F-20 Tigershark ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ F-16

1. ที่มาของ F-20: การต่อยอดจาก F-5 Freedom Fighter
จุดเริ่มต้น (1960s): สหรัฐฯ ต้องการเครื่องบินขับไล่ขนาดเล็ก ราคาไม่แพง สำหรับใช้เองและส่งออกขายต่างประเทศ และได้เลือกแนวคิดของ Northrop คือ F-5 Freedom Fighter ซึ่งเป็นเครื่องบินที่คล่องแคล่วและใช้งานง่าย
บทบาทสำคัญ: F-5 ถูกใช้ในสงครามเวียดนาม และที่โด่งดังที่สุดคือการเป็น เครื่องบิน Aggressor จำลองบทบาทเป็น MiG ในการฝึกซ้อมกับ F-14 และ F-15 โดยพิสูจน์ให้เห็นว่ามันยังคงสูสีเมื่ออยู่ในระยะสายตา
การอัพเกรด: ในปี 1970 F-5 ถูกอัพเกรดเป็น F-5E Tiger II และในช่วงกลางทศวรรษ 1970s มีการวางแผนอัพเกรดเพิ่มเติมเพื่อยกระดับสู่ มาตรฐานยุคที่สี่ ซึ่งคือโครงการ F-20
2. กำเนิดโครงการ FX และ F-20
ข้อจำกัดทางการเมือง (1970s): การเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศ เช่น การปรับความสัมพันธ์กับจีน ทำให้สหรัฐฯ เข้มงวดกับการขายอาวุธขั้นสูง (เช่น ปฏิเสธการขาย F-5G ให้ไต้หวัน) ทำให้เกิด ช่องว่างในตลาด อาวุธที่คู่แข่งจากยุโรปและโซเวียตเข้ามาเติมเต็ม
โครงการ FX (1980): กองทัพสหรัฐฯ เสนอโครงการ "FX" เพื่อสร้างเครื่องบินขับไล่ส่งออกที่ทันสมัย (คล้าย F-5 ที่อัพเกรด) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง แต่สามารถจำกัดภัยคุกคามได้หากถูกใช้ต่อต้านสหรัฐฯ โครงการนี้ได้รับทุนจาก บริษัทเอกชนทั้งหมด
คู่แข่งในโครงการ:
General Dynamics: เสนอ F-16/79 (F-16A ที่เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ J79 ที่ถูกกว่า)
Northrop: เสนอ F-5G (ต่อมาคือ F-20)
การเปลี่ยนชื่อและการออกแบบ: เมื่อไต้หวันถูกปฏิเสธ F-5G และไปสร้าง F-CK-1 เอง ทำให้ Northrop ได้รับอนุญาตให้ออกแบบเครื่องบินที่ มีความสามารถสูงขึ้นมาก เพื่อแข่งกับ F-16A โดยตรง ในปี 1982 จึงเปลี่ยนชื่อเป็น F-20 Tigershark
3. คุณสมบัติและสมรรถนะของ F-20 Tigershark
โครงสร้างและการควบคุม:
ใช้วัสดุผสม (Fiberglass/Composites) เพื่อลดน้ำหนัก
มีการเพิ่มส่วนขยายที่ปีกด้านหน้า (Leading Edge Extensions) และแพนหางระดับที่ ใหญ่ขึ้น 30%
เครื่องบินถูกออกแบบให้มีความ ไม่เสถียรเล็กน้อย (คล้าย F-16) เพื่อให้มีสมรรถนะการเลี้ยวที่ดีขึ้น โดยทำอัตราการเลี้ยวได้ 11.5 องศา/วินาที (ใกล้เคียง F-16 ที่ 12.8 องศา/วินาที)
ใช้ระบบควบคุมการบิน Fly-by-Wire
เครื่องยนต์และประสิทธิภาพ:
เปลี่ยนจากเครื่องยนต์คู่ J85s เป็นเครื่องยนต์เดี่ยว General Electric F404 (ตัวเดียวกับ F/A-18 Hornet)
เครื่องยนต์นี้ให้แรงขับมากกว่าเครื่องยนต์คู่เดิมถึง 70% และถูกอ้างว่าเป็นเครื่องยนต์ที่เชื่อถือได้ที่สุด
ความเร็วสูงสุดเกิน Mach 2.0
มี พิสัยการบินที่ไกล (กว่า 2,000 ไมล์โดยไม่เติมเชื้อเพลิง)
ห้องนักบินและระบบอิเล็กทรอนิกส์:
