หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯเริ่ม‘ชัตดาวน์’ หวั่นรอบนี้‘นาน’ทั้งทรัมป์-เดโมแครตท่าทีกร้าว
ป้ายระบุว่าปิดทำการ ถูกตั้งไว้บริเวณด้านหน้าของอาคารหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ในกรุงวอชิงตัน เมื่อวันพุธ (1 ต.ค.) วันแรกของการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลกลางรอบนี้
หน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ปิดทำการตั้งแต่วันพุธ (1 ต.ค.) หลังจากสมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันและทำเนียบขาว ไม่สามารถตกลงเรื่องงบประมาณชั่วคราวกับทางพรรคเดโมแครตฝ่ายค้าน นำไปสู่การเผชิญหน้ากันซึ่งนอกจากหมายถึงหน่วยงานรัฐไม่มีงบประมาณทำงาน จนบางแห่งอาจต้องหยุดดำเนินการอย่างไม่มีกำหนดแล้ว ยังอาจลามปามมีการปลดพนักงานลูกจ้างรัฐบาลกลางจำนวนนับหมื่นๆ คน โดยทรัมป์ขู่ว่า จะใช้โอกาสนี้จัดการพวกผู้สนับสนุนเดโมแครต
การที่หน่วยงานบางแห่งของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต้องปิดทำการชั่วคราวหรือ “ชัตดาวน์” ครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 15 นับจากปี 1981 นั้น ในเฉพาะหน้านี้อาจทำให้ต้องเลื่อนการเปิดเผยรายงานตัวเลขการจ้างงานเดือนกันยายน การเดินทางทางอากาศถูกกระทบจนล่าช้า การวิจัยทางวิทยาศาสตร์หยุดชะงัก การระงับการจ่ายเงินเดือนทหาร และการพักงานลูกจ้างพนักงานรัฐบาลกลาง 750,000 คนโดยไม่จ่ายค่าจ้าง
อย่างไรก็ตาม การชัตดาวน์จะไม่กระทบต่อหน่วยงานสำคัญ เช่น บริการไปรษณีย์ กองทัพ และโครงการสวัสดิการ เช่น ประกันสังคม และแสตมป์อาหาร
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อยู่ระหว่างจัดการปรับเปลี่ยนหน่วยงานรัฐบาลอย่างถอนรากถอนโคน โดยมุ่งปลดลูกจ้างพนักงานรัฐบาลกลางราว 300,000 คนภายในเดือนธันวานี้ตามที่เขาหาเสียงไว้นั้น เตือนพวกสมาชิกเดโมแครตในรัฐสภาว่า การชัตดาวน์ครั้งนี้อาจเปิดทางสำหรับการดำเนินการชนิด “ที่ไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้” ซึ่งรวมถึงการปลดคนและยกเลิกโครงการต่างๆ เพิ่มมากขึ้นจากเดิม
การชัตดาวน์ครั้งนี้เริ่มขึ้นหลังเลยเวลาเที่ยงคืนวันอังคาร (30 ก.ย.)โดยที่ก่อนหน้านั้น วุฒิสภาไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณใช้จ่ายฉบับชั่วคราวระยะสั้น ที่จะทำให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางยังมีเงินทองสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติจนถึงวันที่ 21 พ.ย. ทั้งนี้สภาผู้แทนราษฎรที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้ผ่านร่างกฎหมายนี้ไปก่อนแล้ว ทว่าวุฒิสภาซึ่งที่จริงรีพับลิกันก็ครองเสียงข้างมากในสัดส่วน 53 ต่อ 47 เสียงเช่นกัน ทว่าตามกฎข้อบังคับ ร่างกฎหมายลักษณะเช่นนี้ต้องได้เสียงตั้งแต่ 60 เสียงขึ้นไป ฝ่ายเดโมแครตจึงสามารถสกัดไม่ให้ผ่านได้สำเร็จ
