สวัสดีครับ Silver Gaze ครับ
พอดีผมพึ่งหายป่วยจากอาการไข้หวัดใหญ่ครั้งแรกในช่วงวัยทำงานมาครับ ผมจึงอยากเอาประสบการณ์ที่ได้รับมาแชร์ให้กับทุกท่านที่พึ่งเข้าสู่ช่วงวัยทำงาน ทุกท่านจะได้เตรียมตัวเผชิญกับอาการป่วยหนักได้อย่างไม่ต้องเจ็บปวดมากเท่าผม เพราะเชื่อเถอะครับ ว่าก่อนที่ผมจะป่วยครั้งนี้ ผมก็เป็นหนึ่งคนที่เดินตากฝนกลับบ้าน ลุยน้ำไปหาบุฟเฟ่ต์กิน แล้วก็นั่งกินบุฟเฟ่ต์เป็นชั่วโมงๆ ในสภาพที่เปียกปอน แต่หลังจากที่ป่วยหนักรอบนี้ไป ผมก็ถึงกับต้องทบทวนวิถีชีวิตตัวเองเป็นเร่งด่วน ซึ่งผมมองว่าทุกท่านไม่จำเป็นต้องผ่านประสบการณ์ด้วยตนเองนี้เพื่อเรียนรู้มันหรอก
ถ้าทุกท่านพร้อมแล้ว เรามากันที่คำถามแรกกันเลยดีครับ
กับคำถามที่ว่า….อะไรคือสิ่งที่ควรทำ…ก่อนการป่วยหนักในวัยทำงาน
1. หาหมอเพื่อรับคำปรึกษา
2. ซื้อยามาทานดักก่อนเป็นไข้
3. กินวิตามิน C เพื่อ…เพื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่เขาเชื่อกันว่ามันช่วงให้ดีขึ้นตอนเป็นหวัดอะน่ะ
4. ดูแลตัวเอง นอนเร็วขึ้น
5.กินให้เยอะๆ ร่างกายจะได้เอาพลังงานไปสู้กับโรคได้
คำตอบของคำถามนี้บอกตรงๆ เลยครับว่า แล้วแต่สะดวก เอาที่สบายใจ เอาที่แต่ละท่านเชื่อว่ามันจะช่วยท่านได้ เพราะสุดท้ายแล้ว มันก็จะช่วยท่านได้นิดนึง - ไม่ช่วยเลย เมื่อสิ่งที่เข้าไปสู่ร่างกายของท่านคือเชื้อที่รุนแรงพอ จำนวนมากพอ ในขณะที่ร่างกายของท่านเข้าสู่ช่วงวัยทำงาน
เพราะช่วงวัยทำงานคือช่วงที่ประหลาดนะครับ เพราะถึงคุณจะรู้ว่าตัวเองเป็นหวัด คุณก็จะพาตัวเองไปที่ทำงานเพื่อกระจายเชื้อโรคให้เพื่อนร่วมงานและคนในระบบขนส่งสาธารณะอยู่ดี
การจะกินยา แล้วนอนหลับหนึ่งตื่นเพื่อ Reset ทุกอย่างจึงเป็นไปได้ยากครับ แม้ร่างกายของคุณจะดีแค่ไหนก็ตาม
สิ่งที่คนในวัยทำงานทำได้ จึงเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดสำหรับการนอนป่วย และการจะทำแบบนั้นได้ ‘การคุยกับตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ’ และ ‘การพยายามเคลียปัญหาชีวิตที่ติดอยู่ในใจ’ ให้ได้มากที่สุด จึงกลายเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับช่วงวัยที่คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงการป่วยอย่างหนักได้
คิดภาพตอนที่คุณตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างแรง หมดแรง ร้อนๆ หนาวๆ ป่วยเมื่อยตามส่วนต่างๆ ในร่างกาย หายใจร้อน รูจมูกหายไปข้าง แถมพอจะยกมือถือขึ้นมาเล่น ตาของคุณก็ดันร้อนเป็นไฟ ดูสิครับ สภาพแบบนั้นถึงจะได้ลาป่วยหยุดอยู่บ้าน ก็คงไม่มีใครดีใจเป็นแน่
เพราะสิ่งเดียวที่คุณทำได้ในสภาพนั้นก็คือการนอนหลับตาไปเรื่อยๆ นอนจนเจ็บหลังหัว แต่พอจะลุกขึ้นมา อาการปวดหัวก็จะเข้าเล่นงานจนคุณตอนนอนกลับลงไปอีกครั้ง เกมที่ปกติต้องเข้าไปเล่นทุกวันกลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าสนใจ และไร้ความสำคัญ ดนตรี ภาพยนต์ กลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ จนคุณเลือกความเงียบเหนือเสียงรบกวนเหล่านั้น แถมอาการต่างๆ ที่พร้อมจะแวะมาทักทายก็จะทำให้คุณไม่ได้หลับลงอย่างสนิท สุดท้าย คุณก็ทำได้เพียงนอนหลับตาอยู่ท่ามกลางความเงียบงันอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ
จนกระทั่ง…สมอง หัวใจ และจิตวิญญาณของคุณเริ่มทักทายคุณว่า
‘ว่ายังไงครับคุณ Silver Gaze ดูเหมือนเราจะไม่ได้คุยกันนานเลยว่าไหมครับ ?’
