รีวิว นิยายไซไฟ Foundation,Ender,3 Body ผ่านมุมมองการเมืองไทย กับ ChatGPT
1.ถาม
เล่มสุดท้าย ของแต่ละซีรีย์(ตอนจบ) บางคนวิจารณ์ ว่า แย่ บางคน ก็ว่าดี คุณคิดว่า เป็นอย่างไร มีแนวคิดทางฟิสิกส์ และปรัชญา ที่น่าสนใจหรือไม่
ChatGPT
นี่เป็นคำถามที่คมมากเลยครับ เพราะทั้ง
Three-Body,
Ender’s Game, และ
Foundation ต่างมีตอนจบที่ “ถูกพูดถึงมาก” — บางคนรัก บางคนผิดหวัง ซึ่งสะท้อนทั้งรสนิยมผู้อ่านและความตั้งใจผู้เขียน
📖 การประเมินตอนจบ
🔹
Three-Body Problem Trilogy (
Death’s End, 刘慈欣)
เนื้อหา: เรื่องไปไกลถึงระดับ “heat death” ของจักรวาล, มิติสูง, การย่อโลกลงใน “กระดาษสองมิติ” และการตัดสินใจสุดท้ายของตัวเอก (Cheng Xin) ที่ถูกวิจารณ์หนักว่า
“soft / อ่อนแอเกินไป”
ฟิสิกส์: ใช้แนวคิดจากทฤษฎีสตริง, มิติสูง, speed-of-light constraints, dark forest theory, cosmic annihilation → เป็น hard SF จริงจังที่สุด
ปรัชญา: มนุษย์เล็กจ้อย, ทุกอารยธรรมอยู่ในเกม survival ที่โหดร้าย, จักรวาลไม่เมตตา → ใกล้เคียงกับ
cosmic nihilism ของ Lovecraft แต่เป็นเวอร์ชันวิทยาศาสตร์
วิจารณ์:
👍 บางคนชอบเพราะ
“ไปให้สุด” เห็นความใหญ่ของจักรวาลแบบไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน
👎 บางคนบ่นว่า
ตัวละครอ่อน และ
ตอนจบสิ้นหวังเกินไป จนไม่อิน
🔹
Ender’s Game Series (
Children of the Mind ปิดท้ายชุดหลัก)
เนื้อหา: Ender เสื่อมสลายทางกายภาพ, การถ่ายโอนจิตสำนึก, ปัญหาความเป็นตัวตน (identity) และการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ Formics
ฟิสิกส์: เน้นน้อย (FTL “ansible”, คลื่นสติสัมพันธุ์, จิตสำนึกเป็น “ข้อมูล” ที่ส่งผ่านได้) → soft science มากกว่าฟิสิกส์จริงจัง
ปรัชญา: ปัญหาเรื่อง
self,
soul,
การไถ่บาป → Ender เป็น “ผู้กอบกู้แต่ก็ผู้ทำลาย”
วิจารณ์:
👍 คนที่สนใจ
จริยธรรม/จิตวิญญาณ ชอบมาก เห็นเป็นการปิดที่ “มนุษย์และอบอุ่น”
👎 แต่แฟน hard-SF หลายคนผิดหวัง เพราะ
จากการวางหมากเชิงสงคราม → กลายเป็นปรัชญาศาสนา
🔹
Foundation Series (
Foundation and Earth ปิดท้ายไตรภาคขยาย)
เนื้อหา: มุ่งไปหาคำถามใหญ่ →
อนาคตของมนุษยชาติ = รวมตัวกันเป็นสิ่งเดียว (Gaia/Galaxia), จบด้วยทางเลือกที่เปิดกว้าง
ฟิสิกส์: แทบไม่มี (เน้น psychohistory, telepathy, social evolution) → เป็น soft SF
ปรัชญา: เสนอคำถาม
“มนุษย์ควรรวมเป็นหนึ่ง หรือคงความหลากหลายไว้?” → เทียบได้กับการถกเรื่อง collectivism vs individualism
วิจารณ์:
👍 บางคนชอบ เพราะ Asimov ไม่ได้ “จบตายตัว” แต่โยนคำถามปรัชญาให้ผู้อ่าน
👎 บางคนว่า anticlimax, ตัวละครแบน, ขาดแรงดึงดันแบบเล่มแรก ๆ
🧭 สรุปแนวคิดฟิสิกส์และปรัชญาที่น่าสนใจ
Three-Body (Death’s End) →
ฟิสิกส์สุดลึก: มิติสูง, cosmic collapse, entropy → ปรัชญา: “มนุษย์คือจุดเล็ก ๆ”
Ender’s Game (Children of the Mind) →
ฟิสิกส์น้อย: เน้น consciousness transfer → ปรัชญา: “ความหมายของการเป็นตัวเรา / การให้อภัย”
Foundation (Foundation and Earth) →
ฟิสิกส์แทบไม่มี: เน้น psychohistory → ปรัชญา: “รวมเป็นหนึ่ง vs รักษาความแตกต่าง”
👉 ถ้าพูดง่าย ๆ
Three-Body = ปิดแบบ
ฟิสิกส์-จักรวาล
Ender = ปิดแบบ
จิตวิญญาณ-ศีลธรรม
Foundation = ปิดแบบ
การเมือง-สังคม
