ความหมายโอม มณี ปัทเม ฮุง
คำว่า "โอม" (唵) (ཨོཾ) (Om)เป็นนิมิตหมายสื่อถึง มหาจักรวาล ธรรม ตถาตา เต๋า พระเจ้า พระโพธิสัตว์ อัลลอฮฺ สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ชื่อว่า โอม
ยกตัวอย่างเช่น เซลล์ ก้อนหิน ต้นไม้ คน ผี เทวดา เป็นต้น
ถ้าทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า ตถาตา เป็นเช่นนั้นเอง หรือ พระยูไล (如來)
ถ้าทางจีนลัทธิเต๋า คือ เต๋า (道)
พราหมณ์-ฮินดู คือ พรหมัน ปรมาตมัน
ศาสนาคริสต์ คือ พระเจ้า
ศาสนาอิสลาม คือ อัลลอฮฺ
ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ ให้รวมอยู่คำเดียว คือ โอม แล้วเราน้อมนำองค์ธรรมเหล่านี้ มาเป็นปัญญา เข้าสู่ปัญญาแห่งธรรม
คำว่า "มณี" (嘛呢) (མཎི) (maṇi)
คือ ลูกแก้ว เป็นนิมิตหมายสื่อถึง ปัญญา และปัญญาที่เหนือปัญญา คือ รู้จักนำปัญญามาใช้ให้เกิดอานิสงส์ เกิดประโยชน์ทั้งตนเอง และผู้อื่น เป็นลูกแก้วที่ส่องแสงสว่าง สามารถมองเห็นสิ่งการณ์ต่างๆ ได้
ถ้าเรามี "อวิชชา" คือ ความไม่รู้ มืดมน มองไม่เห็นทาง เป็นมิจฉา เป็นความชั่ว เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้องในธรรม เราก็ไม่สามารถจะมองเห็นสิ่งการณ์ต่างๆ ได้ ไม่สามารถดำเนินชีวิตที่ถูกต้องได้ หลงทางชีวิตไปสู่อบาย เข้าสู่หุบเหวแห่งนรก จมปลักอยู่กับปัญหา อุปสรรคนั้นๆ จอดนิ่งอยู่กับที่
ฉะนั้ัน เราจะต้องมีลูกแก้ว คือ ปัญญา มีวิชชา แล้วรู้จักนำปัญญานั้นมาใช้ให้เกิดอานิสงส์ ก่อเกิดประโยชน์ มีผลิตผล ผลิตภัณฑ์ มีผลงาน เป็นที่ประจักษ์ เป็นรูปธรรม
คำว่า "ปัทเม" (叭咪) (པདྨེ) (padme)
คือ บัว บัวที่เบ่งบาน บัวที่โผล่จากโคลนตม ผ่านพ้นเหนือน้ำ แตกช่อ ออกดอก ออกผล เบ่งบานชูช่อ เป็นนิมิตหมายสื่อถึง เปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี
ซึ่งกว่าบัวจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ บัวจะต้องพบกับปัญหา อุปสรรคนานัปการ แต่บัวสามารถรักษาตัว เอาตัวรอดมาได้
โดยเฉพาะในฤดูหนาว บัวจะหยุดพักการเจริญเติบโตและสลัดใบทิ้ง บัวจะต้องดูแลตนเองเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เหง้าบัวที่ฝังอยู่ใต้ดินเน่า ช่วงนี้บัวจะต้องมีความอดทน มีปัญญาที่จะรักษาเหง้าบัว หน่อบัว ใหลบัวไม่ให้เน่าตาย
พอถึงช่วงปลายฤดูร้อน ต้นฤดูฝน บัวก็จะเริ่มพัฒนาตนเอง มีกิ่งก้านใบ สาขา แผ่ขยาย จนออกดอกออกผล กลายเป็นบัวตูมบัวบาน
บัวที่เบ่งบานชูช่อ รับตะวัน สีสัน สดใส สวยสด งดงาม
คนเราก็เช่นเดียวกัน จะต้องผ่านประสบการณ์ มีทักษะ ผ่านการศึกษาเรียนรู้ สุ.จิ.ปุ.ลิ. ฟัง-คิด-ถาม-เขียน
ตั้งอกตั้งใจ ตั้งไว้ให้ดี ตั้งแต่บัดนี้ ขอจงตั้งใจ
ตั้งตัวตั้งต้น ตั้งตนตั้งมั่น ฝึกฝนฝ่าฝัน ฝ่าฟันฝันใฝ่
อบรมบ่มเพาะ เจาะจิตเจาะใจ ส่งเสริมสอดไส้ สวมใส่ศีลธรรม
