🌐โดยส่วนใหญ่แล้ว กว่า 99% ของการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศและทวีปต่างๆ จะเดินทางผ่าน "สายเคเบิลใต้น้ำ"
🤳
#สายสัญญาณอินเทอร์เน็ตใต้น้ำ
(Submarine Communications Cables) เป็น โครงข่ายหลักและกระดูกสันหลัง ของการสื่อสารและอินเทอร์เน็ตทั่วโลกในปัจจุบันเลย
โดยส่วนใหญ่แล้ว กว่า 99% ของการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศและทวีปต่างๆ จะเดินทางผ่านสายเคเบิลใต้น้ำเหล่านี้ ไม่ใช่ผ่านดาวเทียมอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด
▪️สายสัญญาณใต้น้ำใช้เทคโนโลยี ใยแก้วนำแสง (Fiber-Optic)
▪️ข้อมูลจะถูกส่งในรูปของ แสงเลเซอร์ ที่เดินทางอย่างรวดเร็วผ่านเส้นใยแก้วที่บางเท่าเส้นผม ซึ่งอยู่ภายในสายเคเบิล
▪️ให้ความเร็วในการส่งข้อมูลที่สูงมากและมีสัญญาณรบกวนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับดาวเทียม (มีความหน่วง/Latency ต่ำกว่า)
▪️เนื่องจากระยะทางที่ยาวมาก จึงมีการติดตั้งเครื่องทวนสัญญาณหรือเครื่องขยายสัญญาณ (Amplifiers) เป็นระยะๆ ตลอดแนวสายเคเบิลเพื่อช่วยเสริมความแรงของสัญญาณแสง
แม้จะเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่ตัวสายเคเบิลหลักที่บรรจุใยแก้วนำแสงมีขนาดไม่ใหญ่มาก (ประมาณเท่าสายยางรดน้ำ) แต่จะถูกหุ้มด้วยชั้นป้องกันหลายชั้นเพื่อให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรงใต้ทะเล ได้แก่
▪️ใยแก้วนำแสง แกนกลางที่ใช้ส่งข้อมูล
▪️ท่อป้องกัน หุ้มด้วยทองแดงหรืออะลูมิเนียม
▪️สารหุ้มฉนวน เช่น พลาสติก หรือวัสดุป้องกันน้ำ
▪️ลวดเหล็กเสริมความแข็งแรง (Armored Wires) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งหรือในบริเวณน้ำตื้นเพื่อป้องกันความเสียหายจากการทอดสมอเรือ อวนลาก หรือกิจกรรมของมนุษย์อื่นๆ ส่วนในน้ำลึกตัวสายอาจบางลงแต่ยังคงมีความทนทานสูง
สายเคเบิลเหล่านี้เป็นเส้นทางสำคัญสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ การค้า และบริการคลาวด์ มีมูลค่าธุรกรรมทางการเงินมหาศาลไหลผ่านในแต่ละวัน
เชื่อมโยงทวีปและประเทศต่างๆ เข้าด้วยกัน ทำให้การสื่อสาร โทรคมนาคม และอินเทอร์เน็ตสามารถใช้งานได้ทั่วโลกอย่างราบรื่น
โดยปกติแล้ว เจ้าของและผู้ดูแลสายเคเบิลใต้น้ำมักจะเป็น บริษัทโทรคมนาคม (Telecom Carriers) หรือ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (เช่น Google, Meta) ที่ร่วมลงทุนกันในการวางและดูแลรักษา
สายเคเบิลอาจได้รับความเสียหายได้จากหลายสาเหตุ เช่น
▪️กิจกรรมทางทะเล
การทอดสมอเรือ การลากอวนของเรือประมง (เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด)
▪️ภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว หรือ สึนามิ
▪️สัตว์ทะเล ในอดีตเคยมีรายงานว่าฉลามกัดสายเคเบิลบ้าง
แต่ปัจจุบันสายเคเบิลได้รับการป้องกันที่ดีขึ้นมาก
เมื่อสายเคเบิลขาด การซ่อมแซมจะทำโดยการส่งเรือซ่อมพิเศษไปกู้สายเคเบิลขึ้นมาบนเรือเพื่อทำการเชื่อมต่อและซ่อมแซม ซึ่งอาจใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ แต่ระบบอินเทอร์เน็ตจะยังคงใช้งานได้เนื่องจากมีการวางสายเคเบิลสำรอง (Redundancy) ไว้หลายเส้นทางเพื่อป้องกันการล่มทั้งระบบ
The Earth
แหล่งที่มา : The Earth
https://www.facebook.com/share/p/1BTY6zWuLC/
โดยส่วนใหญ่แล้วกว่า99% ของการรับส่งข้อมูลอินเตอร์เน็ตระหว่างประเทศและทวีปต่าง ๆ จะเดินทาง " ผ่านสายเคเบิลใต้น้ำ "