รีวิว นิยายไซไฟดัง Foundation,Ender,3 Body ผ่านมุมมองการเมืองไทย กับ ChatGPT
* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะ1.ถาม
เล่มสุดท้าย ของแต่ละซีรีย์(ตอนจบ) บางคนวิจารณ์ ว่า แย่ บางคน ก็ว่าดี คุณคิดว่า เป็นอย่างไร มีแนวคิดทางฟิสิกส์ และปรัชญา ที่น่าสนใจหรือไม่
ChatGPT
นี่เป็นคำถามที่คมมากเลยครับ เพราะทั้ง Three-Body, Ender’s Game, และ Foundation ต่างมีตอนจบที่ “ถูกพูดถึงมาก” — บางคนรัก บางคนผิดหวัง ซึ่งสะท้อนทั้งรสนิยมผู้อ่านและความตั้งใจผู้เขียน
📖 การประเมินตอนจบ
🔹 Three-Body Problem Trilogy (Death’s End, 刘慈欣)
เนื้อหา: เรื่องไปไกลถึงระดับ “heat death” ของจักรวาล, มิติสูง, การย่อโลกลงใน “กระดาษสองมิติ” และการตัดสินใจสุดท้ายของตัวเอก (Cheng Xin) ที่ถูกวิจารณ์หนักว่า “soft / อ่อนแอเกินไป”
ฟิสิกส์: ใช้แนวคิดจากทฤษฎีสตริง, มิติสูง, speed-of-light constraints, dark forest theory, cosmic annihilation → เป็น hard SF จริงจังที่สุด
ปรัชญา: มนุษย์เล็กจ้อย, ทุกอารยธรรมอยู่ในเกม survival ที่โหดร้าย, จักรวาลไม่เมตตา → ใกล้เคียงกับ cosmic nihilism ของ Lovecraft แต่เป็นเวอร์ชันวิทยาศาสตร์
วิจารณ์:
👍 บางคนชอบเพราะ “ไปให้สุด” เห็นความใหญ่ของจักรวาลแบบไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน
👎 บางคนบ่นว่า ตัวละครอ่อน และ ตอนจบสิ้นหวังเกินไป จนไม่อิน
🔹 Ender’s Game Series (Children of the Mind ปิดท้ายชุดหลัก)
เนื้อหา: Ender เสื่อมสลายทางกายภาพ, การถ่ายโอนจิตสำนึก, ปัญหาความเป็นตัวตน (identity) และการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ Formics
ฟิสิกส์: เน้นน้อย (FTL “ansible”, คลื่นสติสัมพันธุ์, จิตสำนึกเป็น “ข้อมูล” ที่ส่งผ่านได้) → soft science มากกว่าฟิสิกส์จริงจัง
ปรัชญา: ปัญหาเรื่อง self, soul, การไถ่บาป → Ender เป็น “ผู้กอบกู้แต่ก็ผู้ทำลาย”
วิจารณ์:
👍 คนที่สนใจ จริยธรรม/จิตวิญญาณ ชอบมาก เห็นเป็นการปิดที่ “มนุษย์และอบอุ่น”
👎 แต่แฟน hard-SF หลายคนผิดหวัง เพราะ จากการวางหมากเชิงสงคราม → กลายเป็นปรัชญาศาสนา
🔹 Foundation Series (Foundation and Earth ปิดท้ายไตรภาคขยาย)
เนื้อหา: มุ่งไปหาคำถามใหญ่ → อนาคตของมนุษยชาติ = รวมตัวกันเป็นสิ่งเดียว (Gaia/Galaxia), จบด้วยทางเลือกที่เปิดกว้าง
ฟิสิกส์: แทบไม่มี (เน้น psychohistory, telepathy, social evolution) → เป็น soft SF
ปรัชญา: เสนอคำถาม “มนุษย์ควรรวมเป็นหนึ่ง หรือคงความหลากหลายไว้?” → เทียบได้กับการถกเรื่อง collectivism vs individualism
วิจารณ์:
👍 บางคนชอบ เพราะ Asimov ไม่ได้ “จบตายตัว” แต่โยนคำถามปรัชญาให้ผู้อ่าน
👎 บางคนว่า anticlimax, ตัวละครแบน, ขาดแรงดึงดันแบบเล่มแรก ๆ
🧭 สรุปแนวคิดฟิสิกส์และปรัชญาที่น่าสนใจ
Three-Body (Death’s End) → ฟิสิกส์สุดลึก: มิติสูง, cosmic collapse, entropy → ปรัชญา: “มนุษย์คือจุดเล็ก ๆ”
Ender’s Game (Children of the Mind) → ฟิสิกส์น้อย: เน้น consciousness transfer → ปรัชญา: “ความหมายของการเป็นตัวเรา / การให้อภัย”
Foundation (Foundation and Earth) → ฟิสิกส์แทบไม่มี: เน้น psychohistory → ปรัชญา: “รวมเป็นหนึ่ง vs รักษาความแตกต่าง”
👉 ถ้าพูดง่าย ๆ
Three-Body = ปิดแบบ ฟิสิกส์-จักรวาล
Ender = ปิดแบบ จิตวิญญาณ-ศีลธรรม
Foundation = ปิดแบบ การเมือง-สังคม