รักเรียนใฝ่รู้ เชิดชูฝึกตน อดทน มานะ เสียสละ มีคุณธรรม
อบรมบ่มเพราะ ชี้แนะ สั่งสอน จูง-นำ-พา-เอื้อ-เกื้อ-กัน-ส่ง-ให้ขึ้นภูมิ ถึงจะมีปัญญา รู้จักใช้ชีวิต ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ อยู่ให้รอด อยู่ให้ได้ อยู่ให้เป็น อยู่ให้ดี นำชีวิตไปสู่สันติสุข
การฝึกฝนเรียนรู้ เราจะต้องฝึกฝน ๓ ด้านได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา
๑. ศึกษาด้านศีล คือ ข้อบัญญัติ ชี้แนะ แนะนำ หรือคำสั่งสอนที่จะให้พึงดูแลความคิด ความประพฤติ ให้ถูกต้องตามครรลองครองธรรม เพื่อให้ชีวิตอยู่รอดได้ด้วยดี
๒. ศึกษาด้านสมาธิ คือ มองความคิดตัวเองและผู้อื่น จงเข้าใจ แล้วบริหารจัดการ
ข้อศึกษาปฏิบัติ ฝึกหัดทางจิตเพื่อให้จิตเกิดคุณธรรมที่ดี ไม่คล้อยตามสิ่งที่มายั่วยุให้เกิดการยึดติดในเวทนา ในความรู้สึกสุขหรือทุกข์ หมายถึง ตั้งใจก่อเกิดในขบวนการนั้น ความมีจิตใจตั้งมั่น
เราต้องเข้าใจตัวเอง ตัวเองก็ต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจเราก็จะบริหารไม่ถูก ถ้าเรามองคนอื่นไม่ถูก เราก็บริหารไม่ถูก
พระพุทธเจ้าสอนให้เราอยู่ได้ อยู่ดี เราตักน้ำมาหนึ่งแก้วมาดื่ม เรามีสมาธิไหม? ถ้าไม่มีสมาธิ เราก็จะทำน้ำนี้หกหมด
ฉะนั้น สมาธิมันอยู่กับเราตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดมาก็มีสมาธิแล้ว
ที่นี้ เราจะใช้สมาธิให้เกิดประโยชน์อย่างไร? นี่แหละ พระพุทธเจ้าท่านสอนเราแล้ว ไม่ใช่ว่าเราเป็นพระภิกษุถึงจะใช้สมาธิได้ เราเป็นฆราวาสก็ต้องมีสมาธิ เราขี่รถก็ต้องมีสมาธิ เราขี่รถไม่มีสมาธิตายไหม?
๓. ศึกษาด้านปัญญา คือ เรียนรู้ชีวิต ให้ชีวิตอยู่รอด และอยู่ได้ดี
ข้อศึกษาปฏิบัติ ฝึกหัด อบรมทางปัญญา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งถึงธรรม ในวิถีแห่งธรรม ผลแห่งธรรม กระบวนการต่างๆของธรรม เส้นทางถูกต้องของธรรม คือ รู้เท่าทันสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงในธรรม
พระพุทธเจ้าสอนว่า "สิ่งที่ไม่ดี ควรทิ้ง แล้วสิ่งที่ดีควรทำเพิ่ม ควรทำ เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด เพื่อให้ได้ดี สันติ" เหมือนกับขี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีเราจะถ่ายออกไหม? หรือว่าเราจะเก็บขี้ไว้? หลายคนเวลานี้ไม่ยอมขี้ เพราะท้องผูก ขี้เราไม่ถ่ายออก ก็จะไปปั่นป่วนจิตใจ สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนกันว่า ขี้ (สิ่งไม่ดี) ไม่ออก ขี้ (สิ่งไม่ดี) มันตันสมอง มีแต่ไปคิดทางลบ
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนเพียงเท่านี้ แต่วิธีก็แยบยลกันไป ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่จุดเป้าหมายสำคัญที่สุดคือ
"เอาของที่ไม่ดีออก เอาของดีทำเพิ่มขึ้น"
