สีกายุ” หอบหลักฐานมอบ “บิ๊กเต่า” ยัน “พระคึกฤทธิ์” นำเงินวัดไปลงทุนกองทุน 4 พอร์ต จำนวนรวมเกือบ 2 แสนยูโร แจงเหตุแตกคอ ปมพฤติกรรมหลวงพ่อไม่โปร่งใส
เมื่อเวลา 13.45 น. วันที่ 2 ตุลาคม 2568 ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พร้อมด้วย นางกัญญาภัค ชไนเดอร์ หรือ สีกายุ น.ส.พัณณ์ชิตา ไชยเดช หรือ ทนายฟ้าใส และ ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ นักกฎหมาย เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. และ พนักงานสอบสวน บก.ปปป. เพื่อเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้ง หลังเดินทางกลับจากประเทศเยอรมนี เกี่ยวกับกรณีที่เคยร้องขอให้ตำรวจ บก.ปปป. ตรวจสอบพฤติกรรมของ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ว่ามีการทุจริตยักยอกเงินของวัดไปใช้โดยมิชอบ
น.ส.กัญญาภัค หรือ สีกายุ ยอมรับว่า รู้จักพระคึกฤทธิ์ผ่านรายการโทรทัศน์ เคารพศรัทธาเพราะเห็นว่าเทศนาธรรมดี กระทั่งเมื่อได้ช่องทางติดต่อพูดคุยทางธรรมสักระยะ จึงนิมนต์พระไปยุโรป เมื่อปี 2016 เพื่อเผยแผ่พุทธวจน โดยตนเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ระหว่างนั้นพระคึกฤทธิ์เห็นว่าคนยุโรปศรัทธาเยอะ ตนจึงแนะนำว่าหากพระคึกฤทธิ์จะมาอยู่ต้องเปิดเป็นองค์กร เมื่อพระคึกฤทธิ์สนใจ จึงได้มอบหมายให้เปิดสมาคม แต่ต่อมาพฤติกรรมหลายๆ อย่างของพระคึกฤทธิ์ ส่อไปในทางทุจริต อาทิ ไม่ยอมให้ทำใบปวารณาให้ผู้บริจาค ตนเองจึงเอะใจ และ เริ่มสงสัย นอกจากนี้ยังมาทราบภายหลังว่า พระคึกฤทธิ์ โกหกว่าเป็นเงินของพี่สาวทั้งที่เป็นเงินวัด เหมือนมีเจตนาปิดบังที่มาของเงิน จึงไม่ได้ต่ออายุวีซาให้พระคึกฤทธิ์ก่อนจะแตกหักกัน
ต่อมาตนโดนทางการเยอรมันดำเนินคดีฟอกเงินและยักยอกเงิน ทั้งที่จริงแล้วเงินจำนวนดังกล่าวถูกนำไปจัดทำกิจกรรมของมูลนิธิที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ จำนวนเกือบ 2 แสนยูโร ซึ่งตนเองก็ถูกผู้ตรวจสอบบัญชีเรียกไปสอบ และพระคึกฤทธิ์ก็แจ้งความตนเองด้วย แต่สุดท้ายผลการตรวจสอบก็ไม่พบการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ใดๆ จึงเป็นเหตุให้ภายหลังตนเองแจ้งความกลับพระคึกฤทธิ์ฐานยักยอกแทน ในฐานะที่เป็นผู้สั่งการ แต่ตนเองไปแจ้งความที่ประเทศเยอรมัน ทั้งที่เหตุเกิดที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทำให้สุดท้ายศาลยกฟ้อง เพราะเหตุเกิดคนละอำนาจเขตศาล ไม่ใช่การยกฟ้องเพราะไม่ได้ทำความผิด
ส่วนทางด้านพระคึกฤทธิ์เอง ก็ฟ้องร้องตนเรื่องเงินค่าวีซา เงินเดือน เงินบริจาค อาหารแมว ทั้งอาญาและแพ่ง ความเสียหาย 13 ล้านบาทเศษ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาคดี ยังไม่มีคำพิพากษาใดๆ และไม่ได้เป็นไปตามที่ทนายวัดออกมาแถลงก่อนหน้านี้ พร้อมยืนยันมั่นใจในพยานหลักฐาน เพราะเป็นเอกสารที่มีการรับรองจากรัฐบาลต่างประเทศและศาล และยังมีบัตรเอทีเอ็มธนาคารเยอรมัน ซึ่งมีเงิน 9 หมื่นยูโรมาเป็นหลักฐานด้วยว่าเงินไม่ได้หายไปไหน”