วินาทีนั้นแหละครับ ที่ผมรู้ตัวว่าผม

กำลังซวยแบบสุดๆ
เพราะมันไม่มีทางให้เราหนีจากการพูดคุยกับตัวเองได้เลย แม้ว่าเราจะพยายามหลับตาลง ทำสมาธิ หรือสวดอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ วินาทีนั้นมีเพียงตัวเรา และคำถามมากมายที่ควรจะได้รับคำตอบมานานแสนนาน แต่เรากลับเลือกที่จะหลีกหนีมันมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็หมดหนทางให้เราหลบหนี
ซึ่งโดยส่วนตัวผมขอยืนยันอีกครั้งว่ามนุษย์ปกติคนหนึ่งควรจะผ่านประสบการณ์เหล่านี้ไปได้ หากเราใส่ใจกับคำถามเหล่านั้น และให้เวลาคุยกับตัวเองเป็นประจำ
แต่ถ้ามันไม่ทันแล้ว รู้สึกเหมือนจะเป็นหวัดใหญ่แล้วเมื่อกี้นี้ มาดูกันครับ ว่ามีอะไรบ้าง ที่ผมมีโอกาสได้เผชิญมา
คำถามเรื่องอนาคต ชีวิต และปัจจุบัน : คำถามประมาณนี้มักจะมาในรูปแบบของความไม่มั่นใจในอนาคต รวมไปถึงความไม่มั่นใจในปัจจุบัน ไม่แน่ใจว่าเราควรจะใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันหรืออนาคต เราควรจะเก็บออมหรือใช้ชีวิตให้คุ้มค่า เพราะถึงการเก็บออมเพื่ออนาคตจะดูเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่เราเรียนรู้มาจากอดีต ก็จะคอยย้ำเตือนให้เราเข้าใจว่าบางทีการรอไปใช้ชีวิตในอนาคตก็อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้องเท่าไหร่
- เกม MMORPG ที่ชอบตายหมดแล้ว ไม่มีเกมไหนที่ชอบตอนเด็กๆ เหลืออยู่แล้ว
- ไม่อินกับขนมโตเกียวเหมือนตอนเด็กๆ แล้ว แม้ตอนนี้จะซื้อมันมากินได้เป็น 10 เป็น 100 อันก็ตาม
- ไม่เคยมีพอ ทรัพยากรที่มี ไม่เพียงพอต่อสิ่งที่ทำให้มีความสุขในปัจจุบัน ไม่ต่างอะไรกับตอนเด็กๆ แล้วรู้ได้ยังไงว่าในอนาคต สิ่งที่ทำให้มีความสุขได้จะไม่ห่างไกลออกไปอีกเมื่อทุกครั้งที่ผ่านมา
- ไม่ไว้ผมตอนนี้ จะไปไว้ตอนผมร่วงเหรอ ? ทรงผมที่อยากทำตั้งแต่ตอนเด็กๆ สงสัยคงได้ซื้อวิกมาใส่ตอนแก่แล้วล่ะมั้ง
บอกตรงๆ ผมก็ไม่มีคำตอบให้คำถามเหล่านี้หรอกครับ แต่จากที่นอนนิ่งๆ โดนพวกมันเล่นงานมาเกือบ 2 วันเต็มๆ ผมพอจะให้คำจัดความมันได้ว่าพวกมันคือคำถามที่เกี่ยวกับการให้ Priority กับเรื่องต่างๆ ในชีวิต โดยที่เรามีทรัพยากรในมือคือ เงิน เวลา พละกำลัง ซึ่งการจะผ่านคำถามเหล่านี้ไป ก็คือการแบ่งสัดส่วนให้ดี ว่าเราจะทรัพยากรของเราไปเน้นในเรื่องไหน ในช่วงเวลาไหนในชีวิต ผมเลยมองว่าเรื่องแบบนี้ ถ้าคุณเป็นคนธรรมดาที่คุยกับตัวเองเป็นประจำ คุณจะไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับมันตอนป่วยหนักแต่อย่างใด
อีกหนึ่งทริคเกี่ยวกับคำถามเรื่อง Priority ที่ผมได้จากการนอนซมอยู่ 2 วัน ก็คือ การจัดกลุ่มให้กับเรื่องต่างๆ จะช่วยให้เราจัดการกับมันได้ง่ายขึ้น เพราะถ้าคุณไม่พยายามจัดกลุ่ม ในขณะที่คุณคิดเรื่องหนึ่งอยู่ อีกหนึ่งเรื่องก็จะพุ่งเข้ามาในหัวคุณ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องแบบ ‘ทำไมกูไม่ตั้งใจเล่นสเก็ตบอร์ดตอนเด็กๆ ว่ะ ทำไมกูไม่ทำแบบนั้นวะ ?’ ซึ่งมามองตอนนี้มันก็ไร้สาระแหละ แต่จังหวะนั้น

