สรุป 7 กฎเหล็ก การใช้บัตรเครดิต ฉบับ “นักการเงิน นักลงทุน”
.
“บัตรเครดิต” เป็นสิ่งที่ใครหลายคนใช้กัน
.
ซึ่งบางคน ก็ใช้อย่างไม่ระมัดระวัง จนเกิดเป็นหนี้ก้อนโต และเสียดอกเบี้ยจำนวนมาก
แต่การใช้บัตรเครดิต ถ้าฉลาดใช้อย่างถูกวิธี มีวินัย ก็ให้ประโยชน์ต่อคนใช้ไม่น้อย
.
และก็มีทริกอยู่ว่า จะทำอย่างไร ให้ใช้บัตรเครดิตแบบไม่เสียดอกเบี้ยสักบาท
แถมยังได้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ส่วนลด หรือเครดิตเงินคืน คืนให้กับผู้ถือบัตร
เหมือนกับผลตอบแทน ที่คืนให้กับนักลงทุน
.
ซึ่งก็น่าคิดว่า ถ้าเราเอาหมวกของนักการเงิน หรือนักลงทุน ไปสวมตอนใช้บัตรเครดิตได้ ก็อาจจะทำให้การเงินของเราดีขึ้นได้
เลยจะมาสรุป 7 กฎเหล็กการใช้บัตรเครดิต ฉบับ “นักการเงิน นักลงทุน”
โดยเริ่มจาก
.
1. เดือนนี้ใช้เท่าไร เดือนหน้าต้องโปะยอดที่ใช้ให้หมด
มิเช่นนั้น เราจะต้องจ่ายดอกเบี้ยถึง 2 ก้อน ในอัตรา 16% ต่อปี
.
- ก้อนแรก คือ ดอกเบี้ยจากยอดบัตรเครดิตทั้งหมด ตั้งแต่วันที่เรารูด
- ก้อนที่ 2 คือ ดอกเบี้ยจากยอดค้างชำระ
.
และเพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยบัตรเครดิตสุดโหดที่ 16% ให้จำไว้ว่า เดือนนี้ใช้เท่าไร เดือนหน้าจะต้องปิดยอดหนี้ให้หมด เพื่อหลีกเลี่ยงดอกเบี้ยจากบัตรเครดิต ที่ธนาคารเรียกเก็บ 2 ก้อนพร้อมกัน..
.
2. อย่าคิดว่า เราใช้บัตรเครดิตเพื่อ “สร้างหนี้ระยะยาว”
แต่ให้คิดว่า เราใช้บัตรเครดิตเพื่อ “เพิ่มสภาพคล่อง”
.
เพราะบัตรเครดิต ก็คือบัตรที่ให้ “เครดิตเทอม” กับลูกค้าผู้ใช้บัตร
โดยให้ลูกค้ารูดใช้ไปก่อน แล้วจ่ายเงินทีหลัง และต้องจ่ายให้ทันวันครบกำหนดชำระ
โดยบัตรเครดิตส่วนมาก จะให้เครดิตเทอมกับผู้ใช้บัตร ที่ 15-50 วัน นับจากวันที่เรารูด
.
ยกตัวอย่างเช่น
.
- เรารูดวันที่ 1 มกราคม
- สรุปยอดวันที่ 30 มกราคม
- ครบกำหนดชำระวันที่ 19 กุมภาพันธ์
.
ซึ่งถ้าเราจ่ายเงินได้ครบจำนวน ทันวันครบกำหนดชำระ คือวันที่ 19 กุมภาพันธ์
ก็เหมือนกับว่าเรารูดใช้จ่ายไปก่อน แล้วจ่ายหนี้คืนทีหลังได้ทัน
.
เมื่อเป็นแบบนี้ เราจะไม่เสียดอกเบี้ยเลยแม้แต่บาทเดียว
แถมเสมือนได้สภาพคล่องระยะสั้น เข้ามาเพิ่ม ทำให้บางครั้งเราสามารถบริหารจัดการกระแสเงินสดได้ดีขึ้น
.
3. หลีกเลี่ยงการนำบัตรเครดิต มากดเงินสด
.
เพราะการกดเงินสดด้วยบัตรเครดิต หรือ Cash Advance จะไม่มีระยะเวลาปลอดดอกเบี้ย
คือดอกเบี้ยจะวิ่งตั้งแต่วันแรกที่เรากดทันที ด้วยอัตรา 16% ต่อปี
ซึ่งยังไม่รวมค่าธรรมเนียมการเบิกเงินสด ที่มักคิด 3% ต่อครั้งต่อยอด และภาษีมูลค่าเพิ่ม
.
แต่ถ้าหากผู้ใช้บัตรเครดิต มีความจำเป็นต้องใช้เงินจริง ๆ ก็ให้โทรศัพท์ติดต่อกับบริษัทผู้ออกบัตรเครดิตหรือธนาคาร เพื่อขอต่อรองดอกเบี้ยให้ถูกลง
ซึ่งดอกเบี้ยที่ไปต่อรองนี้ จะมากหรือน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงิน และประวัติการใช้งานบัตรเครดิต ว่าเคยติดเครดิตบูโรไหม หรือมีประวัติในการชำระเงินไม่ตรงเวลาหรือไม่ ?
