เรื่องเขากระโดงนั้น สืบเนื่องจากว่าเมื่อวานคุยกับเพื่อน แล้วเพื่อนก็โพล่งในวงทานอาหาร
ว่าทำไม คนที่มีอำนาจเรื่องนี้มัวแต่รำมวยอยู่นั่นแหละ ไม่เพิกถอนกรรมสิทธิ์ที่ชาวบ้านได้ไปรวมทั้งที่ตระกูลชิดชอบ
ได้ไปสักที กรณีเขากระโดง อะไรมันค้ำคออยู่ คือเขาพูดในทำนอง
คุณก็ทำตามคำพิพากษาศาลฎีกาสิครับ
คำพิพากษามันค้ำคออยู่นะ ทำไมทะลึ่งไม่ทำตามคำพิพากษา คุณจะไม่ทำตามคำพิพากษาหรือ?
อยากถามเพื่อนๆพี่ๆที่แม่นกฎหมายว่า ผู้มีอำนาจรัฐบาลชุดก่อน รวมทั้งฝ่ายกรมที่ดิน ฝ่ายกระทรวงมหาดไทยกลัวอะไร?
และวันนี้ตามข่าว แถลงนโยบายรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยก็พูดเวิ่นเว้อเป็นเท็จบางคนบอกเพ้อเจ้ออีกตามรูปนี้ใช่หรือไม่?
ปล.ด้านล่างรูปมีคนส่งมาให้ผมทางไลน์ว่า สรุปมันเป็นดังที่คนส่งให้หรือไม่ครับว่า มันอีลุงตุงนังเพราะแบบนี้? (ยาวหน่อย จะแบ่งเป็นตอนๆให้อ่านครับ)
ที่มา Facebook: วิเคราะห์บอลจริงจัง
ข้อพิพาทที่ดินเขากระโดงคืออะไร จุดเริ่มต้นมาจากไหน และปลายทางของเรื่องนี้จะออกมาในรูปแบบไหนได้บ้าง
สนามฟุตบอลช้าง อารีน่า ของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ สนาม ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่ใช้แข่งโมโตจีพี จะต้องถูกทุบทิ้งหรือไม่
ผมขออนุญาตลำดับเรื่องให้ฟังตั้งแต่แรก แบบเข้าใจง่ายที่สุดนะครับ เมื่ออ่านจบแล้ว คุณผู้อ่านสามารถพิจารณาเองได้เลย ว่าควรให้เรื่องนี้ "จบอย่างไร" ถึงจะสวยที่สุด
จุดเริ่มต้นของมหากาพย์เขากระโดง ต้องย้อนกลับไป ในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อปี พ.ศ.2462 หรือเมื่อ 106 ปีที่แล้ว
ณ เวลานั้น ประเทศไทย ต้องการสร้างทางรถไฟสายใหม่ในเขตอีสานใต้ จากโคราชไปถึงอุบลราชธานี
ในปี 2464 "กรมรถไฟ" ในสมัยนั้น (ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นการรถไฟแห่งประเทศไทย ณ ปัจจุบันนี้) จึงทำการเวนคืน ไล่ซื้อที่ดิน ในเขตตำบลอิสาณ และ ตำบลเสม็ด ในอำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ จากชาวบ้านเป็นจำนวน 5,083 ไร่ เพื่อเอามาทำทางรถไฟ
บริเวณใกล้เคียงจุดที่การรถไฟซื้อที่ดิน มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญคือ วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง และพื้นที่ตรงนี้เอง ที่เราจะเรียกกันในภายหลังว่า "พื้นที่พิพาทเขากระโดง"
ในพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่ 5,083 ไร่ ที่การรถไฟเวนคืนมาได้ แต่พวกเขานำไปใช้งานแค่ส่วนเดียวเท่านั้น สำหรับการทำราง ดังนั้นจึงเหลือพื้นที่รกร้างว่างเปล่ามากมายไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร ชาวบ้านในยุค 80-100 ปีก่อน อาจไม่รู้แน่ชัดว่า พื้นที่ตรงไหนเป็นของการรถไฟบ้าง อาจเพราะเทคโนโลยีไม่พอ หรือ รู้ทั้งรู้ แต่คิดว่าการรถไฟคงไม่ได้มาใส่ใจที่รกร้างเหล่านี้
สุดท้าย พวกเขาจึงเข้ามาใช้ที่ดินในการประกอบเกษตรกรรม และสร้างบ้านอยู่อาศัย
วันนั้น การรถไฟก็ไม่ได้เข้ามาห้ามปรามอะไร ใครอยากใช้พื้นที่ ก็ใช้ไป และไปๆ มาๆ ชาวบ้านก็ค่อยๆ ครอบครองที่ดินเหล่านั้นเป็นของตัวเอง
เมื่ออาศัยอยู่ในที่ดินนั้นไปนานๆ เข้า ชาวบ้านเริ่มต้องการ เอกสารสิทธิ์ ที่ยืนยันว่าตัวเอง คือเจ้าของที่ดินนี้ เพื่อเอาที่ดินไปทำประโยชน์อย่างอื่น เช่น เก็งกำไร ปล่อยเช่า เป็นหลักทรัพย์ทำธุรกรรมการเงิน ฯลฯ
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการ "ใบโฉนด" ให้เป็นเรื่องเป็นราว
และตัวละครที่สำคัญมากของเรื่องนี้คือ "กรมที่ดิน" หน่วยงานจากกระทรวงมหาดไทย ที่เป็นคนกุมอำนาจเรื่องการออกโฉนดในประเทศไทย ปรากฏว่าพวกเขาอนุมัติ ออกเอกสารสิทธิ์ ให้ชาวบ้านจริงๆ รวมแล้วมากกว่า 1 พันฉบับ ในพื้นที่ 5,083 ไร่ของเขตพิพาทเขากระโดง
โดยแบ่งเป็นเอกสารหลายแบบ ทั้ง ส.ค.1, น.ส.3 ก รวมถึงโฉนดที่ดินเต็มรูปแบบ น.ส.4 ครุฑแดง
ปัญหาคือ กรมที่ดิน ออกโฉนดไปให้ชาวบ้าน โดยไม่ได้รับรู้ หรือรู้แต่ไม่ได้สนใจ ว่าพื้นที่ตรงนี้มีเจ้าของอยู่แล้วคือการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งจุดนี้เอง จะนำมาซึ่งปัญหาวุ่นวาย ที่จะตามมาในภายหลัง
เมื่อชาวบ้านมีโฉนดที่ได้รับรองอย่างถูกต้องจากกรมที่ดิน คราวนี้ก็ทำการซื้อขาย เปลี่ยนมือกันมากมาย บางคนจ่ายเงินเป็นล้าน เพื่อให้ได้ครอบครองที่ดินบริเวณนี้มาครอง จะได้เอาไปต่อยอดทำธุรกิจ หรือสร้างที่อยู่อาศัยกันต่อไป
เช่นเดียวกับ ตระกูลชิดชอบ ก็กว้านซื้อที่ดินมาเป็นจำนวนมาก ตั้งแต่ปี 2513 เป็นต้นมา และ ณ ปัจจุบัน ก็ครอบครองพื้นที่โดยตรงอยู่ประมาณ 179 ไร่ ในเขตพิพาทเขากระโดงนี้ และถ้ารวมกับบริษัทที่เกี่ยวพันทางอ้อม ก็มีถึง 288 ไร่ด้วยกัน
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เมื่อชาวบ้านอยู่อาศัยกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก็เริ่มสร้างบ้านแปงเมือง สร้างตึก สร้างร้านอาหาร สร้างโรงแรม จนเมืองพัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด ในเวลาต่อมาอีกหลายปีนับจากนั้น พื้นที่บริเวณเขากระโดงจุดนี้ ตระกูลชิดชอบ ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือไม่ แต่พวกเขาก็เอาที่ดินในเขตพิพาท มาสร้างสนามฟุตบอล ช้าง อารีน่า สนามเหย้าของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