ผมนอนคิดไอเรื่องสเก็ตบอร์ดห่านี่เป็น 10 นาที จนแทบจะร้องไห้ที่ตัวเองไม่เล่นสเก็ตให้ดีตอนเด็กๆ แม้จะรู้ว่ามันไร้สาระก็ตาม
อีกหนึ่งรูปแบบที่คุณต้องเจอก็คือ
คำถามที่เกี่ยวกับความพยายามและเป้าหมาย : คำถามที่ทำให้ผมเข้าใจเลย ว่าช่วงชีวิตในวัยเรียนนั้นคือช่วงชีวิตที่ดีที่สุด เพราะอะไรน่ะเหรอ ? เพราะอย่างน้อยในวัยเรียน คุณก็รู้ว่าคุณต้องทำเท่าไหร่ ถึงจะพอ ในขณะที่ชีวิตในวัยทำงาน ชีวิตแบบผู้ใหญ่ที่กูตอนเด็กๆ อยากสัมผัสเหลือเกิน

ไม่รู้เลยว่าจุดหมายมันอยู่ตรงไหน
เพื่อให้ง่าย คิดภาพว่าชีวิตคือการกระโดดไกลก็แล้วกันครับ
ในวัยเรียน โลกจะมีเกณฑ์มาให้เราว่า A = 8 เมตร B = 7 เมตร C = 6 เมตร อะไรก็ว่าไป แล้วเราก็แค่ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อไปให้ถึงจุดที่เราตั้งใจ
กลับกัน ในวัยทำงาน

ไม่มีเชี้ยอะไรเลย สนามทรายโล่งๆ แบบ โล่งงงงงงงง ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดจบ
คุณทำได้แค่วิ่งให้เร็วที่สุด ออกแรงให้มากที่สุด กระโดดให้สูงที่สุด แล้วก็…แหมะ แล้วก็แค่นั้นแหละครับ ถ้าไม่ได้ที่ 1 ถ้าไม่สำเร็จ ก็แค่นั้นล่ะครับ ไม่มี A ไม่มี B ไม่มี C ไม่มีกรรมการ ไม่มีคนดู ไม่มีผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ไม่มีอะไรเลย มีแค่คุณที่จะนั่งแหมะอยู่ตรงนั้นไปเรื่อยๆ หรือจะเข้าใจว่าตัวเองไม่สำเร็จ จากนั้นก็ลุกขึ้นมา รวบรวมเรี่ยวแรงอีกครั้ง จากนั้นก็ ฟู่วววว…แหมะ วนไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็ยอมแพ้ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตกลงครั้งแรกกับครั้งที่สอง ครั้งไหนเราทำได้ดีกว่า ครั้งไหนใกล้เป้าหมายมากกว่ากัน
เงินทอง ตำแหน่ง ชีวิตความเป็นอยู่ ความรัก ชื่อเสียง ใดๆ ก็ตาม ล้วนอยู่ใต้เกณฑ์เดียวกันหมด
ซึ่งนั่นก็คือเกณฑ์ ฟู่ว…แหมะ
ซึ่งก็เป็นอีกครั้ง ที่ผมไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้แต่อย่างใด แต่ผมมีทริคให้เล็กน้อย เพราะผมเป็นคนที่ไม่ได้ชอบชีวิตในปัจจุบันของตนเองเท่าไหร่ ผมอยากรวย นอนกลิ้งไปมา แล้วก็มีแฟนเป็นสาวทอมบอย ผมสั้น น่ารัก คูลๆ แต่ก็มีด้านที่อ่อนโยน เพราะงั้นถึงผมจะไม่รู้หรอกว่า ฟู่ว…แหมะ ของผมมันจะนำผมไปสู่จุดไหน
แต่กูไม่หยุดอยู่ตรงนี้แน่ๆ
มันก็เลยค่อนข้างง่ายสำหรับผม ที่จะบอกกับตัวเองว่า แล้วทำอะไรได้นอกจากพยายามไปเรื่อยๆ คำถามนี้จึงเป็นคำถามที่ไม่ค่อยส่งผลกับผมเท่าไหร่ ถึงมันจะทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตวัยทำงานนี่มันช่างน่าเศร้าก็เถอะ
ถึงแบบนั้น คำถามรูปแบบสุดท้าย ก็ส่งผลกับผมพอสมควร
คำถามที่เกี่ยวกับการเปรียบเทียบ : การเอาชีวิตตนเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น คือเกมฆ่าเวลาของคนโง่ ผมเชื่อแบบนั้น แม้มันอาจจะเป็นความคิดที่หลายคนไม่เห็นด้วยกับผมก็ตาม แต่เชื่อเถอะครับว่าตอนที่เราป่วยหนัก แล้วต้องลากสังขารตัวเองออกไปซื้อยาที่ร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย แต่ดันเห็นคุณลุงพุงพลุ้ยคนหนึ่งยืนดูดบุหรี่ หรือไม่ก็เห็นเด็กแว้นออกมาแว้นรถแต่เช้า วินาทีนั้น ความคิดน้อยอกน้อยใจกับโชคชะตาของตนเองนั้นเป็นอะไรที่ห้ามได้ยากจริงๆ
