เมื่อฟองสบู่หุ้นยักษ์แตก ตลาดหุ้นคงดูไม่ดีเท่าไร : โลกในมุมมองของ Value Investor โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร








ช่วงเร็ว ๆ  นี้ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นโลกและทรัพย์สิน “โลก” อย่างเช่นทองคำวิ่งขึ้นเป็น  “All Time High” หรือ “สูงสุดตลอดกาล” เกือบทุกวัน  และหุ้นที่วิ่งนำตลาดก็มักจะเป็นหุ้นที่ใหญ่มากขนาดที่เรียกว่า  “หุ้นยักษ์” จำนวนเพียงระดับ 10 ตัวที่ใหญ่ที่สุดในตลาด  ส่วนหุ้นขนาดกลางหรือเล็กนั้น  บางทีก็ไม่ขึ้นเลยเพราะ  “ไม่มีใครเล่น”


การขึ้นของหุ้นยักษ์ประเภทหุ้น “นางฟ้า” หรือ “หุ้นเทพ” นั้น  มาจากความตื่นเต้นต่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI ที่เชื่อกันว่ากำลัง “เปลี่ยนโลก” ไปสู่อีกมิติหนึ่งที่โลกไม่เคยเห็นมาก่อน  นั่นคือ  AI ที่มีความสามารถ “เหนือมนุษย์” และจะสามารถมาทำงานแทนหรือมาแทนมนุษย์ได้ในเวลา  “ไม่นาน”  ตัวอย่างอาจจะรวมถึงรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองโดยมี AI เป็น “คนขับ” ที่ตอนนี้ก็เริ่มทดลองกันแล้วในหลาย ๆ  เมืองใหญ่ทั่วโลก  อีกไม่เกิน 10 ปี มันก็อาจจะทำแทนคนเป็นล้าน ๆ  คนแล้ว


การวิ่งขึ้นของหุ้นไฮเทคยักษ์โดยเฉพาะ AI นั้น  สูงมากจน  “ไม่น่าเชื่อ”  หุ้นตัวเดียวบางตัวมีมูลค่าตลาดถึง 4 ล้านล้านเหรียญ หรือประมาณ 130 ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยถึงกว่า 8 เท่า


นั่นทำให้ตลาดหุ้นของสหรัฐมีมูลค่าสูงถีงประมาณ 61 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ  หรือสูงเป็น ประมาณ 215% ของ GDP  ที่อยู่ที่ประมาณ 29 ล้านล้านดอลลาร์   อย่างที่แทบไม่เคยเป็นมาก่อน  และนี่ก็คือตัวเลขที่แสดงว่าตลาดหุ้นมีมูลค่าสูงเกินไปและสูงเกินพื้นฐานไปมากในความคิดของบัฟเฟตต์  หรือที่เรียกกันว่า  Buffett Indicator ที่บอกว่า Market Cap. ของตลาดหุ้นไม่ควรมีมูลค่าสูงกว่า GDP ของประเทศนั้น


และข้อมูลที่ผ่านมาของประเทศต่าง ๆ  รวมถึงตลาดสหรัฐในอดีตก็แสดงว่า  ส่วนใหญ่แล้ว  Market Cap. จะต่ำกว่า GDP ของประเทศ  และถ้าช่วงไหนสูงกว่า  ตลาดก็จะร้อนแรงเกินไป  ราคาสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานที่ควรเป็น    ซักพักหนึ่งตลาดหุ้นก็จะปรับตัวลงมาจนต่ำกว่า GDP. ว่าที่จริงในช่วงนี้ค่าเฉลี่ยของ Market Cap. ทั่วโลกก็แค่ประมาณ 90%  เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยเองก็มีค่าพอ ๆ  กัน  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นประเทศอื่น ๆ  ตอนนี้ก็มีมูลค่าปกติ
แต่ข้อโต้แย้งของนักลงทุนที่ชอบเล่นหุ้นโตเร็วและเก็งกำไรก็คือ  หุ้นในตลาดสหรัฐนั้นเป็น “ข้อยกเว้น”  เพราะบริษัทใหญ่ ๆ  ของอเมริกานั้น  ที่จริง  เป็น “บริษัทของโลก”  พวกเขาขายสินค้าไปทั่วโลกและรายได้และกำไรส่วนใหญ่ก็มาจากโลกไม่ได้มาจากอเมริกาเพียงประเทศเดียว  ดังนั้น  อัตราส่วนนี้จึงใช้ไม่ได้  Market Cap. ของบริษัทใหญ่ ๆ  เหล่านั้น  ยังเล็กกว่า GDP โลก  และดังนั้น  หุ้นยังไม่แพง