และ ใช้พื้นที่พิพาทส่วนหนึ่ง มาสร้างเป็นช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ซึ่งใช้ในการแข่งระดับโลก โมโตจีพี
จุดเริ่มต้นของดราม่าข้ามทศวรรษ เกิดขึ้นเมื่อการรถไฟแห่งประเทศไทย เข้ามาตรวจสอบพื้นที่พิพาทเขากระโดง และค้นพบว่า อยู่ๆ เอกชนก็เอาที่ดินของตัวเองไปใช้เฉยเลย
เรื่องนี้ จึงกลายเป็นข้อขัดแย้งกันของสองหน่วยงานรัฐ ฝั่งการรถไฟมองว่า นี่คือที่ดินของพวกเขาแน่นอน แต่ฝั่งกรมที่ดินมองว่า ที่ดินว่างเปล่าในสมัยก่อนนั้น พวกเขาก็มีสิทธิ์ออกโฉนดให้ชาวบ้านได้ทำกิน
สุดท้ายต้องส่งเรื่องนี้ไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัย และได้คำตอบว่า ที่ดินทั้งหมดเป็นของการรถไฟ
เรื่องนี้ ส่งผลให้ หลายๆ คนต้องอยู่ในสถานการณ์ลำบากทันที เช่น ประชาชนที่อาศัยในเขตพิพาท สมมุติคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลย วันหนึ่ง เสียเงินซื้อที่ดิน จากนาย A จ่ายเงินไปหลายล้าน เพื่อเอามาสร้างโรงแรมหรู รู้ตัวอีกที การรถไฟดันขอยึดคืน เท่ากับว่าเงินล้านที่จ่ายให้นาย A ไป ก็หายวับไปดื้อๆ เลย โรงแรมหรูที่สร้างไป ก็สร้างบนพื้นที่ของการรถไฟซะงั้น
เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกา ตัดสินให้การรถไฟชนะ พวกเขาระบุว่า ประชาชนทุกคน ในเขตพิพาท จะไม่มีสิทธิ์ถือครองโฉนด เพราะมันคือกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าหากคุณต้องการใช้พื้นที่ต่อ ให้มาเจรจาขอเช่า และจ่ายเงินให้การรถไฟในแต่ละปี
แน่นอนว่าประชาชนในพื้นที่ก็ไม่พอใจ เพราะพวกเขาอยู่ในพื้นที่นี้มาหลายสิบปี เอกสารสิทธิ์ก็มี บางคนก็มีโฉนดด้วยซ้ำ กรมที่ดินซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐเป็นคนออกให้เอง แล้วทำไมวันนี้ จะมาโดนยึดคืนไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้
อีกหนึ่งคดีสำคัญของเคสเขากระโดง เกิดขึ้นในปี 2560 หมายเลขคดี 842-876/2560
มีชาวบ้านบุรีรัมย์จำนวน 35 ราย ที่ถือครองเอกสารสิทธิ์ แบบ ส.ค.1 เป็นโจทก์ฟ้องการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ "บล็อค" ไม่ยอมให้ ชาวบ้านออกโฉนดครุฑแดงได้ปรากฏว่า ศาลทั้งชั้นต้น อุทธรณ์ และฎีกา ตัดสินให้การรถไฟชนะทั้งหมด จากนั้นก็สั่งให้กรมที่ดิน เพิกถอนเอกสารสิทธิ์จากชาวบ้าน 35 รายดังกล่าวได้ทันทีความสำคัญของคดีนี้ มีอยู่ 2 เรื่อง