การได้เห็นโลกยังมุมไปเหมือนเดิม ในขณะที่เราได้แต่นอนซึมเป็นซากศพ มันเป็นอะไรที่ทำให้เราตั้งคำถามขึ้นมาว่า ‘หรือทั้งหมดที่เราทำ มันยังไม่พอกันนะ ?’ เพราะถึงจะพยายามมองโลกในแง่ดี พยายามรักษาสุขภาพ กินเวย์กินวิตามิน กินนู่นกินนี่ ลดหวานมันเค็ม หรืออะไรก็ตาม คนที่นอนตายอยู่ตอนนี้ก็คือเรา ในขณะที่คุณลุงพุงพลุ้ยยืนสบายทำหน้าที่ปล่อยควันบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะต่อไป
สุดท้ายที่เรากระโดดออกไปสุดแรง
มันให้ผลต่างอะไรกับคุณลุงคนนั้นที่ข้ามจุดเริ่มต้นมาครึ่งขาบ้างไหมนะ
ที่แย่ก็คือ พอความพยายามเรื่องสุขภาพมันล้มไปแล้ว เรื่องอื่นๆ มันก็พากันล้มตามไปด้วยแบบโดมิโน่ ความไม่มั่นใจเริ่มทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ จนเราไม่มั่นใจเลยว่าเราควรจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปดีไหมนะ เราควรจะพยายามใช้ชีวิตต่อไป หรือหยุดแค่นี้ หยิบบุหรี่มาดูด กระดกเบียร์สักลัง ปล่อยให้ชีวิตล่มสลายไป เพราะยังไงจุดจบมันก็ไม่ต่างกัน
โอกาสของเราเมื่อไหร่จะมาถึง กลายเป็นคำถามที่เกิดข7hนซ้ำๆ อยู่ในหัว ทำไมความพยายามถึงถูกตอบแทนด้วยความผิดหวัง ทำไมคนที่ไม่พยายามกับอะไรเลย ถึงสามารถใช้ชีวิตแบบไม่สนอะไรเลยได้ ในขณะที่เราที่แค่ต้องการมีชีวิตอย่างเรียบง่าย ถึงต้องมีเงื่อนไขมากมายเหลือเกินในการใช้ชีวิต เราจะสลัดความคิดแย่ๆ พวกนี้ออกไปได้ยังไง ทำไมเราถึงไม่หยุดคิดเรื่องพวกนี้สักที จะมาเสียเวลาคิดเรื่องพวกนี้ทำไม ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าคำตอบนั้นมันไม่มีอยู่จริง
ไม่รู้ครับ
รู้แต่ว่าถ้าหยุดอยู่ตรงนี้ สาวทอมบอย ผมสั้น น่ารัก คูลๆ แต่ก็มีมุมที่อ่อนโยนต้องมองว่าเป็นคนไม่น่าสนใจแน่
ก็เลยช่าง

ใครจะใช้ชีวิตยังไงก็ช่าง

ใครจะทำอะไรก็ช่าง

ถ้ารู้สึกว่าชีวิตก้าวไปข้างหน้าไม่เร็วเท่ากับที่ใจต้องการ ก็แค่ต้องวิ่งไปข้างหน้าให้เร็วขึ้น วิ่ง

ให้แตกสลายไปทั้งๆ แบบนี้แหละ วิ่งให้

มั่นใจว่าตอนตายขึ้นไปเจอพระเจ้าบนสวรรค์ มั่นใจว่าสามารถกระชากเสื้อพระเจ้ามาตะโกนถามว่า ‘เป็นเชี้ยอะไรกับกูหนักหนา’ ได้แบบไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะมันไม่มีทางอื่นแล้ว ในเมื่อชีวิตวัยทำงานมันมีกฏเกณฑ์แบบนี้ มันก็ทำได้แค่นี้หรือไม่ก็ยอมแพ้
แต่ แต่ แต่ ไอที่ว่าวิ่งให้

แตกสลายไปทั้งๆ แบบนี้ มันก็แล้วแต่คนนะครับ เพราะบางคนอาจจะมองภาพตัวเองตอนแก่ ตอนไปเที่ยวรอบโลก ตอนไปทำไร่สวนเล็กๆ กับลูกหลานออก แต่ผม

Zero เลยวะ ชีวิตและสภาพสังคมปัจจุบันไม่ได้ส่งเสริมให้เกิดจินตนาการถึงสภาพตัวเองในวัยชราแต่อย่างใด คือให้อยู่ก็อยู่ได้แหละ แต่เรากลับไม่ได้มองว่ามันคือส่วนสำคัญในชีวิตที่ขาดไม่ได้แต่อย่างใด
