุยกันยังไง?
.
คำตอบนี้ไม่ยาก เพราะเรามีข้อมูลทั้งโครงสร้างกะโหลกและระบบทางเดินหายใจของนีแอนด์เดอร์ทัลครบมากพอที่จะเดาได้ว่า ถ้าพวกเขาส่งเสียงมันจะออกมาเป็นอย่างไร
.
คำตอบสั้นๆ ที่อาจขัดใจหลายคนก็คือ พวกเขาไม่ได้ส่งเสียง ‘อุกะๆ’ เสียงต่ำๆ แบบที่ป๊อปคัลเจอร์พยายามจะแสดงภาพจำให้เราเห็น
.
แต่พวกเขาน่าจะส่งเสียงที่มนุษย์ยุคปัจจุบันฟังเป็นเสียงกรีดร้องแหลมๆ สูงๆ โดยทฤษฎีที่เชื่อว่ามนุษย์นีแอนเดอร์ทัลมีเสียงแบบนี้ เรียกว่า ‘High-Pitched Voice Theory’
.
ทั้งนี้ให้ลองนึกถึงเสียงของพวกลิงชิมแปนซีว่ามันเป็นยังไง แล้วลองจินตนาการว่าถ้ามนุษย์เลียนเสียงพวกมัน เสียงจะออกมาเป็นยังไง และนั่นคือเสียงที่น่าจะเป็นของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล ภายใต้ทฤษฎีนี้ซึ่งวางอยู่บนฐานของการวิเคราะห์โครงสร้างกะโหลกและกายวิภาคอื่นๆ
.
แน่นอน ยุคหลังๆ มีความพยายามจากการวิเคราะห์ระบบการได้ยินว่าจริงๆ แล้วมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลน่าจะมีเสียงคล้ายมนุษย์ เพราะย่านเสียงที่ได้ยินใกล้กัน แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เกี่ยวกันเลย เพราะในทางวิวัฒนาการ การวิวัฒนาการการได้ยินมันไม่ได้ทำมาเพื่อการสื่อสาร แต่เป็นไปเพื่อรับรู้สภาพแวดล้อมหรือระวังภัยมากกว่า หรือพูดง่ายๆ สิ่งมีชีวิตใดจะมีชีวิตรอดได้ ก็ต้องฟังเสียงสิ่งที่จะกินเป็นอาหารได้ เพื่อไปจับกิน หรือต้องฟังเสียงสิ่งที่จะมากินตนเองได้ จะได้วิ่งหนีทัน สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐาน และการสื่อสารมันมาทีหลัง
.
ใดๆ ก็ตาม ข้อถกเถียงก็ยังคงดำเนินต่อไป และก็คงจะมีต่อไปเรื่อยๆ ความรู้ก็น่าจะอัปเดตต่อไป
.
แต่เหนือสิ่งอื่นใด อยากให้เราลืมภาพจำของเสียงมนุษย์หินที่ร้อง “อุกะๆ” แบบในหนังหรือการ์ตูน เพราะนั่นดูจะไม่มีเค้าความจริงบนฐานความรู้ปัจจุบัน ไม่ได้ต่างจากการที่ทุกวันนี้เราต้องอัปเดตภาพของ ‘ไดโนเสาร์’ ว่าจริงๆ แล้วผิวหนังมันน่าจะปกคลุมด้วยขนแบบพวกนก มากกว่าจะมีผิวหนังแบบสัตว์เลื้อยคลาน
.
แหล่งที่มา : Brandthink
https://www.facebook.com/share/1DWrFuFt6V/