พรรคที่มีคดีติดตัว...อาจเป็นจุดอ่อน : วิเคราะห์หากมีดีล

พรรคมีคดีติดตัว มักตัดสินใจแปลกๆ อธิบายได้ดังนี้
สมมุติ หากมีผู้ต้องการรักษาผลประโยชน์ 10 คน ส่งนาย ก มาดีล
นาย ก บอกว่า มีทางช่วย ทำที่หนัก ให้เป็นเบา
แลกกับ เอาคนโน้นไปทำตำแหน่งนั้น/นี้
-เลือกคนที่นิ่ง ไม่ไปแตะผลประโยชน์ของทั้ง 10 คน
-เลือกคนที่ปั่น ให้ดำเนินการไปอีกทาง
-ให้ถอดตัวเองออกมา ไม่เร่งรัดในเรื่องที่นาย ก กำหนด
 
เหล่านี้ คือ ข้อสันนิษฐาน เกี่ยวกับพรรคที่
มีพฤติกรรมแปลกๆ ไม่กล้าตัดสินใจ นิ่งเฉย ถอยห่าง
จากเรื่องที่ประชาชนวิญญูชนคนทั่วไปใส่ใจให้ความสำคัญ

1. อยู่ดีๆ พรรคประชาชนก็จริงจังกับเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ
จนมองข้ามได้ทุกเรื่อง แม้แต่จริยธรรมนักการเมือง
ซึ่งสวนกระแสความสนใจของวิญญูชน
พรรคนี้มองข้ามหัวใจสำคัญของอาชีพนักการเมือง
คือ ทำประโยชน์ให้ประชาชนก่อน
ประชาชนกำลังจะเดือดร้อน
สิ่งที่พรรคนี้ทำ คือ ละเลย ไม่อินกับปัญหาชายแดน
โดยลืมไปว่า ไม่ใช่แค่ กลไก สว เท่านั้น
ที่เป็นกุญแจแก้รัฐธรรมนูญ
แต่ คือ การทำประชามติ
ด้วยพฤติกรรมพิลึกของพรรค เป็นไปได้ที่จะได้รับการลงโทษสถานเดียว
คือ ผลประชามติที่มีคำตอบว่า
ไม่แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ทุ่มงบประมาณไปกับความว่างเปล่า
เอาไปซื้อเรือดำน้ำ ยังมีประโยชน์กว่า
 
กระแสประชามติจากภาคประชาชนจะมา ก็ต่อเมื่อเห็นผลงานของ สส ก่อน
พรรคนี้ เสียอนาคตทางการเมือง อิงกลุ่ม = ตายหมู่
จิตที่แคบ ย่อมแบกคะแนนเสียงมากมายไว้ไม่ได้

พรรคประชาชนบอกว่า ทำการเมืองแบบจริงใจ ตรงไปตรงมา
แต่กลับยึดติดกับแก้รัฐธรรมนูญ ไม่อินกับปัญหาชายแดน เป็นจุดที่น่าสงสัย
เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ประเทศชาติกำลังสุ่มเสี่ยงกับภาวะสงคราม
มีประเทศใดบ้าง ที่สงครามเข้าประชิด แต่เอาเวลาไปแก้รัฐธรรมนูญ
 
2. นายกอนุทิน แต่งตั้ง รมต กลาโหมคนเดิม
เคยทำงานกับพรรคเพื่อไทย หากเป็นมวย
นี่คือคู่ชก ที่มีแนวโน้มเพลี่ยงพล้ำ
เพราะกลยุทธ์ลีลาไม่โดดเด่น
ส่งไปต่อกรกับกัมพูชา
หากชกแพ้ ไม่ใช่แพ้แค่นักมวย
แต่คนทั้งประเทศแพ้ไปด้วย
 
ประเทศไทยใหญ่กว่า
และพร้อมกว่ากัมพูชาหลายมิติ
ควรจัดวางบุคลากรที่เหนือกว่า ทุกๆด้าน
ตั้งแต่โฆษก ไปถึง ระดับผู้เจรจา
 