แต่ถ้ามาดูตัวเลขอีกตัวหนึ่ง  ก็ยังอาจจะบอกได้ว่าหุ้นสหรัฐนั้น  “แพงเกินไป” เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก  นั่นก็คือ  ขณะที่ GDP ของสหรัฐนั้นอยู่ที่ประมาณ  26% ของ GDP โลก  แต่มูลค่า Market Cap. ของตลาดหุ้นอเมริกากลับใหญ่มากถึงประมาณ 49% ของตลาดหุ้นโลก


อย่างไรก็ตาม  ข้อโต้แย้งก็ยังคงมีอีกว่า  ก็อเมริกานั้นเป็นผู้นำของโลกทุกด้าน  โดยเฉพาะทางด้านอำนาจทางการรบและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่สะท้อนจากบริษัทจดทะเบียนยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย  ดังนั้น  ตลาดหุ้นมีมูลค่าสูงกว่าสัดส่วนของ GDP มากก็เหมาะสมแล้ว


พูดง่าย ๆ  ถ้าสหรัฐก็เหมือนกับประเทศอื่น ๆ  Market Cap. ของตลาดหุ้นก็ควรจะประมาณ 26% ของ Market Cap. ของโลก  ไม่ใช่ 49% หรือใหญ่เป็นเกือบ 2 เท่าอย่างที่เป็นอยู่  แต่ใครจะบอกได้ว่า Market Cap. ของสหรัฐควรเป็นเท่าไร  นอกจากนักลงทุนทั่วโลกที่เข้ามาไล่ซื้อหุ้นจนมันขึ้นมาสูงขนาดนี้  พูดง่าย ๆ  คนเชื่อมั่นในอเมริกาตามที่ทรัมป์บอกว่ากำลังทำให้  “Make America Great Again” หรือ “ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง”


แต่ทั้งหมดนั้น  จริงหรือ!  คนจำนวนไม่น้อยรวมถึงนักคิดชื่อดังอย่าง เรย์ ดาลิโอ  หรือ  บัฟเฟตต์  กลับคิดว่า  หุ้นอเมริกานั้น  อาจจะแพงเกินไป  แพงเกินพื้นฐานที่แท้จริง  และแม้ว่าส่วนใหญ่ยังไม่คิดว่าอเมริกาจะถึงจุดที่เริ่มตกต่ำลงแล้วอย่างที่เรย์ ดาลิโอบอก  แต่ราคาหุ้นตอนนี้มันสูงเกินไปจนหลายคนคิดว่ามันเป็น  “Bubble” หรือ “ฟองสบู่หุ้น” ที่พร้อมจะ “แตก” และพวกเขาก็เตรียมตัวโดยการทยอยขายหุ้นเพื่อเก็บเป็นเงินสด  และนั่นก็คือเหตุผลที่เบิร์กไชร์ถือเงินสดสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ประมาณเกือบ 4 แสนล้านเหรียญหรือ 12 ล้านล้านบาทไทย


ซึ่งเป็นความคิดที่ตรงกันข้ามกับนักลงทุนส่วนบุคคลรายย่อยของอเมริกาที่ขนเงินเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นสูงที่สุดในประวัติศาสตร์  และยังกู้เงินผ่านบัญชีมาร์จินมาใช้ลงทุนถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐหรือ 32 ล้านล้านบาท  หรือคิดเป็น 2 เท่า ของ GDP ไทย  เข้ามาซื้อหุ้นยักษ์เพียงไม่กี่สิบตัวและเฉพาะอย่างยิ่งหุ้น 7 นางฟ้า  ซึ่งส่งผลให้หุ้นแค่หยิบมือเดียวนี้มีมูลค่าตลาดรวมกันสูงถึงกว่า 1 ใน 3 ของทั้งตลาดหุ้น S&P 500