ติดตั้งเรดาร์ AN/APG-67 ที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งในภารกิจอากาศสู่อากาศและอากาศสู่พื้น
มีจอแสดงผลบนกระจกหน้า (HUD), จอ DED (Data Entry Display) และ MFD (Multi-Function Displays) สองจอ
มีระบบ HOTAS (Hands-On Throttle-And-Stick) ที่ซับซ้อนขึ้น
รูปลักษณ์ของห้องนักบินและการแสดงผลบน MFD มีความคล้ายคลึงกับ F/A-18 Hornet
อาวุธและความได้เปรียบ:
สามารถใช้อาวุธหลากหลาย เช่น Maverick, Mark 80, Sidewinder, Sparrow และปืนใหญ่คู่
จุดเด่นสำคัญ: F-20 สามารถติดตั้งขีปนาวุธ AIM-7 Sparrow ได้ ทำให้มีขีดความสามารถในการต่อสู้นอกระยะสายตา (Beyond Visual Range - BVR) ซึ่งเป็นสิ่งที่ F-16 ในยุคนั้นยังทำได้ไม่แพร่หลาย
ความรวดเร็วในการเตรียมพร้อม: F-20 อ้างว่ามี Scramble Time ที่เร็วที่สุด สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์และพร้อมทะยานขึ้นฟ้าได้ในเวลา ไม่ถึง 1 นาที
4. ราคาและปัญหาข้อจำกัด
ราคา: F-20 มีราคาเพียง 10.7 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกกว่าคู่แข่งมาก (F-16A ประมาณ $13 ล้าน, F-15 ประมาณ $30 ล้าน)
ข้อจำกัด: โครงสร้างเครื่องบินยังคงมีข้อจำกัดเรื่องแรงยกในการบินมาตรฐาน ทำให้ จำกัดพิสัยบินและความสามารถในการบรรทุกน้ำหนัก
ลูกค้า: มีประเทศที่สนใจสั่งซื้อ เช่น บาห์เรน และ เกาหลีใต้
5. ปัจจัยที่ทำให้โครงการถูกยกเลิก
การกีดกันของรัฐบาล (1983): รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มให้เงินสนับสนุนโดยตรงแก่การพัฒนาเครื่องบิน IAI Lavi ของอิสราเอล ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ F-20 ทำให้ Northrop ไม่พอใจอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาต้องลงทุนด้วยเงินตนเองถึง $750 ล้าน (สุดท้ายลงทุนไป $1.2 พันล้าน)
การควบคุมการตลาด: Northrop ถูกผูกมัดตามสัญญาให้การตลาดทั้งหมดต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐบาล ซึ่งใช้เวลานานมาก และกระทรวงการต่างประเทศก็ แสดงความไม่สนใจในการขาย F-20 อย่างชัดเจน
คำกล่าวอ้างของรัฐบาล: เจ้าหน้าที่ระดับสูงระบุว่า F-20 เป็นเพียง เครื่องมือทางนโยบายต่างประเทศ ความสำเร็จทางการค้าเป็นเรื่องรอง
การเลือก F-16 แทน F-20:
กองทัพเรือสหรัฐฯ: เมื่อสภาคองเกรสสั่งให้พิจารณาเครื่องบินน้ำหนักเบาสำหรับบทบาท Aggressor/ฝึกซ้อม (สื่อถึง F-20) กองทัพเรือกลับเลือก F-16 รุ่นที่ปรับแต่งมา โดยมีข่าวลือว่ามีการขาย F-16 ให้ในราคาต่ำกว่าตลาดเพื่อกีดกัน F-20
หน่วยพิทักษ์แห่งชาติทางอากาศ (Air National Guard): ในปี 1986 เงื่อนไขสำคัญที่ลูกค้าต่างชาติต้องการคือ การนำ F-20 ไปใช้งานในสหรัฐฯ แต่หน่วยพิทักษ์แห่งชาติกลับเลือก F-16C (ซึ่งสามารถติดตั้ง AIM-7 ได้เช่นกัน)
การยุติโครงการ: หลังจากการพ่ายแพ้ซ้ำๆ และขายไม่ได้เลย Northrop จึงตัดสินใจ ยุติโครงการในปี 1986 เนื่องจากกลัวผลกระทบทางกฎหมายและการยกเลิกสัญญา B-2 Spirit ที่สำคัญกว่า