สรุปคือ การคุยกับตัวเองบ่อยๆ ตอนมีเวลานั้นเป็นเรื่องที่ผมแนะนำให้ทุกท่านทำอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากมันช่วยลดโอกาสการเกิดอาการสติแตกอย่างที่ผมเป็นเผชิญมาได้มาก ซึ่งถ้าใครคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ ก็อย่าลืมส่งกระแสจิตไปบอกพรเจ้าให้ส่งสาวทอมบอย ผมสั้น น่ารัก คูลๆ แต่ก็มีมุมที่อ่อนโยนมาเป็นคู่ชีวิตผมสักที
หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก
Silver Gaze
สิ่งที่ควรทำ ก่อนการป่วยหนักในวัยทำงาน
พอดีผมพึ่งหายป่วยจากอาการไข้หวัดใหญ่ครั้งแรกในช่วงวัยทำงานมาครับ ผมจึงอยากเอาประสบการณ์ที่ได้รับมาแชร์ให้กับทุกท่านที่พึ่งเข้าสู่ช่วงวัยทำงาน ทุกท่านจะได้เตรียมตัวเผชิญกับอาการป่วยหนักได้อย่างไม่ต้องเจ็บปวดมากเท่าผม เพราะเชื่อเถอะครับ ว่าก่อนที่ผมจะป่วยครั้งนี้ ผมก็เป็นหนึ่งคนที่เดินตากฝนกลับบ้าน ลุยน้ำไปหาบุฟเฟ่ต์กิน แล้วก็นั่งกินบุฟเฟ่ต์เป็นชั่วโมงๆ ในสภาพที่เปียกปอน แต่หลังจากที่ป่วยหนักรอบนี้ไป ผมก็ถึงกับต้องทบทวนวิถีชีวิตตัวเองเป็นเร่งด่วน ซึ่งผมมองว่าทุกท่านไม่จำเป็นต้องผ่านประสบการณ์ด้วยตนเองนี้เพื่อเรียนรู้มันหรอก
ถ้าทุกท่านพร้อมแล้ว เรามากันที่คำถามแรกกันเลยดีครับ
กับคำถามที่ว่า….อะไรคือสิ่งที่ควรทำ…ก่อนการป่วยหนักในวัยทำงาน
1. หาหมอเพื่อรับคำปรึกษา
2. ซื้อยามาทานดักก่อนเป็นไข้
3. กินวิตามิน C เพื่อ…เพื่ออะไรก็ไม่รู้ แต่เขาเชื่อกันว่ามันช่วงให้ดีขึ้นตอนเป็นหวัดอะน่ะ
4. ดูแลตัวเอง นอนเร็วขึ้น
5.กินให้เยอะๆ ร่างกายจะได้เอาพลังงานไปสู้กับโรคได้
คำตอบของคำถามนี้บอกตรงๆ เลยครับว่า แล้วแต่สะดวก เอาที่สบายใจ เอาที่แต่ละท่านเชื่อว่ามันจะช่วยท่านได้ เพราะสุดท้ายแล้ว มันก็จะช่วยท่านได้นิดนึง - ไม่ช่วยเลย เมื่อสิ่งที่เข้าไปสู่ร่างกายของท่านคือเชื้อที่รุนแรงพอ จำนวนมากพอ ในขณะที่ร่างกายของท่านเข้าสู่ช่วงวัยทำงาน
เพราะช่วงวัยทำงานคือช่วงที่ประหลาดนะครับ เพราะถึงคุณจะรู้ว่าตัวเองเป็นหวัด คุณก็จะพาตัวเองไปที่ทำงานเพื่อกระจายเชื้อโรคให้เพื่อนร่วมงานและคนในระบบขนส่งสาธารณะอยู่ดี
การจะกินยา แล้วนอนหลับหนึ่งตื่นเพื่อ Reset ทุกอย่างจึงเป็นไปได้ยากครับ แม้ร่างกายของคุณจะดีแค่ไหนก็ตาม
สิ่งที่คนในวัยทำงานทำได้ จึงเป็นการเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดสำหรับการนอนป่วย และการจะทำแบบนั้นได้ ‘การคุยกับตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ’ และ ‘การพยายามเคลียปัญหาชีวิตที่ติดอยู่ในใจ’ ให้ได้มากที่สุด จึงกลายเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับช่วงวัยที่คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงการป่วยอย่างหนักได้
คิดภาพตอนที่คุณตื่นมาพร้อมกับอาการปวดหัวอย่างแรง หมดแรง ร้อนๆ หนาวๆ ป่วยเมื่อยตามส่วนต่างๆ ในร่างกาย หายใจร้อน รูจมูกหายไปข้าง แถมพอจะยกมือถือขึ้นมาเล่น ตาของคุณก็ดันร้อนเป็นไฟ ดูสิครับ สภาพแบบนั้นถึงจะได้ลาป่วยหยุดอยู่บ้าน ก็คงไม่มีใครดีใจเป็นแน่