พอของดีเราทำเพิ่มก็จะเป็นอานิสงส์ที่จะทำให้ชีวิตของเราอยู่ได้อยู่ดี พออยู่ได้อยู่ดีก็จะขึ้นขั้นไปอีกคือ "สมบูรณ์" "สันติ"
คำว่า "ฮุง" (吽) (ཧཱུྃ) (hūṃ) คือ
รวมทั้งหมดทั้งมวล ให้เป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกอุ ถึงจะสำเร็จได้
สรุป โอม มณี ปัทเม ฮุง คือ
"โอม" ทุกสรรพสิ่งในมหาจักรวาล น้อมนำมาเป็นปัญญาแห่งธรรม
"มณี" เป็นปัญญาส่องแสงสว่างแห่งชีวิต เพื่อเข้าใจชีวิต ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ ที่ถูกต้องตามธรรม อยู่ให้รอด อยู่ให้ได้ อยู่ให้เป็น อยู่ให้ดี นำชีวิตไปสู่สันติสุข รู้จักบริหารกรรม อย่างถูกต้องในธรรม สิ่งใดผิดรู้จักแก้ สิ่งใดถูก ทำเพิ่มเติม
"ปัทเม" คือบัว นำชีวิตเราเป็นพลังแห่งบัว ด้วยวิถีแห่งบัว จากโคลนตมขึ้นมาเบ่งบานชูช่อได้ เปรียบเสมือนกับตัวเรา อยู่ในภูมิอวิชชา เป็นมิจฉา เดือนร้อนวุ่นวาย สามารถพัฒนาตนเองขึ้นมาเป็นภูมิที่มีปัญญา ให้ตั้งอยู่ในสัมมาที่ถูกต้อง ให้กลายเป็นพลังแห่งบัว เบ่งบาน จากร้ายกลายเป็นดี
"ฮุง" รวมพลังทั้งหมดทั้งปวงเป็นหนึ่งเดียว เอกอุ สำเร็จลุล่วง ผ่านพ้นทุกประการ
ชีวิตจึงมีความสุข สมหวัง สมปรารถนา ปิติ ปราโมทย์ สุขสันติ สันติสุข๛
โอม มณี ปัทเม ฮุง 唵嘛呢叭咪吽 Om mani padme hum ความหมายว่าอย่างไร?
คำว่า "โอม" (唵) (ཨོཾ) (Om)เป็นนิมิตหมายสื่อถึง มหาจักรวาล ธรรม ตถาตา เต๋า พระเจ้า พระโพธิสัตว์ อัลลอฮฺ สรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ชื่อว่า โอม
ยกตัวอย่างเช่น เซลล์ ก้อนหิน ต้นไม้ คน ผี เทวดา เป็นต้น
ถ้าทางพระพุทธศาสนา เรียกว่า ตถาตา เป็นเช่นนั้นเอง หรือ พระยูไล (如來)
ถ้าทางจีนลัทธิเต๋า คือ เต๋า (道)
พราหมณ์-ฮินดู คือ พรหมัน ปรมาตมัน
ศาสนาคริสต์ คือ พระเจ้า
ศาสนาอิสลาม คือ อัลลอฮฺ
ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ ให้รวมอยู่คำเดียว คือ โอม แล้วเราน้อมนำองค์ธรรมเหล่านี้ มาเป็นปัญญา เข้าสู่ปัญญาแห่งธรรม
คำว่า "มณี" (嘛呢) (མཎི) (maṇi)
คือ ลูกแก้ว เป็นนิมิตหมายสื่อถึง ปัญญา และปัญญาที่เหนือปัญญา คือ รู้จักนำปัญญามาใช้ให้เกิดอานิสงส์ เกิดประโยชน์ทั้งตนเอง และผู้อื่น เป็นลูกแก้วที่ส่องแสงสว่าง สามารถมองเห็นสิ่งการณ์ต่างๆ ได้
ถ้าเรามี "อวิชชา" คือ ความไม่รู้ มืดมน มองไม่เห็นทาง เป็นมิจฉา เป็นความชั่ว เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้องในธรรม เราก็ไม่สามารถจะมองเห็นสิ่งการณ์ต่างๆ ได้ ไม่สามารถดำเนินชีวิตที่ถูกต้องได้ หลงทางชีวิตไปสู่อบาย เข้าสู่หุบเหวแห่งนรก จมปลักอยู่กับปัญหา อุปสรรคนั้นๆ จอดนิ่งอยู่กับที่
ฉะนั้ัน เราจะต้องมีลูกแก้ว คือ ปัญญา มีวิชชา แล้วรู้จักนำปัญญานั้นมาใช้ให้เกิดอานิสงส์ ก่อเกิดประโยชน์ มีผลิตผล ผลิตภัณฑ์ มีผลงาน เป็นที่ประจักษ์ เป็นรูปธรรม