เราคงต้องมาดูกันต่อไปว่าในที่สุด  ใครจะถูกหรือใครจะผิด  ระหว่างเซียนหุ้นระดับโลก  ที่กำลังจะจากไปในไม่ช้า  กับคนหนุ่มสาวที่หลายคนเพิ่งจะเริ่มลงทุน  และคิดว่า “โลกใหม่” ในอนาคตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  และบริษัทที่จะ “ครองโลก” ทั้งหมดนั้นก็จะมีแค่หยิบมือเดียวที่เห็น  นั่นก็คือ  บริษัทเทคโนโลยีโดยเฉพาะที่กำลังเร่งพัฒนา  AI อย่างบ้าคลั่ง  ที่อาจจะกลืนกินธุรกิจอื่นทั้งหมดในเวลาอีกไม่นาน


ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าอนาคตของตลาดหุ้นอเมริกาและหุ้นยักษ์จะเป็นอย่างไร  และดังนั้นผมก็พยายามมองหาคำตอบจาก  “ประวัติศาสตร์” ที่คล้าย ๆ  กันแม้ว่าหลายคนจะเลิกคิดถึงประวัติศาตรไปแล้วในยามที่โลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเช่นทุกวันนี้  ไม่ต้องพูดถึงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับตลาดหุ้นที่  “ถูกทำลาย”  ไปอย่างไม่มีชิ้นดีแทบทุกวัน


ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ของตลาดหุ้นอเมริกาผมดูว่าจะคล้าย ๆ ตลาดหุ้น—และเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษปี 1980 ถึง 1989 ที่ดัชนีนิกเกอิขึ้นสู่ระดับสูงสุดที่ประมาณ 39,000 จุด จาก 6,500 จุด  หรือเพิ่มขึ้น 500% ในเวลา 10 ปี หรือเฉลี่ยทบต้นปีละเกือบ 20%  ในขณะที่ดัชนี S&P500 ในช่วงเวลา 10 ปีย้อนหลังก็ให้ผลตอบแทนสูงมากที่ประมาณ 13% ต่อปี  แต่ถ้าคิดแค่ 5 ปีย้อนหลังก็ให้ผลตอบแทนแบบทบต้นปีละ 15% ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความร้อนแรงของตลาดหุ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นโตมากแทบจะคับฟ้าอยู่แล้ว


เหตุผลที่ตลาดเติบโตร้อนแรงมากของญี่ปุ่นนั้นเป็นเพราะคนแทบทั้งโลกต่างก็เชื่อว่าญี่ปุ่นกำลังขึ้นแซงหน้าอเมริกาทางด้านเศรษฐกิจหลังจากที่ GDP ของญี่ปุ่นเติบโตขึ้นในระดับตัวเลขสองหลักมานานและคนร่ำรวยมหาศาล  GDP ต่อหัวน่าจะสูงเท่า ๆ  คนอเมริกันหรือสูงกว่าและก็ยังเติบโตในระดับ 4-6% ในช่วงปี 1985-1990 ซึ่งยังเป็น “ปีทอง” ของญี่ปุ่นในทุกด้านแม้ว่าอเมริกาจะบังคับให้ญี่ปุ่นเพิ่มค่าเงินเยนตามข้อตกลงพลาซ่าแอคคอร์ดในปี 1985 เพื่อลดการส่งออกของญี่ปุ่นลง


ในช่วงเวลานั้น  นอกจากการเติบโตของเศรษฐกิจแล้ว  ดูเหมือนว่าอนาคตของประเทศญี่ปุ่นเองก็กำลังสดใสสุดยอด  ญี่ปุ่นกลายเป็น “อัจฉริยะ” ในทุกด้าน  สินค้าญี่ปุ่นเป็นที่ต้องการทั่วโลก  ทั้งในด้านคุณภาพที่ดีสมบูรณ์แบบ  เช่น  พวกรถยนต์และเครื่องจักรกลทั้งหลาย  เครื่องเสียงและเครื่องใช้ไฟฟ้าของญี่ปุ่นเหนือกว่าคู่แข่งและมีราคาถูกสามารถตีตลาดไปทั่วโลก  นอกจากนั้น  ในด้านของความคิดสร้างสรรค์นั้น  ญี่ปุ่นก็มีสินค้าใหม่เช่น  Walkman ที่ใช้ฟังดนตรีขณะเดินได้  เช่นเดียวกับเกมคอมพิวเตอร์เช่น  นินเทนโด ที่คนนิยมกันทั่วโลก