ขณะที่ นายอนันต์ชัย กล่าวว่า ประเด็นเงิน 12.2 ล้านบาท ที่ทนายวัดอ้างว่าอยู่ในบัญชีธนาคารเยอรมัน แต่จากเอกสารที่ทนายวัดนำมาแสดง พบว่าเงินไม่ได้อยู่ในบัญชีธนาคาร แต่เป็นการนำเงินไปลงทุนกองทุน 4 พอร์ต จำนวนรวมเกือบ 2 แสนยูโร และปรากฏว่าขาดทุน 1 หมื่นยูโร หรือติดลบ 4.73% ดังนั้นจึงเป็นจำนวนเงินที่วัดบอกว่าหายไป
นอกจากนี้ ตามกฎหมายแล้วเงินของวัดไม่สามารถนำไปแสวงหาประโยชน์ใดๆ หรือลงทุนลักษณะนี้ได้ และมูลนิธิคือสมาคมไม่แสวงหาผลกำไร อีกทั้งเป็นมูลนิธิต่างประเทศ ที่กฎหมายไทยไม่รองรับ เมื่อพระคึกฤทธิ์มีอำนาจเบิกจ่ายคนเดียว เพราะเป็นประธานมูลนิธิ และเงินไม่มีอยู่ในบัญชีมูลนิธิแล้ว แต่อยู่ในพอร์ตการลงทุน เป็นเพียงมูลค่า ผิดถูกอย่างไรก็ให้ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน
ส่วนประเด็นที่มีผู้บริจาคที่ดินให้วัด แต่พระคึกฤทธิ์โอนเป็นชื่อตนเอง จนตอนหลังมีการฟ้องร้องและที่ดินกลับคืนสู่เจ้าของเดิม นายอนันต์ชัยยืนยันว่า เมื่อเจ้าของเดิมมีความประสงค์บริจาคที่ดินให้วัดแล้ว ที่ดินนั้นย่อมกลายเป็นที่ธรณีสงฆ์ แม้จะเป็นเพียงการเปล่งวาจา ไม่ได้ทำเป็นลายลักษณ์อักษร แต่หากจะจำหน่ายจ่ายโอนที่ดิน ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น และที่ดินจะไม่สามารถกลับคืนสู่เจ้าของเดิมได้ เพราะบริจาคแล้วย่อมต้องเป็นของวัด กรณีนี้เจ้าของที่ดินเดิม หากไม่โอนให้วัด ก็ย่อมมีความผิดด้วย ส่วนพระคึกฤทธิ์ก็ผิดวินัยสงฆ์ ซึ่งทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและมหาเถรสมาคมต้องเป็นผู้ดำเนินการเอาผิด
https://www.thairath.co.th/news
“สีกายุ” พบ “บิ๊กเต่า” ยัน พระคึกฤทธิ์ นำเงินวัดไปลงทุนกองทุน 4 พอร์ต เกือบ 2 แสนยูโร
เมื่อเวลา 13.45 น. วันที่ 2 ตุลาคม 2568 ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม พร้อมด้วย นางกัญญาภัค ชไนเดอร์ หรือ สีกายุ น.ส.พัณณ์ชิตา ไชยเดช หรือ ทนายฟ้าใส และ ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ นักกฎหมาย เดินทางเข้าพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. และ พนักงานสอบสวน บก.ปปป. เพื่อเข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้ง หลังเดินทางกลับจากประเทศเยอรมนี เกี่ยวกับกรณีที่เคยร้องขอให้ตำรวจ บก.ปปป. ตรวจสอบพฤติกรรมของ พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ว่ามีการทุจริตยักยอกเงินของวัดไปใช้โดยมิชอบ
น.ส.กัญญาภัค หรือ สีกายุ ยอมรับว่า รู้จักพระคึกฤทธิ์ผ่านรายการโทรทัศน์ เคารพศรัทธาเพราะเห็นว่าเทศนาธรรมดี กระทั่งเมื่อได้ช่องทางติดต่อพูดคุยทางธรรมสักระยะ จึงนิมนต์พระไปยุโรป เมื่อปี 2016 เพื่อเผยแผ่พุทธวจน โดยตนเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด ระหว่างนั้นพระคึกฤทธิ์เห็นว่าคนยุโรปศรัทธาเยอะ ตนจึงแนะนำว่าหากพระคึกฤทธิ์จะมาอยู่ต้องเปิดเป็นองค์กร เมื่อพระคึกฤทธิ์สนใจ จึงได้มอบหมายให้เปิดสมาคม แต่ต่อมาพฤติกรรมหลายๆ อย่างของพระคึกฤทธิ์ ส่อไปในทางทุจริต อาทิ ไม่ยอมให้ทำใบปวารณาให้ผู้บริจาค ตนเองจึงเอะใจ และ เริ่มสงสัย นอกจากนี้ยังมาทราบภายหลังว่า พระคึกฤทธิ์ โกหกว่าเป็นเงินของพี่สาวทั้งที่เป็นเงินวัด เหมือนมีเจตนาปิดบังที่มาของเงิน จึงไม่ได้ต่ออายุวีซาให้พระคึกฤทธิ์ก่อนจะแตกหักกัน
