แซมมวล มอร์ส(ค.ศ.1791-1872) ผู้คิดโทรเลข พระเจ้าได้ดลบันดาลใจเขา

(หน้าปก)
แซมมวล มอร์ส
ผู้คิดโทรเลข

(แผ่นรองหน้าปก1)
แซมมวล มอร์ส ผู้คิดโทรเลข

โดย

วิลมา พิทชฟอร์ด เฮส์

วิภา จุลชาต

แปลจาก

Samuel Morse and the Electronic Age by Wilma Pitchford Hays

สำนักพิมพ์ก้าวหน้า

จัดพิมพ์สำหรับบรรณาธิการ

"นิตยสารเสรีภาพ"

(แผ่นรองหน้าปก2)
แซมมวล มอร์ส ผู้คิดโทรเลข
พิมพ์ครั้งแรก...สิงหาคม 2512

คัดลอกบางส่วนHighlight
(หน้า3)
บทที่1 วัยเด็ก(ชีวิตในเยาว์วัย)
เมื่อวันที่ 27 เมษายน ค.ศ.1791 เอลิซาเบท ภรรยาของคุณพ่อเจดิเดีย มอร์ส ได้ให้กำเนิดแก่บุตรชาย ณ บ้านพักพระประจำนิกาย เฟิร์สท์คอนกรีเกชั่นแนล ที่เชิงเนินเขาบรีดสฮิลเมืองชาร์ลทาวน์ มลรัฐแมสสาชูเซท หนูน้อยเป็นบุตรคนแรกของทั้งสอง เขาจึงตั้งชื่อให้ด้วยชื่อจากทั้งฝ่ายมารดาและบิดา คือ แซมมวล ฟินลีย์ บรีส มอร์ส ทั้งคู่มีความหวังว่าบุตรชายของเขา คงจะได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เมื่อเติบโตขึ้น บางทีอาจจะเป็นพระเหมือนพ่อของพ่อหนูน้อย หรืออธิการวิทยาลัยเช่นเดียวกับตา คือ ดร.แซมมวล ฟินลีย์ แห่งปริ้นซตัน

(หน้า15)
ในเวลานั้น แซมมวลไม่สามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่เขาเรียนที่เยล จะเป็นรากฐานของความคิดที่ยิ่งใหญ่ของเขาในอนาคต เขารู้แต่เพียงว่า เขาตื่นเต้นกับการทดลอง ที่แสดงในชั้นของศาสตราจารย์เดย์

ในการทดลองวันหนึ่ง กระแสไฟฟ้าถูกปล่อยผ่านโซ่ในห้องมืด มองเห็นกระแสไฟระหว่างโซ่แต่ละห่วง และเมื่อวงจร (ทางเดินของไฟฟ้า) ถูกตัดโดยกระดาษที่พับซ้อนๆกัน กระแสไฟก็เจาะทะลุกระดาษ มอร์ส แทบจะไม่เชื่อว่าพลังซึ่งไม่มีตัวตนหรือรูปร่าง ได้เจาะกระดาษจริงๆ แต่เขาก็ได้เห็นรอยเจาะนั้นด้วยตาของเขาเอง

การทดลองเหล่านี้ประทับอยู่ในความทรงจำของมอร์สถึงยี่สิบสองปี และความรู้ที่เขาได้วันนั้น จะเป็นเสมือนประกายไฟที่จะไปจุดจินตนาการของเขา ให้ลุกโพลงขึ้นสำหรับประดิษฐกรรมชิ้นสำคัญของเขา คือโทรเลข ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมหน้าของการคมนาคมทั่วโลก

(หน้า39-43)
ขณะนั้นเมื่อ มอร์สได้ยิน ดร.แจ๊คสัน พูดว่า เห็นกระแสไฟฟ้าตามลวดเวลาที่วงจรถูกตัด มอร์ส ก็เกิดมีความคิดที่น่าตื่นเต้นจนเขาพูดขึ้นโดยเร็วว่า

"ถ้าทำให้เห็นกระแสไฟฟ้าได้ในส่วนไหนก็ตามของวงจร ผมเชื่อแน่ว่า คงจะใช้กระแสไฟฟ้าส่งข่าวได้โดยฉับพลัน"

คนอื่นๆที่โต๊ะเพียงแต่พยักหน้าแล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อ มอร์สเห็นได้ว่าไม่มีใครสักคนที่ตื่นเต้นกับคำพูดของเขา หรือเข้าใจความคิดที่แล่นผ่านสมองของเขา แต่จินตนาการของจิตรกรกำลังแล่นไปอย่างรวดเร็ว