เดโมแครตนั้นคัดค้านร่างกฎหมายนี้ รวมทั้งร่างงบประมาณฉบับใหญ่ที่เป็นต้นเรื่องของการไม่ลงรอยกันระหว่าง 2 พรรค
USA ; หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯเริ่ม‘ชัตดาวน์’ หวั่นรอบนี้‘นาน’ทั้งทรัมป์-เดโมแครตท่าทีกร้าว
หน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ปิดทำการตั้งแต่วันพุธ (1 ต.ค.) หลังจากสมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันและทำเนียบขาว ไม่สามารถตกลงเรื่องงบประมาณชั่วคราวกับทางพรรคเดโมแครตฝ่ายค้าน นำไปสู่การเผชิญหน้ากันซึ่งนอกจากหมายถึงหน่วยงานรัฐไม่มีงบประมาณทำงาน จนบางแห่งอาจต้องหยุดดำเนินการอย่างไม่มีกำหนดแล้ว ยังอาจลามปามมีการปลดพนักงานลูกจ้างรัฐบาลกลางจำนวนนับหมื่นๆ คน โดยทรัมป์ขู่ว่า จะใช้โอกาสนี้จัดการพวกผู้สนับสนุนเดโมแครต
การที่หน่วยงานบางแห่งของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ต้องปิดทำการชั่วคราวหรือ “ชัตดาวน์” ครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 15 นับจากปี 1981 นั้น ในเฉพาะหน้านี้อาจทำให้ต้องเลื่อนการเปิดเผยรายงานตัวเลขการจ้างงานเดือนกันยายน การเดินทางทางอากาศถูกกระทบจนล่าช้า การวิจัยทางวิทยาศาสตร์หยุดชะงัก การระงับการจ่ายเงินเดือนทหาร และการพักงานลูกจ้างพนักงานรัฐบาลกลาง 750,000 คนโดยไม่จ่ายค่าจ้าง
อย่างไรก็ตาม การชัตดาวน์จะไม่กระทบต่อหน่วยงานสำคัญ เช่น บริการไปรษณีย์ กองทัพ และโครงการสวัสดิการ เช่น ประกันสังคม และแสตมป์อาหาร
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อยู่ระหว่างจัดการปรับเปลี่ยนหน่วยงานรัฐบาลอย่างถอนรากถอนโคน โดยมุ่งปลดลูกจ้างพนักงานรัฐบาลกลางราว 300,000 คนภายในเดือนธันวานี้ตามที่เขาหาเสียงไว้นั้น เตือนพวกสมาชิกเดโมแครตในรัฐสภาว่า การชัตดาวน์ครั้งนี้อาจเปิดทางสำหรับการดำเนินการชนิด “ที่ไม่อาจย้อนกลับมาแก้ไขได้” ซึ่งรวมถึงการปลดคนและยกเลิกโครงการต่างๆ เพิ่มมากขึ้นจากเดิม
การชัตดาวน์ครั้งนี้เริ่มขึ้นหลังเลยเวลาเที่ยงคืนวันอังคาร (30 ก.ย.)โดยที่ก่อนหน้านั้น วุฒิสภาไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณใช้จ่ายฉบับชั่วคราวระยะสั้น ที่จะทำให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางยังมีเงินทองสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติจนถึงวันที่ 21 พ.ย. ทั้งนี้สภาผู้แทนราษฎรที่รีพับลิกันครองเสียงข้างมากได้ผ่านร่างกฎหมายนี้ไปก่อนแล้ว ทว่าวุฒิสภาซึ่งที่จริงรีพับลิกันก็ครองเสียงข้างมากในสัดส่วน 53 ต่อ 47 เสียงเช่นกัน ทว่าตามกฎข้อบังคับ ร่างกฎหมายลักษณะเช่นนี้ต้องได้เสียงตั้งแต่ 60 เสียงขึ้นไป ฝ่ายเดโมแครตจึงสามารถสกัดไม่ให้ผ่านได้สำเร็จ
เดโมแครตนั้นคัดค้านร่างกฎหมายนี้ รวมทั้งร่างงบประมาณฉบับใหญ่ที่เป็นต้นเรื่องของการไม่ลงรอยกันระหว่าง 2 พรรค