เพราะสิ่งเดียวที่คุณทำได้ในสภาพนั้นก็คือการนอนหลับตาไปเรื่อยๆ นอนจนเจ็บหลังหัว แต่พอจะลุกขึ้นมา อาการปวดหัวก็จะเข้าเล่นงานจนคุณตอนนอนกลับลงไปอีกครั้ง เกมที่ปกติต้องเข้าไปเล่นทุกวันกลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าสนใจ และไร้ความสำคัญ ดนตรี ภาพยนต์ กลายเป็นสิ่งที่น่ารำคาญ จนคุณเลือกความเงียบเหนือเสียงรบกวนเหล่านั้น แถมอาการต่างๆ ที่พร้อมจะแวะมาทักทายก็จะทำให้คุณไม่ได้หลับลงอย่างสนิท สุดท้าย คุณก็ทำได้เพียงนอนหลับตาอยู่ท่ามกลางความเงียบงันอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ
จนกระทั่ง…สมอง หัวใจ และจิตวิญญาณของคุณเริ่มทักทายคุณว่า
‘ว่ายังไงครับคุณ Silver Gaze ดูเหมือนเราจะไม่ได้คุยกันนานเลยว่าไหมครับ ?’
วินาทีนั้นแหละครับ ที่ผมรู้ตัวว่าผม
เพราะมันไม่มีทางให้เราหนีจากการพูดคุยกับตัวเองได้เลย แม้ว่าเราจะพยายามหลับตาลง ทำสมาธิ หรือสวดอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ วินาทีนั้นมีเพียงตัวเรา และคำถามมากมายที่ควรจะได้รับคำตอบมานานแสนนาน แต่เรากลับเลือกที่จะหลีกหนีมันมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็หมดหนทางให้เราหลบหนี
ซึ่งโดยส่วนตัวผมขอยืนยันอีกครั้งว่ามนุษย์ปกติคนหนึ่งควรจะผ่านประสบการณ์เหล่านี้ไปได้ หากเราใส่ใจกับคำถามเหล่านั้น และให้เวลาคุยกับตัวเองเป็นประจำ
แต่ถ้ามันไม่ทันแล้ว รู้สึกเหมือนจะเป็นหวัดใหญ่แล้วเมื่อกี้นี้ มาดูกันครับ ว่ามีอะไรบ้าง ที่ผมมีโอกาสได้เผชิญมา
คำถามเรื่องอนาคต ชีวิต และปัจจุบัน : คำถามประมาณนี้มักจะมาในรูปแบบของความไม่มั่นใจในอนาคต รวมไปถึงความไม่มั่นใจในปัจจุบัน ไม่แน่ใจว่าเราควรจะใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันหรืออนาคต เราควรจะเก็บออมหรือใช้ชีวิตให้คุ้มค่า เพราะถึงการเก็บออมเพื่ออนาคตจะดูเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง แต่สิ่งที่เราเรียนรู้มาจากอดีต ก็จะคอยย้ำเตือนให้เราเข้าใจว่าบางทีการรอไปใช้ชีวิตในอนาคตก็อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้องเท่าไหร่
- เกม MMORPG ที่ชอบตายหมดแล้ว ไม่มีเกมไหนที่ชอบตอนเด็กๆ เหลืออยู่แล้ว
- ไม่อินกับขนมโตเกียวเหมือนตอนเด็กๆ แล้ว แม้ตอนนี้จะซื้อมันมากินได้เป็น 10 เป็น 100 อันก็ตาม
- ไม่เคยมีพอ ทรัพยากรที่มี ไม่เพียงพอต่อสิ่งที่ทำให้มีความสุขในปัจจุบัน ไม่ต่างอะไรกับตอนเด็กๆ แล้วรู้ได้ยังไงว่าในอนาคต สิ่งที่ทำให้มีความสุขได้จะไม่ห่างไกลออกไปอีกเมื่อทุกครั้งที่ผ่านมา
- ไม่ไว้ผมตอนนี้ จะไปไว้ตอนผมร่วงเหรอ ? ทรงผมที่อยากทำตั้งแต่ตอนเด็กๆ สงสัยคงได้ซื้อวิกมาใส่ตอนแก่แล้วล่ะมั้ง