เขานึกย้อนหลังไปถึงเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่มหาวิทยาลัยเยล ครั้งที่ศาสตราจารย์เดย์ปิดหน้าต่างให้ห้องเรียนมืด เขาจำได้ว่านั่งจ้องดูอาจารย์ ปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านโซ่ และเห็นพลังของกระแสไฟ หลังจากนั้น เขาได้เห็นกระแสไฟฟ้าผ่านกระดาษที่พับไว้ และทิ้งร่องรอยไว้เป็นจุดๆเท่าหัวเข็มหมุด

นอกจากนั้น มอร์ส ยังจำพลังอันน่าพิศวงของไฟฟ้าที่ได้ศึกษาจากคำบรรยายของศาสตราจารย์ดานา ก่อนจะเดินทางจากนิวยอร์คได้ดี และเขาก็คิดหาวิธีการใหม่ที่จะเอาพลังนั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์

ความคิดของแซมมวล มอร์สแล่นปราดจนทำให้รู้สึกเหมือนกับถูกไฟดูด ใจของเขาเต้นแรงและเขาอยากจะเลี่ยงจากเพื่อนร่วมโต๊ะไปหาที่คิดตามลำพัง เขาจึงลุกจากโต๊ะอาหารขึ้นไปบนดาดฟ้าและเดินกลับไปกลับมา

เขารู้สึกตื่นเต้นกับช่องทางต่างๆที่ได้จากความคิดที่แล่นเข้ามาในสมองของเขา แม้เขาจะรู้ว่านักประดิษฐ์ส่วนมากต้องใช้เวลาหลายปีแก้ไขปรับปรุงความคิดอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ความคิดของเขาเองดูสมบูรณ์และชัดแจ้งสำหรับเขา ในเวลานั้น เจ้าความคิดที่เกิดขึ้นกับเขาราวสายฟ้าแลบนี้จะวิเศษและสำคัญต่อโลกเท่าที่เขาคิดไว้หรือไม่หนอ

ตลอดชีวิตเขา แซมมวล มอร์ส เชื่อว่า พระเจ้าได้สร้างพลังธรรมชาติขึ้นเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ หากมนุษย์ค้นพบวิธีที่จะนำเอามันมาใช้ และบัดนี้ เขาเชื่อมั่นว่าความคิดของเขา เรื่องการติดต่ออย่างรวดเร็วทันใจนี้ เป็นการใช้พลังไฟฟ้าที่ถูกต้อง และพระเจ้าได้ดลบันดาลใจเขา ให้เกิดความคิดนี้

(หน้า45-47)
คืนนั้น มอร์สแทบจะไม่ได้นอน เขาแก้ไขปรับปรุงแบบแปลนของเขาตลอดวันรุ่งขึ้นและวันถัดไป ตอนรับประทานอาหารเช้า เขาอวดร่างความคิดของเขา เรื่องโทรเลข ต่อเพื่อนๆ เป็นร่างที่ต่อมา เขาทำตามแทบทุกอย่าง ในการประดิษฐ์โทรเลข

เขาเชื่อมั่นว่าความคิดของเขาจะเป็นผลสำเร็จมากจนเขาบอกกับกัปตันเพลล์ก่อนที่เรือจะเทียบท่าว่า "กัปตันครับถ้าคุณเกิดได้ยินเขาพูดถึงโทรเลขกันวันหนึ่งว่า เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกล่ะก็จำไว้ด้วยว่า การค้นพบมันเกิดขึ้นบนเรือซูยี่นี่แหละ"

เมื่อเรือซูยี่เข้าเทียบท่า เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ.1832 (พ.ศ.2375) น้องชายของมอร์สทั้งสองคนมารอรับเขาอยู่ ทั้งสามคนยังไม่ทันจะทักทายกันดี แซมมวลก็เล่าให้ ริชาร์ดและซิดนีย์ฟังถึงประดิษฐกรรมของเขา แล้วเขาควักเอาสมุดโน้ตจากกระเป๋าที่เขาวาดแบบแปลนและรหัสพยัญชนะต่างๆ

เขาบอกกับน้องชายของเขาอย่างตื่นเต้นว่า "มันจะต้องใช้การได้ พี่รู้ว่ามันจะต้องใช้การได้ และทั้งโลกจะประหลาดใจในความรวดเร็วของการส่งข่าวโดยไฟฟ้า"

(หน้า57)
เขาบอกกับน้องชายของเขาว่า "พี่จะไม่มีวันหายอัศจรรย์ใจที่พระเจ้าได้ทรงเลือกเอามือของพี่เป็นผู้ดำเนินการตามความประสงค์ของพระองค์ เป็นเวลานานมาแล้วที่พระเจ้าให้นักวิทยาศาสตร์ ผู้ทรงคุณวุฒิคนแล้วคนเล่า ได้ค้นพบพลังจากธรรมชาติ แต่กับพี่พระเจ้าได้ทรงมอบงานที่จะผลิตจากการค้นพบเหล่านั้น เครื่องมือที่จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติทั้งหมดเกินกว่าที่เขาจะใฝ่ฝันเอาไว้เสียอีก"