เรื่องแรก ศาลได้ระบุในคำพิพากษาว่า ไม่ใช่แค่ที่ดินของชาวบ้าน 35 คนเท่านั้น แต่พื้นที่ในเขต 5,083 ไร่ ให้นับว่าเป็นที่ดินของการรถไฟทั้งหมด และถ้าหากการรถไฟ มีการฟ้องร้อง กับชาวบ้านรายอื่น ก็สามารถเอาความจริงตรงนี้ ไปยันเป็นข้อมูลให้ฝั่งการรถไฟได้
และเรื่องที่สอง ศาลระบุว่า ผู้ที่โดนเพิกถอนโฉนด จะมีแค่ชาวบ้าน 35 คนที่เป็นคดีความกันเท่านั้น แต่กับชาวบ้านรายอื่น (ซึ่งก็รวมถึงตระกูลชิดชอบด้วย) ไม่มีการวินิจฉัยว่าต้องโดนเพิกถอนด้วย ว่าง่ายๆ คือ ถ้าการรถไฟอยากชนะชาวบ้านรายอื่น ก็ต้องสู้คดีกันใหม่ตั้งแต่แรก แยกเป็นเคสๆไป
จริงๆ มีแรงกดดันจากฝั่งการรถไฟ ให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดของทุกคนในพื้นที่ 5,083 ไร่ให้หมด
แต่ความซับซ้อนของเรื่องนี้ คือในประเทศไทยนั้น บุคคลเดียวเท่านั้น ที่สามารถ เพิกถอนโฉนดได้ คือ "อธิบดีกรมที่ดิน"
กรณีนี้ อธิบดีกรมที่ดิน จะเพิกถอนโฉนดชาวบ้าน เฉพาะที่มีคำตัดสินจากศาลฎีกามาเรียบร้อยแล้วเท่านั้น (เช่น 35 ประชาชนที่แพ้คดีการรถไฟ) แต่กับคนอื่น 9 ร้อยกว่าคน เมื่อไม่มีคำสั่งจากศาลมา อธิบดีกรมที่ดิน ก็จะไม่เพิกถอนโฉนดแน่นอน
เรื่องราวเลยชุลมุนกันอยู่ตรงนี้ คือศาลฎีการะบุไปแล้ว ว่าที่ดิน 5,083 ไร่เป็นของการรถไฟ แต่เมื่ออธิบดีกรมที่ดินไม่เพิกถอนโฉนดเสียอย่าง ประชาชนบุรีรัมย์ ก็จึงยังสามารถถือครองเอาไว้ต่อไปอยู่แบบนั้น ในปี 2564 การรถไฟแห่งประเทศไทย ไม่พอใจกรมที่ดินอย่างรุนแรง ที่ล้อฟรี ไม่ยอมยกเลิกโฉนดเสียที ทั้งๆ ที่มันชัดเจนอยู่แล้วว่า ที่ดินเป็นการของการรถไฟ ดังนั้นจึงไล่ฟ้องร้องอธิบดีกรมที่ดินกับศาลปกครองกลาง
การรถไฟระบุว่า พวกเขาเสียประโยชน์ปีละ 707 ล้านบาท เพราะถ้าทุกคนที่อยู่อาศัยในพื้นที่พิพาท โดนยึดโฉนดมาให้หมด แล้วจ่ายค่าเช่าให้การรถไฟเป็นรายปีแทน การรถไฟก็จะได้เงินเป็นจำนวนมหาศาล
อย่างไรก็ตาม การเพิกถอนโฉนดจากชาวบ้าน ก็ยังเดินหน้าไม่สำเร็จ โดยนายชยาวุธ จันทร อธิบดีกรมที่ดิน ณ เวลานั้นกล่าวว่า "เราไม่ได้ละเลย แต่เพราะมีผู้ส่วนได้ส่วนเสียเกือบ 1 พันแปลง ถ้าเราจะเพิกถอน ต้องมีข้อมูลที่มั่นใจเพียงพอ เพราะไม่ต้องการให้เกิดการกระทบกระเทือนกับประชาชนที่ถือเอกสารสิทธิ์ ที่กรมที่ดินเป็นผู้ออกให้" ในคดีนี้ ศาลปกครองกลาง ไม่ฟันธง แต่มีคำวินิจฉัยว่า ให้สองฝ่ายไปตั้งคณะกรรมการร่วมกันมา 