เซมิคอนดักเตอร์ที่จะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาดิจิทัลในเวลานี้ก็เป็นสินค้าที่ญี่ปุ่นเป็นผู้นำในการผลิตในวันนั้น  เช่นเดียวกับแนวคิดในการบริหารงานเช่น  ระบบการผลิตและการจัดการสินค้าคงคลังของโตโยตาก็กลายเป็นมาตรฐานสมัยใหม่ที่ทุกประเทศต่างก็ต้องเลียนแบบ  ญี่ปุ่นกำลังครองโลก!


และก็แน่นอนว่าตลาดหลักทรัพย์และสินทรัพย์ของญี่ปุ่นก็สะท้อนความรุ่งเรืองนั้นอย่างเต็มที่  โดยที่ขณะที่ GDP ของญี่ปุ่นเมื่อเทียบกับโลกในเวลานั้นก็แค่ 15% แต่ Market Cap. ของตลาดหุ้นโตเกียวสูงถึง 45% ของตลาดหุ้นทั้งโลกและใหญ่กว่าตลาดหุ้นของสหรัฐที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า  ค่า PE ของตลาดก็สูงถึงกว่า 60 เท่า โดยที่หุ้นยักษ์ ๆ  สูงยิ่งกว่านั้น


อสังหาริมทรัพย์ของญี่ปุ่นกลับเป็น “ฟองสบู่” มากกว่าหุ้น  ราคาวิ่งขึ้นไปแบบหลุดโลก  เพราะญี่ปุ่นมีพื้นที่น้อย  ว่ากันว่าแค่วังของจักรพรรดิ  ถ้าตีราคาขึ้นมาก็จะมีค่ามากกว่าแคลิฟอร์เนียทั้งรัฐ  นอกเหนือจากนั้นก็คือ  คนญี่ปุ่นคิดว่าที่จะขึ้นไปเรื่อย ๆ  ขายไปแล้วจะอยู่ที่ไหน?


แน่นอนว่าเขาก็มีคำอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมหุ้นจึงมาราคาแพงมาก  เพราะนอกเหนือไปจากการที่บริษัทกำลังบูมสุดยอดด้วยความสามารถและเทคโนโลยีที่เหนือชั้นและทำกำไรได้ดีมากแล้วก็เป็นเพราะว่า  บริษัทจดทะเบียนใหญ่ ๆ  ในตลาดหุ้นต่างก็ถือหุ้นไขว้กันหมดและพวกเขาไม่ขายไม่ว่าราคาจะขึ้นมาแค่ไหน


หลังจากปี 1989 ตลาดหุ้นก็ “ถล่ม” ลงมา  ภายในเวลา 2 ปีครึ่ง  ดัชนีตกจากจุดสูงสุด 39,000 จุด เหลือเพียงประมาณ 15,000 จุด ในช่วงกลางปี 1992 หรือเป็นการลดลงมาถึงกว่า 60%  เมื่อ  “เรื่องจริง” เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นปรากฎขึ้น  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  เศรษฐกิจของญี่ปุ่นตกต่ำลงเหลือโตปีละแค่ 1-2%  คนญี่ปุ่นแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นสังคมคนสูงอายุ  ความคิดสร้างสรรค์หายไป  ญี่ปุ่นแทบจะไม่มี Innovation ใหม่ ๆ  และถูกแซงโดยเกาหลีใต้และต่อมาก็จีน  ไม่ต้องพูดถึงอเมริกาที่พุ่งขึ้นมาอย่างโดดเด่นด้วยพลังของสตาร์ทอัพของคนรุ่นใหม่ที่ญี่ปุ่นแทบจะไม่มี


ที่พูดมาทั้งหมดนั้น  ไม่ได้หมายความว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกัน  แต่ในฐานะของ VI  เราก็ต้องระมัดระวังความเสี่ยงด้านลบที่รุนแรงที่อาจจะทำให้เกิดหายนะได้ถ้าตลาดหุ้นสหรัฐเกิดสถานการณ์แบบเดียวกับญี่ปุ่นเมื่อ 35 ปีมาแล้ว


27 ก.ย 2568

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่