มิน่าแต่ละธนาคารตู้เสียหรือยกเลิกตั้งตู้ใหม่เพราะ ไลเซนส์’ ตู้ ATM สีขาว' ที่ไม่ได้เป็นของแบงก์ใดแบงก์หนึ่ง หวังช่วยลดต้นทุนจัดการธนบัตรทั้งระบบ
ธปท.เปิดแผนทางการพัฒนาระบบการชำระเงินระยะ 3-5 ปีข้างหน้า รองรับนวัตกรรมเทคโนโลยีในอนาคต มุ่งยกระดับ 3 ด้าน มองภายใต้แผนช่วยลดการใช้เงินสดเหลือ 10-20% จาก 31% ในปี 67 หนุนเอสเอ็มอีใช้ระบบชำระเงินดิจิทัลผ่าน PromptBiz พร้อมเดินหน้าลดต้นทุนจัดการเงินสด จ่อเสนอคลังออกใบอนุญาต WSM หรือ ตู้ ATM สีขาว ต้นปี 69
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้เผยแพร่รายงาน ”ทิศทางการพัฒนาระบบการชำระเงิน ภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทย” หรือ Payment Directional Paperเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการชำระเงินไทย และเตรียมความพร้อมสำหรับนวัตกรรมการชำระเงินในอนาคตระยะ 3-5 ปีข้างหน้า (ปี 2568-2573) เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ ภายใต้แผนดังกล่าว จะมีกรอบการพัฒนาด้วยกัน 3 ด้าน คือ 1.การต่อยอดจากระบบการชำระเงินในปัจจุบัน โดยยกระดับระบบพร้อมเพย์ให้มีนวัตกรรมและบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกกลุ่มมากขึ้น 2.การยกระดับระบบบาทเนต (BAHTNET) โดยวางรากฐานของระบบบาทเนตให้สามารถปรับตัว ยืดหยุ่นและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความเสี่ยงในโลกอนาคต ซึ่งในปี 2569 จะมีพิมพ์เขียวออกมาในเรื่องของบาทเนต
และ 3.การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับนวัตกรรมการชำระเงินในอนาคต ผ่านการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน และ Tokenization ควบคู่การป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ใช้งานและระบบการเงิน โดยธปท.จะมีการปรับปรุงกติกาเพื่อรองรับเทคโนโลยีเพย์เมนต์ เช่น การลดระยะเวลาการทอสอบใน Sandbox ให้มีความรวดเร็วขึ้น เป็นต้น
“ธปท.อยากเห็นคนที่ไม่เคยใช้ดิจิทัลเข้ามาใช้มากขึ้น เช่น เอสเอ็มอี ผ่าน PromptBiz ซึ่งจะช่วยในเรื่องของข้อมูล และขยายไปสู่การของสินเชื่อในอนาคต และระวังกลุ่มบางกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ ที่อาจจะไม่ได้คุ้นเคยกับเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี คาดว่าภายใต้แผนระบบการชำระเงินดังกล่าว จะส่งผลให้การใช้เงินสดทยอยปรับลดลงเหลือ 10-20% ภายในระยะเวลา 5 ปี หากดูสัดส่วนการใช้เงินสดของไทยทยอยลดลงในปี 2567 เหลือ 31%”
นางสาวดารณี กล่าวเพิ่มเติมว่า โดยในช่วงที่ผ่านมาธปท.ได้วางโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งระบบ “พร้อมเพย์” ถือเป็น Game Changer ที่เปิดโอกาสให้คนเข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้น จะเห็นว่าในช่วงปลายปี 2560 จนถึงปัจจุบันการใช้ระบบการชำระเงินดิจิทัล (Digital Payment) เติบโตค่อนข้างมาก โดยมีคนใช้ต่อครั้งต่อปีอยู่ที่ 650 ล้านครั้งต่อปี ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เพราะเป็นระบบ Fast Payment
ขณะที่ปริมาณธุรกรรมผ่าน Mobile/Internet Banking เพิ่มขึ้น 25 เท่า มีปริมาณธุรกรรมธุรกรรมพร้อมเพย์ สูงสุดถึง 95 ล้านรายการต่อวัน และมูลค่าธุรกรรม e-Money เพิ่มขึ้น 12 เท่า ปัจจุบันอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาท และร้านค้ามีปริมาณธุรกรรมรับชำระเงินด้วย QR เพิ่มขึ้น 33 เท่า นับจากที่เริ่มให้บริการปี 62 โดยปัจจุบันอยู่ที่ 4,900 ล้านรายการ