นายกอนุทิน ถอยห่างจากปัญหาชายแดน
แถลงนโยบายให้ไปทำประชามติ
ซึ่งประชาชนกว่าครึ่งประเทศ
ไม่มีเวลาศึกษาทั้ง กม ระหว่างประเทศและประวัติศาสตร์
ประชาชนจึงเลือกตั้งให้ สส ทำหน้าที่แทน
 
ทางอ้อมให้ไปทำประชามติ หมายถึง
ใช้งบประมาณอีกหลายพันล้าน
ที่ควรนำไปทำสิ่งที่ได้ประโยชน์ เช่น
ทำรั้วกั้นชายแดนกัมพูชา ชดเชยให้คนไทยที่ทำมาหากินไม่ได้
เพราะรัฐบาลแก้ปัญหาชายแดนล่าช้า
ไม่ใช่เอางบไปทำประชามติ ซึ่งเป็นงานที่ ครม มีหน้าที่อยู่แล้ว

ประชามติต้องทำเมื่อประเด็นนั้น ประชาชนมีเสียงแตกแยก
ในประเด็นที่ง่ายต่อการตัดสินใจ ไม่ต้องศึกษารายละเอียดซับซ้อน
ในส่วนแก้รัฐธรรมนูญ ไม่มีกระแสจากสังคมที่ต้องการเรื่องนี้
จะเห็นได้ว่าประเด็นนี้ไม่ได้อยู่ในพื้นที่สื่อกระแสหลักเลยในช่วงปีที่ผ่านมา
แต่ผู้แสดงเจตจำนง ที่ไม่ตรงกับเจตจำนงสังคมกระแสหลัก คือ พรรคประชาชน
ส่วนปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่มีความซับซ้อน มีชั้นเชิงการเจรจา
และ กม ผู้ที่ประชาชนยกอำนาจให้ดูแลผลประโยชน์ให้พวกเขา ทำหน้าที่ได้เลย
โดยไม่ต้องมีอะไรต้องทบทวนตัดสินใจ เพราะผลประโยชน์ประเทศกำลังถูกคุกคาม  
และหน้าที่รัฐบาล คือ ดำเนินการให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์สูงสุด ที่ประเทศพึงได้
 
3. ไชยชนก ชิดชอบ เป็นประธานกรรมาธิการ
วิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ (MOU) 2543 และ 2544
ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา
สภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 10 กย 68
 
ตามข้อมูลอาจารย์ปานเทพ ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา
ไชยชนกไม่เข้าประชุม ถึง 2 ครั้ง
ปล่อยให้คนของเพื่อไทย และเป็นผู้ที่มีภูมิหลังสัมพันธ์กับฮุนเซ็น
ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมแทน
นั่นคือ จักรภพ เพ็ญแข ซึ่งเป็น รองประธาน คนที่ 1 เป็นผู้ควบคุมการประชุม
 
ประชาชนไทย สส และข้าราชการ
หากมีส่วนได้ส่วนเสีย มีหุ้นส่วนกับฝั่งกัมพูชา
หรือแม้แต่เคยมีสัมพันธ์แน่นแฟ้น กับ กัมพูชา
ควรถอดตัวเองออกจากกลไกแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ในอดีต จริงอยู่ หลายคนอาจเข้าไปเป็นหุ้นส่วน
แต่ตอนนี้ สถานการณ์มาถึงจุดขัดแย้ง ไม่ควรเอาชีวิตคนไทยไปจ่ายเพื่อค้ำจุนผลประโยชน์

การยุติข้อขัดแย้ง บนความถูกต้องทาง กม และให้อนาคตกับประเทศเพื่อนบ้าน
คือ สิ่งที่ไทยต้องทำให้เห็น เป็นตัวอย่าง ให้ประเทศอื่นทั่วโลก
ซึ่งจะเปลี่ยนไทยให้มีบทบาทนำระดับนานาชาติได้
จากความจัดเจนด้านการต่างประเทศ
 
ยิ่งคลี่คลายปัญหาชายแดนได้เร็ว ยิ่งเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย
โอกาสที่ประชาชนจะลืมตาอ้าปาก ทำมาหากินได้
โอกาสของนักการเมืองในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
จัดลำดับงานที่ต้องทุ่มเทและทำด่วน ทำดีให้เห็นสังคมให้อภัย
ยึดผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก = ยืดอนาคตทางการเมือง