บอกตรงๆ ผมก็ไม่มีคำตอบให้คำถามเหล่านี้หรอกครับ แต่จากที่นอนนิ่งๆ โดนพวกมันเล่นงานมาเกือบ 2 วันเต็มๆ ผมพอจะให้คำจัดความมันได้ว่าพวกมันคือคำถามที่เกี่ยวกับการให้ Priority กับเรื่องต่างๆ ในชีวิต โดยที่เรามีทรัพยากรในมือคือ เงิน เวลา พละกำลัง ซึ่งการจะผ่านคำถามเหล่านี้ไป ก็คือการแบ่งสัดส่วนให้ดี ว่าเราจะทรัพยากรของเราไปเน้นในเรื่องไหน ในช่วงเวลาไหนในชีวิต ผมเลยมองว่าเรื่องแบบนี้ ถ้าคุณเป็นคนธรรมดาที่คุยกับตัวเองเป็นประจำ คุณจะไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับมันตอนป่วยหนักแต่อย่างใด
อีกหนึ่งทริคเกี่ยวกับคำถามเรื่อง Priority ที่ผมได้จากการนอนซมอยู่ 2 วัน ก็คือ การจัดกลุ่มให้กับเรื่องต่างๆ จะช่วยให้เราจัดการกับมันได้ง่ายขึ้น เพราะถ้าคุณไม่พยายามจัดกลุ่ม ในขณะที่คุณคิดเรื่องหนึ่งอยู่ อีกหนึ่งเรื่องก็จะพุ่งเข้ามาในหัวคุณ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องแบบ ‘ทำไมกูไม่ตั้งใจเล่นสเก็ตบอร์ดตอนเด็กๆ ว่ะ ทำไมกูไม่ทำแบบนั้นวะ ?’ ซึ่งมามองตอนนี้มันก็ไร้สาระแหละ แต่จังหวะนั้น
อีกหนึ่งรูปแบบที่คุณต้องเจอก็คือ
คำถามที่เกี่ยวกับความพยายามและเป้าหมาย : คำถามที่ทำให้ผมเข้าใจเลย ว่าช่วงชีวิตในวัยเรียนนั้นคือช่วงชีวิตที่ดีที่สุด เพราะอะไรน่ะเหรอ ? เพราะอย่างน้อยในวัยเรียน คุณก็รู้ว่าคุณต้องทำเท่าไหร่ ถึงจะพอ ในขณะที่ชีวิตในวัยทำงาน ชีวิตแบบผู้ใหญ่ที่กูตอนเด็กๆ อยากสัมผัสเหลือเกิน
เพื่อให้ง่าย คิดภาพว่าชีวิตคือการกระโดดไกลก็แล้วกันครับ
ในวัยเรียน โลกจะมีเกณฑ์มาให้เราว่า A = 8 เมตร B = 7 เมตร C = 6 เมตร อะไรก็ว่าไป แล้วเราก็แค่ต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อไปให้ถึงจุดที่เราตั้งใจ
กลับกัน ในวัยทำงาน
คุณทำได้แค่วิ่งให้เร็วที่สุด ออกแรงให้มากที่สุด กระโดดให้สูงที่สุด แล้วก็…แหมะ แล้วก็แค่นั้นแหละครับ ถ้าไม่ได้ที่ 1 ถ้าไม่สำเร็จ ก็แค่นั้นล่ะครับ ไม่มี A ไม่มี B ไม่มี C ไม่มีกรรมการ ไม่มีคนดู ไม่มีผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ไม่มีอะไรเลย มีแค่คุณที่จะนั่งแหมะอยู่ตรงนั้นไปเรื่อยๆ หรือจะเข้าใจว่าตัวเองไม่สำเร็จ จากนั้นก็ลุกขึ้นมา รวบรวมเรี่ยวแรงอีกครั้ง จากนั้นก็ ฟู่วววว…แหมะ วนไปเรื่อยๆ หรือไม่ก็ยอมแพ้ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตกลงครั้งแรกกับครั้งที่สอง ครั้งไหนเราทำได้ดีกว่า ครั้งไหนใกล้เป้าหมายมากกว่ากัน
เงินทอง ตำแหน่ง ชีวิตความเป็นอยู่ ความรัก ชื่อเสียง ใดๆ ก็ตาม ล้วนอยู่ใต้เกณฑ์เดียวกันหมด
ซึ่งนั่นก็คือเกณฑ์ ฟู่ว…แหมะ
ซึ่งก็เป็นอีกครั้ง ที่ผมไม่มีคำตอบให้กับคำถามนี้แต่อย่างใด แต่ผมมีทริคให้เล็กน้อย เพราะผมเป็นคนที่ไม่ได้ชอบชีวิตในปัจจุบันของตนเองเท่าไหร่ ผมอยากรวย นอนกลิ้งไปมา แล้วก็มีแฟนเป็นสาวทอมบอย ผมสั้น น่ารัก คูลๆ แต่ก็มีด้านที่อ่อนโยน เพราะงั้นถึงผมจะไม่รู้หรอกว่า ฟู่ว…แหมะ ของผมมันจะนำผมไปสู่จุดไหน
แต่กูไม่หยุดอยู่ตรงนี้แน่ๆ
มันก็เลยค่อนข้างง่ายสำหรับผม ที่จะบอกกับตัวเองว่า แล้วทำอะไรได้นอกจากพยายามไปเรื่อยๆ คำถามนี้จึงเป็นคำถามที่ไม่ค่อยส่งผลกับผมเท่าไหร่ ถึงมันจะทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตวัยทำงานนี่มันช่างน่าเศร้าก็เถอะ