(หน้า135)
แซมมวล มอร์ส ถือ โทรเลขฉบับแรก ที่ส่งโดยเครื่องส่งโทรเลข อีเลคโทรแมคเนติก รีคอร์ดดิ้ง เทเลกราฟ โดยสายกลางแจ้งแห่งแรกในโลกไว้ในมือ เขากล่าวเกี่ยวกับข้อความของโทรเลขว่า "ข้อความนี้เป็นคำรับรองโทรเลขอเมริกันด้วยพระนามของผู้สร้าง"

มอร์สเชื่อมาเสมอว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโทรเลขขึ้นและตัวมอร์สเองเป็นเพียงผู้ดำเนินงานแทนพระองค์ ในการนำเอาของขวัญที่มีประโยชน์มาสู่ชาวโลก

(หน้า203-205)
มอร์สได้ออกปรากฏตัวเป็นทางการครั้งสุดท้ายในเดือนมกราคม ค.ศ.1872 เขาได้รับเชิญไปเปิดอนุสาวรีย์ของเบ็นจามิน แฟรงคลิน ในพิธีที่จัตุรัสโรงพิมพ์ หน้าศาลากลางนครนิวยอร์ค เมื่อถึงวันสำคัญนั้น มอร์สไม่สบายเป็นหวัดแต่เขาก็ยืนยันที่จะไป

ผู้ว่าการมลรัฐแมสสาชูเซ็ทท์ รัฐเกิดของมอร์สได้ส่งโทรเลขไปยังสถานที่ประกอบพิธี มีข้อความว่า "มลรัฐแมสสาชูเซ็ทท์ ขอให้เกียรติแก่ชาวแมสสาชูเซ็ทท์สองคน คือแฟรงคลินและมอร์ส คนแรกนำเอาไฟฟ้าลงมาจากท้องฟ้าได้โดยปลอดภัย คนหลังนำมันลอดใต้มหาสมุทรจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่ง คนหนึ่งบังคับไฟฟ้า อีกคนหนึ่งนำเอามันมาใช้เพื่อสนองความต้องการและเพื่อความเจริญของมนุษย์"

สองสามเดือนต่อมา ในวันที่ 2 เมษายน แซมมวล มอร์ส ได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคปอดบวม

หนังสือพิมพ์ "นิวยอร์กเฮรัลด์" เขียนว่า "รู้สึกว่ามอร์ส จะเป็นชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงเกียรติคุณโด่งดังที่สุดในสมัยของเขา" หนังสือพิมพ์เมืองลุยส์วิลล์ "คูเรีย เจอร์นัล" กล่าวว่า "คนสำคัญที่สุดของศตวรรษที่19 ได้ถึงแก่กรรมเสียแล้ว แต่งานสำคัญที่เขาได้รับมอบหมายในชีวิตของเขา ได้สำเร็จเรียบร้อย"

(หน้าปกหลัง)
แซมมวล มอร์ส ผู้คิดโทรเลข

โดย วิลมา พิทชฟอร์ด เฮส์

วิภา จุลชาต ผู้แปล

แม้ แซมมวล มอร์ส จะมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะเป็นจิตรกร แต่การเปลี่ยนแนวดำเนินชีวิตมาเป็นนักประดิษฐ์ในระยะหลัง ได้นำความมีชื่อเสียงโด่งดังยิ่งกว่ามาสู่เขา เพราะประดิษฐกรรมที่เขาคิดขึ้นได้นั้น มีความสำคัญต่อมนุษยชาติอย่างใหญ่หลวงหาที่เปรียบมิได้ ประดิษฐกรรมชิ้นนั้น ก็คือ โทรเลข ซึ่งได้มีส่วนสำคัญยิ่งในการเปลี่ยนโฉมหน้าของการคมนาคมทั่วโลก

โปรดคอยอ่าน หนังสือแปลชุด เสรีภาพ เล่มที่ 28

ชาวเกาะนอก โดย นาธาเนียล เบ็นชลีย์

บรรลือ ถิ่นพังงา ผู้แปล

(จบ).

(ภาพประกอบ)
(หน้าปก)

(แผ่นรองหน้าปก1)

(แผ่นรองหน้าปก2)

(หน้า3)

(หน้า15)

(หน้า39-43)



(หน้า45-47)


(หน้า57)

(หน้า135)

(หน้า203-205)


(ปกหลัง)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่