คำว่า "ปัทเม" (叭咪) (པདྨེ) (padme)
คือ บัว บัวที่เบ่งบาน บัวที่โผล่จากโคลนตม ผ่านพ้นเหนือน้ำ แตกช่อ ออกดอก ออกผล เบ่งบานชูช่อ เป็นนิมิตหมายสื่อถึง เปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี
ซึ่งกว่าบัวจะผ่านมาถึงจุดนี้ได้ บัวจะต้องพบกับปัญหา อุปสรรคนานัปการ แต่บัวสามารถรักษาตัว เอาตัวรอดมาได้
โดยเฉพาะในฤดูหนาว บัวจะหยุดพักการเจริญเติบโตและสลัดใบทิ้ง บัวจะต้องดูแลตนเองเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เหง้าบัวที่ฝังอยู่ใต้ดินเน่า ช่วงนี้บัวจะต้องมีความอดทน มีปัญญาที่จะรักษาเหง้าบัว หน่อบัว ใหลบัวไม่ให้เน่าตาย
พอถึงช่วงปลายฤดูร้อน ต้นฤดูฝน บัวก็จะเริ่มพัฒนาตนเอง มีกิ่งก้านใบ สาขา แผ่ขยาย จนออกดอกออกผล กลายเป็นบัวตูมบัวบาน
บัวที่เบ่งบานชูช่อ รับตะวัน สีสัน สดใส สวยสด งดงาม
คนเราก็เช่นเดียวกัน จะต้องผ่านประสบการณ์ มีทักษะ ผ่านการศึกษาเรียนรู้ สุ.จิ.ปุ.ลิ. ฟัง-คิด-ถาม-เขียน
ตั้งอกตั้งใจ ตั้งไว้ให้ดี ตั้งแต่บัดนี้ ขอจงตั้งใจ
ตั้งตัวตั้งต้น ตั้งตนตั้งมั่น ฝึกฝนฝ่าฝัน ฝ่าฟันฝันใฝ่
อบรมบ่มเพาะ เจาะจิตเจาะใจ ส่งเสริมสอดไส้ สวมใส่ศีลธรรม
รักเรียนใฝ่รู้ เชิดชูฝึกตน อดทน มานะ เสียสละ มีคุณธรรม
อบรมบ่มเพราะ ชี้แนะ สั่งสอน จูง-นำ-พา-เอื้อ-เกื้อ-กัน-ส่ง-ให้ขึ้นภูมิ ถึงจะมีปัญญา รู้จักใช้ชีวิต ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ อยู่ให้รอด อยู่ให้ได้ อยู่ให้เป็น อยู่ให้ดี นำชีวิตไปสู่สันติสุข
การฝึกฝนเรียนรู้ เราจะต้องฝึกฝน ๓ ด้านได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา
๑. ศึกษาด้านศีล คือ ข้อบัญญัติ ชี้แนะ แนะนำ หรือคำสั่งสอนที่จะให้พึงดูแลความคิด ความประพฤติ ให้ถูกต้องตามครรลองครองธรรม เพื่อให้ชีวิตอยู่รอดได้ด้วยดี
๒. ศึกษาด้านสมาธิ คือ มองความคิดตัวเองและผู้อื่น จงเข้าใจ แล้วบริหารจัดการ
ข้อศึกษาปฏิบัติ ฝึกหัดทางจิตเพื่อให้จิตเกิดคุณธรรมที่ดี ไม่คล้อยตามสิ่งที่มายั่วยุให้เกิดการยึดติดในเวทนา ในความรู้สึกสุขหรือทุกข์ หมายถึง ตั้งใจก่อเกิดในขบวนการนั้น ความมีจิตใจตั้งมั่น
เราต้องเข้าใจตัวเอง ตัวเองก็ต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจเราก็จะบริหารไม่ถูก ถ้าเรามองคนอื่นไม่ถูก เราก็บริหารไม่ถูก
พระพุทธเจ้าสอนให้เราอยู่ได้ อยู่ดี เราตักน้ำมาหนึ่งแก้วมาดื่ม เรามีสมาธิไหม? ถ้าไม่มีสมาธิ เราก็จะทำน้ำนี้หกหมด
ฉะนั้น สมาธิมันอยู่กับเราตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดมาก็มีสมาธิแล้ว
ที่นี้ เราจะใช้สมาธิให้เกิดประโยชน์อย่างไร? นี่แหละ พระพุทธเจ้าท่านสอนเราแล้ว ไม่ใช่ว่าเราเป็นพระภิกษุถึงจะใช้สมาธิได้ เราเป็นฆราวาสก็ต้องมีสมาธิ เราขี่รถก็ต้องมีสมาธิ เราขี่รถไม่มีสมาธิตายไหม?