ถึงแบบนั้น คำถามรูปแบบสุดท้าย ก็ส่งผลกับผมพอสมควร
คำถามที่เกี่ยวกับการเปรียบเทียบ : การเอาชีวิตตนเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น คือเกมฆ่าเวลาของคนโง่ ผมเชื่อแบบนั้น แม้มันอาจจะเป็นความคิดที่หลายคนไม่เห็นด้วยกับผมก็ตาม แต่เชื่อเถอะครับว่าตอนที่เราป่วยหนัก แล้วต้องลากสังขารตัวเองออกไปซื้อยาที่ร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย แต่ดันเห็นคุณลุงพุงพลุ้ยคนหนึ่งยืนดูดบุหรี่ หรือไม่ก็เห็นเด็กแว้นออกมาแว้นรถแต่เช้า วินาทีนั้น ความคิดน้อยอกน้อยใจกับโชคชะตาของตนเองนั้นเป็นอะไรที่ห้ามได้ยากจริงๆ
การได้เห็นโลกยังมุมไปเหมือนเดิม ในขณะที่เราได้แต่นอนซึมเป็นซากศพ มันเป็นอะไรที่ทำให้เราตั้งคำถามขึ้นมาว่า ‘หรือทั้งหมดที่เราทำ มันยังไม่พอกันนะ ?’ เพราะถึงจะพยายามมองโลกในแง่ดี พยายามรักษาสุขภาพ กินเวย์กินวิตามิน กินนู่นกินนี่ ลดหวานมันเค็ม หรืออะไรก็ตาม คนที่นอนตายอยู่ตอนนี้ก็คือเรา ในขณะที่คุณลุงพุงพลุ้ยยืนสบายทำหน้าที่ปล่อยควันบุหรี่ในพื้นที่สาธารณะต่อไป
สุดท้ายที่เรากระโดดออกไปสุดแรง
มันให้ผลต่างอะไรกับคุณลุงคนนั้นที่ข้ามจุดเริ่มต้นมาครึ่งขาบ้างไหมนะ
ที่แย่ก็คือ พอความพยายามเรื่องสุขภาพมันล้มไปแล้ว เรื่องอื่นๆ มันก็พากันล้มตามไปด้วยแบบโดมิโน่ ความไม่มั่นใจเริ่มทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ จนเราไม่มั่นใจเลยว่าเราควรจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปดีไหมนะ เราควรจะพยายามใช้ชีวิตต่อไป หรือหยุดแค่นี้ หยิบบุหรี่มาดูด กระดกเบียร์สักลัง ปล่อยให้ชีวิตล่มสลายไป เพราะยังไงจุดจบมันก็ไม่ต่างกัน
โอกาสของเราเมื่อไหร่จะมาถึง กลายเป็นคำถามที่เกิดข7hนซ้ำๆ อยู่ในหัว ทำไมความพยายามถึงถูกตอบแทนด้วยความผิดหวัง ทำไมคนที่ไม่พยายามกับอะไรเลย ถึงสามารถใช้ชีวิตแบบไม่สนอะไรเลยได้ ในขณะที่เราที่แค่ต้องการมีชีวิตอย่างเรียบง่าย ถึงต้องมีเงื่อนไขมากมายเหลือเกินในการใช้ชีวิต เราจะสลัดความคิดแย่ๆ พวกนี้ออกไปได้ยังไง ทำไมเราถึงไม่หยุดคิดเรื่องพวกนี้สักที จะมาเสียเวลาคิดเรื่องพวกนี้ทำไม ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าคำตอบนั้นมันไม่มีอยู่จริง
ไม่รู้ครับ
รู้แต่ว่าถ้าหยุดอยู่ตรงนี้ สาวทอมบอย ผมสั้น น่ารัก คูลๆ แต่ก็มีมุมที่อ่อนโยนต้องมองว่าเป็นคนไม่น่าสนใจแน่
ก็เลยช่าง
แต่ แต่ แต่ ไอที่ว่าวิ่งให้
สรุปคือ การคุยกับตัวเองบ่อยๆ ตอนมีเวลานั้นเป็นเรื่องที่ผมแนะนำให้ทุกท่านทำอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากมันช่วยลดโอกาสการเกิดอาการสติแตกอย่างที่ผมเป็นเผชิญมาได้มาก ซึ่งถ้าใครคิดว่าบทความนี้มีประโยชน์ ก็อย่าลืมส่งกระแสจิตไปบอกพรเจ้าให้ส่งสาวทอมบอย ผมสั้น น่ารัก คูลๆ แต่ก็มีมุมที่อ่อนโยนมาเป็นคู่ชีวิตผมสักที
หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก
Silver Gaze