F-20 Tigershark ที่ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ F-16
จุดเริ่มต้น (1960s): สหรัฐฯ ต้องการเครื่องบินขับไล่ขนาดเล็ก ราคาไม่แพง สำหรับใช้เองและส่งออกขายต่างประเทศ และได้เลือกแนวคิดของ Northrop คือ F-5 Freedom Fighter ซึ่งเป็นเครื่องบินที่คล่องแคล่วและใช้งานง่าย
บทบาทสำคัญ: F-5 ถูกใช้ในสงครามเวียดนาม และที่โด่งดังที่สุดคือการเป็น เครื่องบิน Aggressor จำลองบทบาทเป็น MiG ในการฝึกซ้อมกับ F-14 และ F-15 โดยพิสูจน์ให้เห็นว่ามันยังคงสูสีเมื่ออยู่ในระยะสายตา
การอัพเกรด: ในปี 1970 F-5 ถูกอัพเกรดเป็น F-5E Tiger II และในช่วงกลางทศวรรษ 1970s มีการวางแผนอัพเกรดเพิ่มเติมเพื่อยกระดับสู่ มาตรฐานยุคที่สี่ ซึ่งคือโครงการ F-20
2. กำเนิดโครงการ FX และ F-20
ข้อจำกัดทางการเมือง (1970s): การเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศ เช่น การปรับความสัมพันธ์กับจีน ทำให้สหรัฐฯ เข้มงวดกับการขายอาวุธขั้นสูง (เช่น ปฏิเสธการขาย F-5G ให้ไต้หวัน) ทำให้เกิด ช่องว่างในตลาด อาวุธที่คู่แข่งจากยุโรปและโซเวียตเข้ามาเติมเต็ม
โครงการ FX (1980): กองทัพสหรัฐฯ เสนอโครงการ "FX" เพื่อสร้างเครื่องบินขับไล่ส่งออกที่ทันสมัย (คล้าย F-5 ที่อัพเกรด) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง แต่สามารถจำกัดภัยคุกคามได้หากถูกใช้ต่อต้านสหรัฐฯ โครงการนี้ได้รับทุนจาก บริษัทเอกชนทั้งหมด
คู่แข่งในโครงการ:
General Dynamics: เสนอ F-16/79 (F-16A ที่เปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ J79 ที่ถูกกว่า)
Northrop: เสนอ F-5G (ต่อมาคือ F-20)
การเปลี่ยนชื่อและการออกแบบ: เมื่อไต้หวันถูกปฏิเสธ F-5G และไปสร้าง F-CK-1 เอง ทำให้ Northrop ได้รับอนุญาตให้ออกแบบเครื่องบินที่ มีความสามารถสูงขึ้นมาก เพื่อแข่งกับ F-16A โดยตรง ในปี 1982 จึงเปลี่ยนชื่อเป็น F-20 Tigershark
3. คุณสมบัติและสมรรถนะของ F-20 Tigershark
โครงสร้างและการควบคุม:
ใช้วัสดุผสม (Fiberglass/Composites) เพื่อลดน้ำหนัก
มีการเพิ่มส่วนขยายที่ปีกด้านหน้า (Leading Edge Extensions) และแพนหางระดับที่ ใหญ่ขึ้น 30%
เครื่องบินถูกออกแบบให้มีความ ไม่เสถียรเล็กน้อย (คล้าย F-16) เพื่อให้มีสมรรถนะการเลี้ยวที่ดีขึ้น โดยทำอัตราการเลี้ยวได้ 11.5 องศา/วินาที (ใกล้เคียง F-16 ที่ 12.8 องศา/วินาที)
ใช้ระบบควบคุมการบิน Fly-by-Wire
เครื่องยนต์และประสิทธิภาพ:
เปลี่ยนจากเครื่องยนต์คู่ J85s เป็นเครื่องยนต์เดี่ยว General Electric F404 (ตัวเดียวกับ F/A-18 Hornet)
เครื่องยนต์นี้ให้แรงขับมากกว่าเครื่องยนต์คู่เดิมถึง 70% และถูกอ้างว่าเป็นเครื่องยนต์ที่เชื่อถือได้ที่สุด
ความเร็วสูงสุดเกิน Mach 2.0
มี พิสัยการบินที่ไกล (กว่า 2,000 ไมล์โดยไม่เติมเชื้อเพลิง)
ห้องนักบินและระบบอิเล็กทรอนิกส์:
ติดตั้งเรดาร์ AN/APG-67 ที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งในภารกิจอากาศสู่อากาศและอากาศสู่พื้น
มีจอแสดงผลบนกระจกหน้า (HUD), จอ DED (Data Entry Display) และ MFD (Multi-Function Displays) สองจอ
มีระบบ HOTAS (Hands-On Throttle-And-Stick) ที่ซับซ้อนขึ้น
รูปลักษณ์ของห้องนักบินและการแสดงผลบน MFD มีความคล้ายคลึงกับ F/A-18 Hornet
อาวุธและความได้เปรียบ:
สามารถใช้อาวุธหลากหลาย เช่น Maverick, Mark 80, Sidewinder, Sparrow และปืนใหญ่คู่
จุดเด่นสำคัญ: F-20 สามารถติดตั้งขีปนาวุธ AIM-7 Sparrow ได้ ทำให้มีขีดความสามารถในการต่อสู้นอกระยะสายตา (Beyond Visual Range - BVR) ซึ่งเป็นสิ่งที่ F-16 ในยุคนั้นยังทำได้ไม่แพร่หลาย
ความรวดเร็วในการเตรียมพร้อม: F-20 อ้างว่ามี Scramble Time ที่เร็วที่สุด สามารถสตาร์ทเครื่องยนต์และพร้อมทะยานขึ้นฟ้าได้ในเวลา ไม่ถึง 1 นาที
4. ราคาและปัญหาข้อจำกัด
ราคา: F-20 มีราคาเพียง 10.7 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกกว่าคู่แข่งมาก (F-16A ประมาณ $13 ล้าน, F-15 ประมาณ $30 ล้าน)
ข้อจำกัด: โครงสร้างเครื่องบินยังคงมีข้อจำกัดเรื่องแรงยกในการบินมาตรฐาน ทำให้ จำกัดพิสัยบินและความสามารถในการบรรทุกน้ำหนัก
ลูกค้า: มีประเทศที่สนใจสั่งซื้อ เช่น บาห์เรน และ เกาหลีใต้
5. ปัจจัยที่ทำให้โครงการถูกยกเลิก
การกีดกันของรัฐบาล (1983): รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มให้เงินสนับสนุนโดยตรงแก่การพัฒนาเครื่องบิน IAI Lavi ของอิสราเอล ซึ่งเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ F-20 ทำให้ Northrop ไม่พอใจอย่างมาก เนื่องจากพวกเขาต้องลงทุนด้วยเงินตนเองถึง $750 ล้าน (สุดท้ายลงทุนไป $1.2 พันล้าน)
การควบคุมการตลาด: Northrop ถูกผูกมัดตามสัญญาให้การตลาดทั้งหมดต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐบาล ซึ่งใช้เวลานานมาก และกระทรวงการต่างประเทศก็ แสดงความไม่สนใจในการขาย F-20 อย่างชัดเจน
คำกล่าวอ้างของรัฐบาล: เจ้าหน้าที่ระดับสูงระบุว่า F-20 เป็นเพียง เครื่องมือทางนโยบายต่างประเทศ ความสำเร็จทางการค้าเป็นเรื่องรอง
การเลือก F-16 แทน F-20:
กองทัพเรือสหรัฐฯ: เมื่อสภาคองเกรสสั่งให้พิจารณาเครื่องบินน้ำหนักเบาสำหรับบทบาท Aggressor/ฝึกซ้อม (สื่อถึง F-20) กองทัพเรือกลับเลือก F-16 รุ่นที่ปรับแต่งมา โดยมีข่าวลือว่ามีการขาย F-16 ให้ในราคาต่ำกว่าตลาดเพื่อกีดกัน F-20
หน่วยพิทักษ์แห่งชาติทางอากาศ (Air National Guard): ในปี 1986 เงื่อนไขสำคัญที่ลูกค้าต่างชาติต้องการคือ การนำ F-20 ไปใช้งานในสหรัฐฯ แต่หน่วยพิทักษ์แห่งชาติกลับเลือก F-16C (ซึ่งสามารถติดตั้ง AIM-7 ได้เช่นกัน)
การยุติโครงการ: หลังจากการพ่ายแพ้ซ้ำๆ และขายไม่ได้เลย Northrop จึงตัดสินใจ ยุติโครงการในปี 1986 เนื่องจากกลัวผลกระทบทางกฎหมายและการยกเลิกสัญญา B-2 Spirit ที่สำคัญกว่า