ต่อมาตนโดนทางการเยอรมันดำเนินคดีฟอกเงินและยักยอกเงิน ทั้งที่จริงแล้วเงินจำนวนดังกล่าวถูกนำไปจัดทำกิจกรรมของมูลนิธิที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ จำนวนเกือบ 2 แสนยูโร ซึ่งตนเองก็ถูกผู้ตรวจสอบบัญชีเรียกไปสอบ และพระคึกฤทธิ์ก็แจ้งความตนเองด้วย แต่สุดท้ายผลการตรวจสอบก็ไม่พบการใช้เงินผิดวัตถุประสงค์ใดๆ จึงเป็นเหตุให้ภายหลังตนเองแจ้งความกลับพระคึกฤทธิ์ฐานยักยอกแทน ในฐานะที่เป็นผู้สั่งการ แต่ตนเองไปแจ้งความที่ประเทศเยอรมัน ทั้งที่เหตุเกิดที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทำให้สุดท้ายศาลยกฟ้อง เพราะเหตุเกิดคนละอำนาจเขตศาล ไม่ใช่การยกฟ้องเพราะไม่ได้ทำความผิด
ส่วนทางด้านพระคึกฤทธิ์เอง ก็ฟ้องร้องตนเรื่องเงินค่าวีซา เงินเดือน เงินบริจาค อาหารแมว ทั้งอาญาและแพ่ง ความเสียหาย 13 ล้านบาทเศษ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาคดี ยังไม่มีคำพิพากษาใดๆ และไม่ได้เป็นไปตามที่ทนายวัดออกมาแถลงก่อนหน้านี้ พร้อมยืนยันมั่นใจในพยานหลักฐาน เพราะเป็นเอกสารที่มีการรับรองจากรัฐบาลต่างประเทศและศาล และยังมีบัตรเอทีเอ็มธนาคารเยอรมัน ซึ่งมีเงิน 9 หมื่นยูโรมาเป็นหลักฐานด้วยว่าเงินไม่ได้หายไปไหน”
ขณะที่ นายอนันต์ชัย กล่าวว่า ประเด็นเงิน 12.2 ล้านบาท ที่ทนายวัดอ้างว่าอยู่ในบัญชีธนาคารเยอรมัน แต่จากเอกสารที่ทนายวัดนำมาแสดง พบว่าเงินไม่ได้อยู่ในบัญชีธนาคาร แต่เป็นการนำเงินไปลงทุนกองทุน 4 พอร์ต จำนวนรวมเกือบ 2 แสนยูโร และปรากฏว่าขาดทุน 1 หมื่นยูโร หรือติดลบ 4.73% ดังนั้นจึงเป็นจำนวนเงินที่วัดบอกว่าหายไป
นอกจากนี้ ตามกฎหมายแล้วเงินของวัดไม่สามารถนำไปแสวงหาประโยชน์ใดๆ หรือลงทุนลักษณะนี้ได้ และมูลนิธิคือสมาคมไม่แสวงหาผลกำไร อีกทั้งเป็นมูลนิธิต่างประเทศ ที่กฎหมายไทยไม่รองรับ เมื่อพระคึกฤทธิ์มีอำนาจเบิกจ่ายคนเดียว เพราะเป็นประธานมูลนิธิ และเงินไม่มีอยู่ในบัญชีมูลนิธิแล้ว แต่อยู่ในพอร์ตการลงทุน เป็นเพียงมูลค่า ผิดถูกอย่างไรก็ให้ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน
ส่วนประเด็นที่มีผู้บริจาคที่ดินให้วัด แต่พระคึกฤทธิ์โอนเป็นชื่อตนเอง จนตอนหลังมีการฟ้องร้องและที่ดินกลับคืนสู่เจ้าของเดิม นายอนันต์ชัยยืนยันว่า เมื่อเจ้าของเดิมมีความประสงค์บริจาคที่ดินให้วัดแล้ว ที่ดินนั้นย่อมกลายเป็นที่ธรณีสงฆ์ แม้จะเป็นเพียงการเปล่งวาจา ไม่ได้ทำเป็นลายลักษณ์อักษร แต่หากจะจำหน่ายจ่ายโอนที่ดิน ต้องออกเป็นพระราชบัญญัติเท่านั้น และที่ดินจะไม่สามารถกลับคืนสู่เจ้าของเดิมได้ เพราะบริจาคแล้วย่อมต้องเป็นของวัด กรณีนี้เจ้าของที่ดินเดิม หากไม่โอนให้วัด ก็ย่อมมีความผิดด้วย ส่วนพระคึกฤทธิ์ก็ผิดวินัยสงฆ์ ซึ่งทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและมหาเถรสมาคมต้องเป็นผู้ดำเนินการเอาผิด
https://www.thairath.co.th/news