อธิบาย 5 คำศัพท์เศรษฐกิจ ที่คุณศุภจี พูดชี้แจงนโยบายต่อสภาฯ /โดย ลงทุนแมน

เมื่อวานที่ผ่านมา คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ได้สวมบทบาทใหม่ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จากเดิมที่เคยเห็นในบทบาท CEO ของดุสิตธานี

ซึ่งคุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ ก็ได้พูดเรื่องเศรษฐกิจที่น่าสนใจหลายเรื่อง โดยหนึ่งในนั้นคือ มาตรการรับมือการค้ากับสหรัฐอเมริกา

แต่เรื่องนี้ก็มีคำศัพท์เศรษฐกิจอย่างน้อย 5 คำด้วยกัน ที่ให้เราได้มาเรียนรู้กันว่า มันแปลว่าอะไรบ้าง ?

https://www.facebook.com/share/p/17GtbYorjp/?mibextid=wwXIfr


แล้ว 5 คำที่ว่านี้มีอะไรบ้าง ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

1. “Certificate of Origin”

คำนี้แปลเป็นไทยคือ ใบรับรองว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า ซึ่งถ้าบอกแค่นี้ ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าคำนี้แปลว่าอะไรกันแน่

ถ้าพูดง่าย ๆ มันคือใบรับรองที่บอกว่า สินค้าส่งออกของเรา ใช้วัตถุดิบจากในประเทศตัวเองหรือประเทศในข้อตกลงทางการค้าในสัดส่วนที่กำหนดเอาไว้

ซึ่งถ้าไม่ได้สัดส่วนตามที่ตกลงกันไว้ และถ้าเราส่งออกสินค้าไปประเทศต่าง ๆ ก็จะไม่ได้สิทธิพิเศษทางภาษีอะไรเลย

แต่ในโลกปัจจุบัน เราคงไม่มีทางใช้วัตถุดิบแค่ของประเทศตัวเองหรือประเทศในข้อตกลงทางการค้าที่ทำไว้แน่ ๆ แต่ละประเทศจึงอาจมีทางออกอีกอย่างที่เรียกว่า ST

ST คือการที่เราสามารถใช้วัตถุดิบนอกเหนือจากนี้ได้ แต่ต้องมีการแปรรูปวัตถุดิบนั้นเสียก่อน ถึงจะสามารถรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า ว่ามาจากประเทศของเราจริง ๆ ได้

สรุปแล้ว ใบรับรองว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า คือ ใบที่บอกว่าสินค้าส่งออกนั้นมาจากประเทศของเราจริง ๆ ผ่านการใช้วัตถุดิบของตัวเอง, ประเทศในข้อตกลง หรือประเทศอื่น แต่มีการแปรรูปบางส่วนแล้วนั่นเอง


2. มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด หรือ AD

พูดง่าย ๆ คือ เป็นมาตรการที่เราใช้เมื่อมีสินค้าส่งออกจากประเทศหนึ่ง ดันมีราคาส่งออกน้อยกว่าราคาสินค้าจากภายในประเทศนั้น จนเกิดความเสียหายกับธุรกิจของประเทศผู้นำเข้า

ตัวอย่างเช่น ถ้าประเทศ A ส่งออกสินค้ามาประเทศ B ราคา 40 บาท แต่ราคาสินค้านั้นในประเทศ A มีราคา 50 บาท ประเทศ A ก็อาจเข้าข่ายการทุ่มตลาดในประเทศ B

ดังนั้น ประเทศ B ก็สามารถใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด หรือ AD ได้ เช่น การขึ้นภาษีตอบโต้


3. มาตรการตอบโต้การอุดหนุน หรือ CVD

มาตรการนี้ก็ตรงตัวเลย เพราะถ้าธุรกิจของประเทศที่ส่งออกมาหาเรา ได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากรัฐ ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เราก็สามารถตอบโต้ได้

เช่น รัฐบาลของประเทศส่งออกสินค้าต้นทาง ให้เงินอุดหนุนผู้ส่งออกรถยนต์ เพื่อให้สามารถหั่นราคารถยนต์ที่ส่งออกลงได้

โดยการตอบโต้นี้ จะเรียกเก็บเพิ่มเติมเป็นจำนวนเงินต่อหน่วย เช่น การเรียกเก็บเพิ่ม 1 บาท จากสินค้านั้นทุก ๆ 1 ชิ้นนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การอุดหนุนที่ว่านี้ก็ต้องเป็นการโดนอุดหนุนแบบเฉพาะเจาะจงในอุตสาหกรรมนั้น ๆ จึงจะถือว่าประเทศผู้ส่งออกสินค้านั้นมีการโดนอุดหนุนจริง ๆ


4. มาตรการการปกป้อง หรือ SG

มาตรการนี้ก็ตรงตัวเหมือนกัน เพราะเราใช้เมื่อมีสินค้านำเข้าทะลักเข้ามา จนเกิดความเสียหายกับอุตสาหกรรมภายในประเทศอย่างร้ายแรง

โดยมาตรการนี้ จะสามารถทำได้ 3 แบบด้วยกัน เช่น การเก็บภาษี, การจำกัดโควตานำเข้า หรืออื่น ๆ ที่สามารถใช้ได้ชั่วคราว 200 วัน ไปจนถึงมากสุด 4 ปี

ซึ่งเหตุผลที่มีการจำกัดเวลาใช้ ก็เพราะว่าเป็นมาตรการที่ใช้เพื่อให้ผู้ผลิตในประเทศมีเวลาปรับตัว และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุดในตอนนั้นแทน


5. มาตรการตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน หรือ AC

คำนี้ดูยาวหน่อย แต่จริง ๆ เป็นมาตรการที่เราใช้ เพื่อตอบโต้การหลบเลี่ยงของประเทศต่าง ๆ ที่โดนมาตรการ AD หรือ CVD ในข้อ 2 และ 3 ก่อนหน้านี้

เพราะบางครั้ง ผู้ผลิตหรือผู้ส่งออกที่โดนมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดหรือการอุดหนุน อาจทำอะไรบางอย่างกับสินค้าส่งออกของตัวเอง เพื่อไม่ให้โดนเก็บภาษีตอบโต้นี้

ตัวอย่างเช่น การดัดแปลงสินค้าเล็กน้อย การส่งออกสินค้าผ่านประเทศที่สาม หรือการนำเข้าสินค้าที่ยังทำ
ไม่เสร็จ มาผลิตให้เสร็จในประเทศที่เรียกเก็บภาษีตอบโต้

การทำแบบนี้ ก็ต้องมีการสอบสวนต่อว่า มีการจงใจใช้มาตรการหลีกเลี่ยงแบบนี้ไหม ซึ่งถ้ามี ก็จะโดนเก็บภาษีกับสินค้าที่พยายามจงใจหลีกเลี่ยงพวกนี้เพิ่มเติม

ทั้งหมดนี้ ก็เป็นคำศัพท์เศรษฐกิจที่น่าสนใจของคุณศุภจี
ที่ได้พูดต่อรัฐสภาฯ เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นมาตรการที่จะมารองรับการส่งออกของไทยให้แข่งขันกับต่างประเทศได้ดีขึ้น

ในทางกลับกัน มาตรการเหล่านี้ก็สามารถใช้เพื่อปกป้องผู้ส่งออกหรือผู้ผลิตภายในประเทศได้ เพื่อไม่ให้ธุรกิจไทย เกิดความเสียหายไปมากกว่านี้..

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่