.
4. ระวังกับดักการผ่อน 0%
.
ต้องบอกว่า สินค้าหลาย ๆ อย่างตอนนี้ เสนอโปรโมชันผ่อน 0% หลายรายการ
ตั้งแต่ผ่อนสมาร์ตโฟน, ผ่อนตั๋วเครื่องบิน, ผ่อนเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬา
หรือแม้แต่ค่าอาหารมื้อหนัก ๆ ก็ยังแบ่งชำระได้ด้วยโปรโมชันผ่อน 0%
แม้ผ่อน 0% จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ใช้บัตรเครดิต
แต่การผ่อน 0% ก็อาจกลายเป็นกับดักได้ง่ายเช่นกัน
.
ลองนึกภาพตามว่า ใน 1 เดือน เราผ่อนสินค้าและบริการ ตามตัวอย่างที่ยกมาทั้งหมด อย่าง
.
- ผ่อนสมาร์ตโฟน 0% 10 เดือน
- ผ่อนตั๋วเครื่องบินเที่ยวญี่ปุ่น 0% 6 เดือน
- ผ่อนเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬา 0% 5 เดือน
- ผ่อนมื้ออาหารโอมากาเสะ 0% 3 เดือน
.
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับว่า เราจะต้องแบกค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระรายเดือน ของทั้ง 4 รายการนี้ไปอีกอย่างน้อย 3 เดือน
ซึ่งในบางครั้ง ยอดค่าใช้จ่ายในการผ่อน ก็อาจจะเกินกำลังของรายได้หรือเงินเดือนที่เราได้รับไปแล้ว
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็อาจทำให้เราต้องแบกหนี้จากการผ่อนชำระไป และขาดสภาพคล่องในการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย
.
5. เลือกบัตรเครดิต ให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนเป็นสิทธิพิเศษ
.
บัตรเครดิตแทบทุกค่าย ก็มีสิทธิพิเศษที่แตกต่างกัน ทั้ง Cash Back เครดิตเงินคืน ไปจนถึงแต้มสะสมสำหรับส่วนลด ของรางวัล และสิทธิพิเศษต่าง ๆ
ถ้าเราเลือกใช้บัตรเครดิตให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ เราก็จะได้ส่วนลด
หรือเครดิตเงินคืนอย่างคุ้มค่ากับที่เราได้ใช้จ่ายไป เช่น
.
- สายกิน หรือสายช็อป เลือกบัตรเครดิตที่มีส่วนลดร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า
หรือบัตรเครดิตที่มีโปรโมชันกับ Grab, Foodpanda, Shopee และ Lazada
- สายท่องเที่ยว เลือกใช้บัตรเครดิตสะสมไมล์ หรือสามารถใช้สิทธิ์เลานจ์สนามบิน, เรียกรถลีมูซีนรับส่งได้
- สายเติมน้ำมัน เลือกใช้บัตรเครดิตที่ให้เงินคืน สำหรับค่าเติมน้ำมัน
- สายประหยัด อาจเลือกใช้บัตรเครดิตที่มี Cash Back หรือเครดิตเงินคืน
.
เวลาไปซื้อของหรือใช้บริการเป็นประจำทุกวัน อย่างเครดิตเงินคืนเมื่อซื้อของ 7-Eleven หรือเครดิตเงินคืนค่ารถไฟฟ้า
ซึ่งสิทธิพิเศษต่าง ๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราสามารถประหยัดเงินได้มากขึ้น และมีเงินเหลือเก็บได้มากขึ้นด้วย
แต่เราก็ต้องระวังว่า สิทธิพิเศษเหล่านี้ ก็อาจมากระตุ้นความอยากของเราให้ใช้เงินเกินความจำเป็น ได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
.
6. ตรวจสอบค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตทุกครั้ง
.
โดยเฉพาะคนที่มีบัตรเครดิตมากกว่า 2 ใบ ควรหมั่นตรวจสอบทุก ๆ สัปดาห์ว่า ตอนนี้บัตรแต่ละใบมียอดค่าใช้จ่ายเท่าไรแล้ว
และถ้าให้ดี ควรทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย เป็นประจำด้วย
เพื่อป้องกันการรูดเกินกำลังที่เราจ่ายไหว จนอาจขาดสภาพคล่องในการใช้ชีวิต
.
7. ใช้บัตรเครดิต เพื่อสร้างเครดิตให้กับเราในอนาคต
.
ในอีกมุมหนึ่ง การใช้บัตรเครดิตก็เหมือนการสร้าง “ประวัติการเงิน”
คนที่มีประวัติการใช้บัตรเครดิตดี ใช้จ่ายด้วยวงเงินไม่เต็มเพดาน แถมยังจ่ายเต็ม จ่ายครบ และตรงเวลา
ก็จะได้สิทธิ์ในการขอสินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถ หรือแม้แต่สินเชื่อธุรกิจ ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าคนที่มีเครดิตไม่ดีนั่นเอง..
.
ที่มา : ลงทุนแมน
สรุป 7 กฎเหล็ก การใช้บัตรเครดิต ฉบับ “นักการเงิน นักลงทุน”