ยามสิ้นสุด .. ราชวงศ์บ้านพลูหลวง เดือนสิบ ๒๓๑๐ ..
.
.
๑๔
0 อาดูระพูนอยุธยา
ระบุภาวะพ่ายพัง
สิ้นสายเพราะหายนะพลัง
ปะทุถั่งก็ยากทาน
๘
0 โอ้ .. เมืองแก้วเมืองฟ้าถึงคราล่ม
บัลลังก์จมมอดไหม้ด้วยไฟผลาญ
ปราสาทยอดใหญ่โตสูงโอฬาร
ถูกพลม่านเหนี่ยวรั้งเผาพังยับ
0 ท่ามกลางคลุ้งคาวเลือดจากเชือดหลั่ง
คือสุดรั้งกายทอดลงมอดดับ
หลังพลุ่งเพลิงโหมซ้ำเกินรำงับ
คือชีพสรรพทอดเถ้า .. สิ้นเงาไท
0 โอ้ .. ว่ารอยโศกเศร้าในเงาเนตร
จากสุดเขตศักดินาเคยอาศัย
กระบวนทัศน์ศรัทธาล้วนปราชัย
เหลืออาลัยเรื่องหลังที่ยังคง
0 ต้องจำพรากจากถิ่นมาสิ้นศักดิ์
ละห้อยหักอาดูรประยูรหงส์
พลัดเวียงวังร้างหมู่มาอยู่ดง
กับอีกผู้ซื่อตรงมั่นคงนั้น
0 คือหนึ่งแกล้วผู้กล้ายังปรากฏ
ข่มกำสรดเพื่อใครสิ้นไหวหวั่น
เป็นปราการผ่อนค่ารอยจาบัลย์
ร่วมปกป้องคุ้มกันตราบบรรลัย
0 พระพายเฉื่อย .. เริ่มโหมเข้าโลมโลก
ดังโบยโบกศรัทธาให้อาศัย
หวังนิทราย้อนย้ำความอำไพ
สัมผัสใจเยียวยาทุกอารมณ์
0 พระเขนยเคยหนุน .. เป็นดุ้นพฤกษ์
แกล้วก็นึกกล้ำกลืนกับขื่นขม
โอ้ .. ดอกฟ้าร่วงผล็อยลิ่วลอยลม
ความขืนข่ม .. ฤๅจะกลบให้ลบเลือน
0 หัวอกเอ๋ย .. เคยหนักด้วยศักดิ์ราช
ต้องบำราศรูปรอยมาคล้อยเคลื่อน
เคยสูงส่งสุกสกาวดุจดาวเดือน
กลับแล่นเลื่อนลอยล่างลงข้างกาย
0 ทูลกระหม่อม .. เคยห่มล้วนรมย์รื่น
แต่เนตรตื่นชื่นฤทัยอยู่ไม่หาย
นางกำนัลหมอบเมียงเฝ้าเรียงราย
บัดนี้ดายเดียวเหงา .. ใต้เงาจันทร์
0 จักเค้นชีพบีบชาติมาลาดรับ
เพื่อสำหรับนอบน้อม .. ใจหม่อมฉัน
จักรองภาษพจนีย์ด้วยชีวัน
ทอนโศกศัลย์ห่างเหพระเทพินทร์
0 กระท่อมทับเปรียบว่าเช่นปราสาท
เรไรดั่งพิณพาทย์ระนาดศิลป์
ครวญขับกล่อมโสตแก้วให้แว่วยิน
ประโลมถิ่นห้วงฤดีดั่งมีมา
0 โกสุมกลีบดอกก้านประสานประดุจ
เช่นมงกุฏแห่งนาฏพิลาสสถา-
นะภาพในศักดิ์สกุลผู้บุญญา
แทนรูปทรงสูงค่ากลางป่าไพร
0 โสมกลางสรวงแทนดวงอัจกลับ
ทอดแสงโลมที่ประทับผู้หลับใหล
แผ่วลมผ่าวผ่านฤดีผู้มีใจ
กระซิบให้สุจริตสัมฤทธิ์รู้
0 บรรจถรณ์หมอนม่านย่อมลาญลับ
เยียรบับแพรผืนยากคืนสู่
อุบะกรองหอมร่ำสิ้นดำรู