และมูลค่าธุรกรรมชำระเงินด้วย Card เพิ่มขึ้น 40% ปัจจุบันอยู่ที่ 2.1 ล้านล้านบาท จำนวนจุดรับชำระเงิน เพิ่มขึ้น 2.4 ล้านจุด เป็น 3.1 ล้านจุด จากเดิมที่มีเพียง 7 แสนจุด มูลค่าการถอนเงินสดที่สาขา และตู้ ATM ลดลง 34% ปัจจุบันอยู่ที่ 25 ล้านล้านบาท รวมถึงปริมาณการใช้เช็ค ลดลง 43% ปัจจุบันอยู่ที่ 64 ล้านรายการ
“ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่เริ่มมีระบบพร้อมเพย์ เมื่อปลายปี 2560 ประเทศไทยมีความก้าวหน้าไปค่อนข้างมาก ในปี 2564 มีสัดส่วนการใช้เงินสด 63% และใช้ digital payment 37% ส่วนปี 2566 สัดส่วนการใช้เงินสด ลดลงมาเหลือ 54% และการใช้ digital payment ขยับเพิ่มเป็น 46% โดยล่าสุดในปี 2567 การใช้เงินสด ลดลงมาอยู่ที่ 31% และการใช้ digital payment เพิ่มขึ้นเป็น 66% โดยระบบพร้อมเพย์ มีสัดส่วนการใช้ถึง 41% ใน digital payment ซึ่งนับว่าในประเทศไทย นิยมใช้พร้อมเพย์มากเป็นอันดับ 1 ของ fast payment
นายณพงศ์ธวัช โพธิกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภายใต้แผน “การพัฒนาระบบการชำระเงิน” ธปท.วางแผนเพิ่มประสิทธิภาพบริหารการบริหารจัดการเงินสด เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้เงินสดลดลง เพราะหากมีการใช้เงินสดน้อยลง จะทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการต่อหน่วยสูงขึ้น จึงต้องบริหารจัดการโดยการเพิ่มผู้เล่นใหม่เข้ามา
ทั้งนี้ ภายในต้นปี 2569 ธปท. จะเสนอกระทรวงการคลัง เพื่อให้ออกประกาศกำหนดการให้ใบอนุญาตการให้บริการ White-label Smart Machine (WSM) หรือ ตู้ ATM สีขาว จะเป็นโครงสร้างกลาง เพื่อให้ธนาคารสามารถมาใช้ระบบได้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนเงินสดทั้งระบบได้...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/finance/news-1893988
ธปท.เปิดแผนยกระดับระบบการชำระเงิน คาด 3-5 ปี คนใช้เงินสดลดเหลือ 10-20%
ธปท.เปิดแผนทางการพัฒนาระบบการชำระเงินระยะ 3-5 ปีข้างหน้า รองรับนวัตกรรมเทคโนโลยีในอนาคต มุ่งยกระดับ 3 ด้าน มองภายใต้แผนช่วยลดการใช้เงินสดเหลือ 10-20% จาก 31% ในปี 67 หนุนเอสเอ็มอีใช้ระบบชำระเงินดิจิทัลผ่าน PromptBiz พร้อมเดินหน้าลดต้นทุนจัดการเงินสด จ่อเสนอคลังออกใบอนุญาต WSM หรือ ตู้ ATM สีขาว ต้นปี 69
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท.ได้เผยแพร่รายงาน ”ทิศทางการพัฒนาระบบการชำระเงิน ภายใต้ภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทย” หรือ Payment Directional Paperเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบการชำระเงินไทย และเตรียมความพร้อมสำหรับนวัตกรรมการชำระเงินในอนาคตระยะ 3-5 ปีข้างหน้า (ปี 2568-2573) เพื่อให้สอดคล้องกับบริบทไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ ภายใต้แผนดังกล่าว จะมีกรอบการพัฒนาด้วยกัน 3 ด้าน คือ 1.การต่อยอดจากระบบการชำระเงินในปัจจุบัน โดยยกระดับระบบพร้อมเพย์ให้มีนวัตกรรมและบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกกลุ่มมากขึ้น 2.การยกระดับระบบบาทเนต (BAHTNET) โดยวางรากฐานของระบบบาทเนตให้สามารถปรับตัว ยืดหยุ่นและเท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความเสี่ยงในโลกอนาคต ซึ่งในปี 2569 จะมีพิมพ์เขียวออกมาในเรื่องของบาทเนต
และ 3.การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับนวัตกรรมการชำระเงินในอนาคต ผ่านการส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน และ Tokenization ควบคู่การป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ใช้งานและระบบการเงิน โดยธปท.จะมีการปรับปรุงกติกาเพื่อรองรับเทคโนโลยีเพย์เมนต์ เช่น การลดระยะเวลาการทอสอบใน Sandbox ให้มีความรวดเร็วขึ้น เป็นต้น