🌐โดยส่วนใหญ่แล้ว กว่า 99% ของการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศและทวีปต่างๆ จะเดินทางผ่าน "สายเคเบิลใต้น้ำ"
🤳
#สายสัญญาณอินเทอร์เน็ตใต้น้ำ
(Submarine Communications Cables) เป็น โครงข่ายหลักและกระดูกสันหลัง ของการสื่อสารและอินเทอร์เน็ตทั่วโลกในปัจจุบันเลย
โดยส่วนใหญ่แล้ว กว่า 99% ของการรับส่งข้อมูลอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศและทวีปต่างๆ จะเดินทางผ่านสายเคเบิลใต้น้ำเหล่านี้ ไม่ใช่ผ่านดาวเทียมอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด
▪️สายสัญญาณใต้น้ำใช้เทคโนโลยี ใยแก้วนำแสง (Fiber-Optic)
▪️ข้อมูลจะถูกส่งในรูปของ แสงเลเซอร์ ที่เดินทางอย่างรวดเร็วผ่านเส้นใยแก้วที่บางเท่าเส้นผม ซึ่งอยู่ภายในสายเคเบิล
▪️ให้ความเร็วในการส่งข้อมูลที่สูงมากและมีสัญญาณรบกวนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับดาวเทียม (มีความหน่วง/Latency ต่ำกว่า)
▪️เนื่องจากระยะทางที่ยาวมาก จึงมีการติดตั้งเครื่องทวนสัญญาณหรือเครื่องขยายสัญญาณ (Amplifiers) เป็นระยะๆ ตลอดแนวสายเคเบิลเพื่อช่วยเสริมความแรงของสัญญาณแสง
แม้จะเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อน แต่ตัวสายเคเบิลหลักที่บรรจุใยแก้วนำแสงมีขนาดไม่ใหญ่มาก (ประมาณเท่าสายยางรดน้ำ) แต่จะถูกหุ้มด้วยชั้นป้องกันหลายชั้นเพื่อให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรงใต้ทะเล ได้แก่
▪️ใยแก้วนำแสง แกนกลางที่ใช้ส่งข้อมูล
▪️ท่อป้องกัน หุ้มด้วยทองแดงหรืออะลูมิเนียม
▪️สารหุ้มฉนวน เช่น พลาสติก หรือวัสดุป้องกันน้ำ
▪️ลวดเหล็กเสริมความแข็งแรง (Armored Wires) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่อยู่ใกล้ชายฝั่งหรือในบริเวณน้ำตื้นเพื่อป้องกันความเสียหายจากการทอดสมอเรือ อวนลาก หรือกิจกรรมของมนุษย์อื่นๆ ส่วนในน้ำลึกตัวสายอาจบางลงแต่ยังคงมีความทนทานสูง
สายเคเบิลเหล่านี้เป็นเส้นทางสำคัญสำหรับการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ การค้า และบริการคลาวด์ มีมูลค่าธุรกรรมทางการเงินมหาศาลไหลผ่านในแต่ละวัน
เชื่อมโยงทวีปและประเทศต่างๆ เข้าด้วยกัน ทำให้การสื่อสาร โทรคมนาคม และอินเทอร์เน็ตสามารถใช้งานได้ทั่วโลกอย่างราบรื่น
โดยปกติแล้ว เจ้าของและผู้ดูแลสายเคเบิลใต้น้ำมักจะเป็น บริษัทโทรคมนาคม (Telecom Carriers) หรือ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (เช่น Google, Meta) ที่ร่วมลงทุนกันในการวางและดูแลรักษา
สายเคเบิลอาจได้รับความเสียหายได้จากหลายสาเหตุ เช่น
▪️กิจกรรมทางทะเล
การทอดสมอเรือ การลากอวนของเรือประมง (เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด)
▪️ภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหว หรือ สึนามิ
▪️สัตว์ทะเล ในอดีตเคยมีรายงานว่าฉลามกัดสายเคเบิลบ้าง
แต่ปัจจุบันสายเคเบิลได้รับการป้องกันที่ดีขึ้นมาก
เมื่อสายเคเบิลขาด การซ่อมแซมจะทำโดยการส่งเรือซ่อมพิเศษไปกู้สายเคเบิลขึ้นมาบนเรือเพื่อทำการเชื่อมต่อและซ่อมแซม ซึ่งอาจใช้เวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ แต่ระบบอินเทอร์เน็ตจะยังคงใช้งานได้เนื่องจากมีการวางสายเคเบิลสำรอง (Redundancy) ไว้หลายเส้นทางเพื่อป้องกันการล่มทั้งระบบ
The Earth
แหล่งที่มา : The Earth
https://www.facebook.com/share/p/1BTY6zWuLC/