1 ชุด ตามมาตรา 61 เพื่อหาทางออกว่าจะเอายังไงกับเรื่องนี้ โดยเริ่มจากการรังวัด และสอบเขตที่ดินก่อน ซึ่งในคณะกรรมการ ชุดมาตรา 61 จะไม่มีคนของการรถไฟอยู่ด้วย เพราะกลัวเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และคณะกรรมการมาตรา 61 ใช้เวลาพิจารณา 1 ปี กับอีก 8 เดือน ได้ข้อสรุปออกมาว่า จะไม่เพิกถอนโฉนดของประชาชนบุรีรัมย์
สำหรับสถานการณ์เรื่องเขากระโดง เดินหน้าอย่างรวดเร็ว ในเดือนช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากการเปลี่ยนขั้วอำนาจในกระทรวงมหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคเพื่อไทย
นายภูมิธรรม เวชยชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนใหม่ และ นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยกระทรวงมหาดไทย ได้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมา และในเวลา 8 วันเท่านั้น ก็ได้ข้อสรุป โดยพวกเขาสั่งให้กรมที่ดิน เดินหน้าเพิกถอนโฉนดของชาวบ้านในพื้นที่พิพาทให้เร็วที่สุด
นายเดชอิศม์ กล่าวว่า "ทำไมกรมที่ดิน ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลฎีกา นอกจากไม่ปฏิบัติตามแล้ว ยังปฎิบัติตรงข้าม ค้านสายตาชาวไทย ค้านสายตาผู้พิพากษา"เมื่อมีข่าวว่าจะโดนเพิกถอนโฉนด เรื่องนี้สร้างความหวั่นไหวให้กับชาวบ้านในเขตพื้นที่พิพาทเป็นอย่างมาก พวกเขารู้สึกว่า ตัวเองอยู่อาศัยที่แห่งนี้มาหลายสิบปีแล้ว ช่วยพัฒนาที่ดินจนมีมูลค่า แล้ววันหนึ่งโดนรัฐยึดไปดื้อๆ แบบนี้ มุมของชาวบ้านก็รู้สึกว่าไม่แฟร์เหมือนกัน
มัวแต่รออยู่นั่น ไม่เพิกถอนกรรมสิทธิ์เรื่องกรณีเขากระโดง (ทำไมมัวแต่รำมวยอยู่นั่นไม่ชก)
ว่าทำไม คนที่มีอำนาจเรื่องนี้มัวแต่รำมวยอยู่นั่นแหละ ไม่เพิกถอนกรรมสิทธิ์ที่ชาวบ้านได้ไปรวมทั้งที่ตระกูลชิดชอบ
ได้ไปสักที กรณีเขากระโดง อะไรมันค้ำคออยู่ คือเขาพูดในทำนอง คุณก็ทำตามคำพิพากษาศาลฎีกาสิครับ
คำพิพากษามันค้ำคออยู่นะ ทำไมทะลึ่งไม่ทำตามคำพิพากษา คุณจะไม่ทำตามคำพิพากษาหรือ?
อยากถามเพื่อนๆพี่ๆที่แม่นกฎหมายว่า ผู้มีอำนาจรัฐบาลชุดก่อน รวมทั้งฝ่ายกรมที่ดิน ฝ่ายกระทรวงมหาดไทยกลัวอะไร?
และวันนี้ตามข่าว แถลงนโยบายรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยก็พูดเวิ่นเว้อเป็นเท็จบางคนบอกเพ้อเจ้ออีกตามรูปนี้ใช่หรือไม่?
ปล.ด้านล่างรูปมีคนส่งมาให้ผมทางไลน์ว่า สรุปมันเป็นดังที่คนส่งให้หรือไม่ครับว่า มันอีลุงตุงนังเพราะแบบนี้? (ยาวหน่อย จะแบ่งเป็นตอนๆให้อ่านครับ)