๓. ศึกษาด้านปัญญา คือ เรียนรู้ชีวิต ให้ชีวิตอยู่รอด และอยู่ได้ดี
ข้อศึกษาปฏิบัติ ฝึกหัด อบรมทางปัญญา เพื่อให้เกิดความรู้แจ้งถึงธรรม ในวิถีแห่งธรรม ผลแห่งธรรม กระบวนการต่างๆของธรรม เส้นทางถูกต้องของธรรม คือ รู้เท่าทันสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงในธรรม
พระพุทธเจ้าสอนว่า "สิ่งที่ไม่ดี ควรทิ้ง แล้วสิ่งที่ดีควรทำเพิ่ม ควรทำ เพื่อให้ชีวิตอยู่รอด เพื่อให้ได้ดี สันติ" เหมือนกับขี้เป็นสิ่งที่ไม่ดีเราจะถ่ายออกไหม? หรือว่าเราจะเก็บขี้ไว้? หลายคนเวลานี้ไม่ยอมขี้ เพราะท้องผูก ขี้เราไม่ถ่ายออก ก็จะไปปั่นป่วนจิตใจ สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนกันว่า ขี้ (สิ่งไม่ดี) ไม่ออก ขี้ (สิ่งไม่ดี) มันตันสมอง มีแต่ไปคิดทางลบ
ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนเพียงเท่านี้ แต่วิธีก็แยบยลกันไป ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่จุดเป้าหมายสำคัญที่สุดคือ
"เอาของที่ไม่ดีออก เอาของดีทำเพิ่มขึ้น"
พอของดีเราทำเพิ่มก็จะเป็นอานิสงส์ที่จะทำให้ชีวิตของเราอยู่ได้อยู่ดี พออยู่ได้อยู่ดีก็จะขึ้นขั้นไปอีกคือ "สมบูรณ์" "สันติ"
คำว่า "ฮุง" (吽) (ཧཱུྃ) (hūṃ) คือ
รวมทั้งหมดทั้งมวล ให้เป็นหนึ่งเดียว เป็นเอกอุ ถึงจะสำเร็จได้
สรุป โอม มณี ปัทเม ฮุง คือ
"โอม" ทุกสรรพสิ่งในมหาจักรวาล น้อมนำมาเป็นปัญญาแห่งธรรม
"มณี" เป็นปัญญาส่องแสงสว่างแห่งชีวิต เพื่อเข้าใจชีวิต ใช้ชีวิตอย่างเข้าใจ ที่ถูกต้องตามธรรม อยู่ให้รอด อยู่ให้ได้ อยู่ให้เป็น อยู่ให้ดี นำชีวิตไปสู่สันติสุข รู้จักบริหารกรรม อย่างถูกต้องในธรรม สิ่งใดผิดรู้จักแก้ สิ่งใดถูก ทำเพิ่มเติม
"ปัทเม" คือบัว นำชีวิตเราเป็นพลังแห่งบัว ด้วยวิถีแห่งบัว จากโคลนตมขึ้นมาเบ่งบานชูช่อได้ เปรียบเสมือนกับตัวเรา อยู่ในภูมิอวิชชา เป็นมิจฉา เดือนร้อนวุ่นวาย สามารถพัฒนาตนเองขึ้นมาเป็นภูมิที่มีปัญญา ให้ตั้งอยู่ในสัมมาที่ถูกต้อง ให้กลายเป็นพลังแห่งบัว เบ่งบาน จากร้ายกลายเป็นดี
"ฮุง" รวมพลังทั้งหมดทั้งปวงเป็นหนึ่งเดียว เอกอุ สำเร็จลุล่วง ผ่านพ้นทุกประการ
ชีวิตจึงมีความสุข สมหวัง สมปรารถนา ปิติ ปราโมทย์ สุขสันติ สันติสุข๛