เกือบ 50% ‘ผู้สูงอายุแบกหนี้’ ไร้เงินออม 50 ปี เริ่มทำงานลดลง
สังคมคาดหวังและจับตาสูงเมื่อมีชื่อ “ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” มาเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรมว.การคลัง ในรัฐบาลนายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล แน่นอนโจทย์สำคัญภายใต้รัฐบาลระยะเวลาสั้น เป็นเรื่อง “เศรษฐกิจ”
แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธที่จะหนีเรื่องของการรับมือ “สังคมสูงวัย” เพราะเชื่อมโยงอย่างมากถึงภาคเศรษฐกิจ ในวันที่ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ขณะที่คนไทยยังเผชิญภาวะ “แก่ก่อนรวย”
เกือบ 50% ไร้เงินออม-มีหนี้
ปี 2566 ประเทศไทยกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีผู้สูงอายุมากกว่า 20%ของประชากร มีเด็กราว 16% วัยแรงงาน 63.6% ส่วนปี 2576 ผู้สูงอายุมากกว่า 28% เด็กราว 14% วัยแรงงาน 57.86% และปี 2583 ผู้สูงอายุ 31.37% คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ เด็กราว 12.79% วัยแรงงาน 55.83%
ผู้สูงอายุเกือบครึ่ง ไม่มีเงินออม รวมถึง เกือบครึ่งที่ตนเองและหรือครอบครัวมีหนี้ ขณะที่ แหล่งรายได้ผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่ 35.7% จากบุตร รองลงมา 33.9% จากการทำงาน และ 13.3% เบี้ยยังชีพ และการมีส่วนร่วมในแรงงานเริ่มลดลงอย่างชัดเจนช่วง 50-55 ปี ผู้หญิงเริ่มลดลงตั้งแต่ อายุ 50 ปี และผู้ชายตั้งแต่ 55 ปี เป็นการสะท้อนแนวโน้มการลดลงของการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานตั้งแต่กลุ่ม pre-aged
ในช่วงปี 2558-2566 มีสัดส่วนผู้สูงอายุทำงาน เฉลี่ย 36.5% หรือราว 4.4 ล้านคนต่อปี รายได้จากการทำงานของผู้สูงอายุ ราว 6.1 แสนล้านบาท และแนวโน้มในปี 2567-2576 สัดส่วนผู้สูงอายุทำงานสูงขึ้น เฉลี่ยเป็น 37% คาดว่าจะถึง 6.6 ล้านคนในปี 2576 โดยรายได้จากการทำงานของผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 8.8 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ภายหลังมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรี(ครม.)ชุดใหม่ หนึ่งในนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภา ในมิติด้านสังคมหวังว่าคงจะมีเรื่องของการรองรับ “สังคมผู้สูงอายุ”ด้วย ภายใต้การนำทัพของ“นายกฯอนุทิน” ที่เป็นอดีตรมว.สธ. รวมกับ “เอกนิติ”รองนายกฯและรมว.คลัง ที่สมัยเป็นนักศึกษาวปอ.รุ่น 66 ทำวิจัยเรื่องสังคมสูงวัย
อ่านต่อ:
https://www.bangkokbiznews.com/health/social/1200607
เกือบ 50% ‘ผู้สูงอายุแบกหนี้’ ไร้เงินออม 50 ปี เริ่มทำงานลดลง
สังคมคาดหวังและจับตาสูงเมื่อมีชื่อ “ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” มาเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรมว.การคลัง ในรัฐบาลนายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล แน่นอนโจทย์สำคัญภายใต้รัฐบาลระยะเวลาสั้น เป็นเรื่อง “เศรษฐกิจ”
แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธที่จะหนีเรื่องของการรับมือ “สังคมสูงวัย” เพราะเชื่อมโยงอย่างมากถึงภาคเศรษฐกิจ ในวันที่ประเทศไทยเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ขณะที่คนไทยยังเผชิญภาวะ “แก่ก่อนรวย”
เกือบ 50% ไร้เงินออม-มีหนี้
ปี 2566 ประเทศไทยกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีผู้สูงอายุมากกว่า 20%ของประชากร มีเด็กราว 16% วัยแรงงาน 63.6% ส่วนปี 2576 ผู้สูงอายุมากกว่า 28% เด็กราว 14% วัยแรงงาน 57.86% และปี 2583 ผู้สูงอายุ 31.37% คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ เด็กราว 12.79% วัยแรงงาน 55.83%
ผู้สูงอายุเกือบครึ่ง ไม่มีเงินออม รวมถึง เกือบครึ่งที่ตนเองและหรือครอบครัวมีหนี้ ขณะที่ แหล่งรายได้ผู้สูงอายุ ส่วนใหญ่ 35.7% จากบุตร รองลงมา 33.9% จากการทำงาน และ 13.3% เบี้ยยังชีพ และการมีส่วนร่วมในแรงงานเริ่มลดลงอย่างชัดเจนช่วง 50-55 ปี ผู้หญิงเริ่มลดลงตั้งแต่ อายุ 50 ปี และผู้ชายตั้งแต่ 55 ปี เป็นการสะท้อนแนวโน้มการลดลงของการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงานตั้งแต่กลุ่ม pre-aged
ในช่วงปี 2558-2566 มีสัดส่วนผู้สูงอายุทำงาน เฉลี่ย 36.5% หรือราว 4.4 ล้านคนต่อปี รายได้จากการทำงานของผู้สูงอายุ ราว 6.1 แสนล้านบาท และแนวโน้มในปี 2567-2576 สัดส่วนผู้สูงอายุทำงานสูงขึ้น เฉลี่ยเป็น 37% คาดว่าจะถึง 6.6 ล้านคนในปี 2576 โดยรายได้จากการทำงานของผู้สูงอายุเพิ่มเป็น 8.8 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ ภายหลังมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรี(ครม.)ชุดใหม่ หนึ่งในนโยบายรัฐบาลที่จะแถลงต่อรัฐสภา ในมิติด้านสังคมหวังว่าคงจะมีเรื่องของการรองรับ “สังคมผู้สูงอายุ”ด้วย ภายใต้การนำทัพของ“นายกฯอนุทิน” ที่เป็นอดีตรมว.สธ. รวมกับ “เอกนิติ”รองนายกฯและรมว.คลัง ที่สมัยเป็นนักศึกษาวปอ.รุ่น 66 ทำวิจัยเรื่องสังคมสูงวัย
อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/health/social/1200607