“ธปท.อยากเห็นคนที่ไม่เคยใช้ดิจิทัลเข้ามาใช้มากขึ้น เช่น เอสเอ็มอี ผ่าน PromptBiz ซึ่งจะช่วยในเรื่องของข้อมูล และขยายไปสู่การของสินเชื่อในอนาคต และระวังกลุ่มบางกลุ่ม เช่น ผู้สูงอายุ ที่อาจจะไม่ได้คุ้นเคยกับเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี คาดว่าภายใต้แผนระบบการชำระเงินดังกล่าว จะส่งผลให้การใช้เงินสดทยอยปรับลดลงเหลือ 10-20% ภายในระยะเวลา 5 ปี หากดูสัดส่วนการใช้เงินสดของไทยทยอยลดลงในปี 2567 เหลือ 31%”
นางสาวดารณี กล่าวเพิ่มเติมว่า โดยในช่วงที่ผ่านมาธปท.ได้วางโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งระบบ “พร้อมเพย์” ถือเป็น Game Changer ที่เปิดโอกาสให้คนเข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้น จะเห็นว่าในช่วงปลายปี 2560 จนถึงปัจจุบันการใช้ระบบการชำระเงินดิจิทัล (Digital Payment) เติบโตค่อนข้างมาก โดยมีคนใช้ต่อครั้งต่อปีอยู่ที่ 650 ล้านครั้งต่อปี ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น เพราะเป็นระบบ Fast Payment
ขณะที่ปริมาณธุรกรรมผ่าน Mobile/Internet Banking เพิ่มขึ้น 25 เท่า มีปริมาณธุรกรรมธุรกรรมพร้อมเพย์ สูงสุดถึง 95 ล้านรายการต่อวัน และมูลค่าธุรกรรม e-Money เพิ่มขึ้น 12 เท่า ปัจจุบันอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาท และร้านค้ามีปริมาณธุรกรรมรับชำระเงินด้วย QR เพิ่มขึ้น 33 เท่า นับจากที่เริ่มให้บริการปี 62 โดยปัจจุบันอยู่ที่ 4,900 ล้านรายการ
และมูลค่าธุรกรรมชำระเงินด้วย Card เพิ่มขึ้น 40% ปัจจุบันอยู่ที่ 2.1 ล้านล้านบาท จำนวนจุดรับชำระเงิน เพิ่มขึ้น 2.4 ล้านจุด เป็น 3.1 ล้านจุด จากเดิมที่มีเพียง 7 แสนจุด มูลค่าการถอนเงินสดที่สาขา และตู้ ATM ลดลง 34% ปัจจุบันอยู่ที่ 25 ล้านล้านบาท รวมถึงปริมาณการใช้เช็ค ลดลง 43% ปัจจุบันอยู่ที่ 64 ล้านรายการ
“ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่เริ่มมีระบบพร้อมเพย์ เมื่อปลายปี 2560 ประเทศไทยมีความก้าวหน้าไปค่อนข้างมาก ในปี 2564 มีสัดส่วนการใช้เงินสด 63% และใช้ digital payment 37% ส่วนปี 2566 สัดส่วนการใช้เงินสด ลดลงมาเหลือ 54% และการใช้ digital payment ขยับเพิ่มเป็น 46% โดยล่าสุดในปี 2567 การใช้เงินสด ลดลงมาอยู่ที่ 31% และการใช้ digital payment เพิ่มขึ้นเป็น 66% โดยระบบพร้อมเพย์ มีสัดส่วนการใช้ถึง 41% ใน digital payment ซึ่งนับว่าในประเทศไทย นิยมใช้พร้อมเพย์มากเป็นอันดับ 1 ของ fast payment
นายณพงศ์ธวัช โพธิกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ภายใต้แผน “การพัฒนาระบบการชำระเงิน” ธปท.วางแผนเพิ่มประสิทธิภาพบริหารการบริหารจัดการเงินสด เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้เงินสดลดลง เพราะหากมีการใช้เงินสดน้อยลง จะทำให้ต้นทุนการบริหารจัดการต่อหน่วยสูงขึ้น จึงต้องบริหารจัดการโดยการเพิ่มผู้เล่นใหม่เข้ามา
ทั้งนี้ ภายในต้นปี 2569 ธปท. จะเสนอกระทรวงการคลัง เพื่อให้ออกประกาศกำหนดการให้ใบอนุญาตการให้บริการ White-label Smart Machine (WSM) หรือ ตู้ ATM สีขาว จะเป็นโครงสร้างกลาง เพื่อให้ธนาคารสามารถมาใช้ระบบได้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนเงินสดทั้งระบบได้...
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1893988