ที่ยังอยู่เคียงใจ .. ย่อมใจคน
0 อัสสาสะในครานิทราสนิท
พาดวงจิตเรื่อยเร่กลางเวหน
หมายลับล่วงเรื่องหลังสิ้นกังวล
วางชีพชนม์เคียงแกล้วผู้แววไว
0 สิ้นสุดแล้วไอศูรย์จำรูญรัศมิ์
สิ้นจำรัสบริบทเคยสดใส
สิ้นประยูรวงศ์นาถบำราศไกล
สิ้นจากไร้รอยบุญเคยหนุนนำ
0 อุษาสาง .. พลางถวิลถึงปิ่นเกล้า
เคยแหนเฝ้ากลับผวนเป็นครวญคร่ำ
คง .. อำนาจกฎเกณฑ์ของเวรกรรม
มาช่วยย้ำช่วยยุดจนสุดรอย
0 ปานฉะนี้ปิตุลามาตุเรศ
จะเทวษกำสรดใจถดถอย
จักลำบากสร้อยเศร้ากลางเฝ้าคอย
หรือละห้อยถึงบุตรก็สุดเดา
0 สิ้นแผ่นดินสิ้นบุญสิ้นคุณค่า
แต่นองหน้าหยาดรอยล้วนสร้อยเศร้า
เพียงหนึ่งผู้คู่เข็ญยังเห็นเงา
ช่วยบรรเทาทดท้อให้พอทน
0 แต่เหลือบเหลียวลืมเนตรสบเลศหนึ่ง
แววซาบซึ้งถนอมรับสิ้นสับสน
อุ่นหทัยเคียงข้างใครบางคน
พาอึงอลขวยเขินสะเทิ้นอาย
0 แม้นอยู่สองต่อสองในห้องเก่า
ยังลงเข่ากราบก้มประนมถวาย
คงสำรวมใจอยู่ ..ใจผู้ชาย
ว่าอย่าหมาย .. สูงส่ง .. เกินวงศ์ตน
0 เอื้อมหัตถ์เนียนจับกรที่ซ่อนอยู่
ย้อนนัยสู่รำงับความสับสน
ว่าสิ้นแล้วช่วงต่างระหว่างคน
สร้อยกุณฑลจะพาดสายบนกายนี้
0 แล้วเลื่อนองค์ทรงร่างอยู่กลางอก
แกล้วก็ปกกรป้องตระกองศรี
สะท้านด้วยแววตาและท่าที
อ้อมอารีก็โอบอุ้มเข้าหุ้มเนื้อ
0 วิเวกแว่วลมไหวยอดไม้แกว่ง
แม้นโศกแห่งเบื้องหลังจะยังเหลือ
หากอาวรณ์อบอุ่นได้จุนเจือ
สองใจเอื้อปลิดสร้อยกลบรอยกรรม
0 อธิษฐานผ่านวาสน์ให้พาดช่วง
ทุกภพล่วงพบเจอให้เพ้อพร่ำ
ใจทั้งดวงรอคอยทุกรอยคำ
จนเนื่องนำน้อมสู่เป็นคู่เคียง
0 ใจต่อใจดังว่าร่วมสาธก
ท่ามกลางนกเขาไพรที่ให้เสียง
พระพายเอื่อยคนแนบแก้มแอบเอียง
เสนาะเพียงสองใจเต้นไหวรับ
0 กรุ่นมาลีไหนเห็นจะเช่นหอม
ดั่งใจหลอมลึกล้ำเป็นลำดับ
วงแขนแกร่งโอบย้ำดั่งกำชับ
ว่าแม้นยับชีพวายไม่คลายคลอน
0 แรงสุดถิ่นดินฟ้ามหาสมุทร
ฤๅอาจฉุดจิตชายให้ถ่ายถอน
ลึกล้ำห้วงน้ำสวรรค์สีทันดร
ฤๅเทียบตอนลึกล้ำแห่งจำนง
0 ถ้วนถิ่นแถนแมนสรรพ .. โปรดรับรู้
จักเชิดชูอยู่ข้างด้วยนางหงส์
ตราบสุดช่วงชีวิตถึงปลิดปลง
ขอร่วมวงเวียนวัฏฏ์ .. เป็นสัจจัง
๑๔
0 โอ ! .. ศัพท์สดับนยะวะแว่ว
ปุระแก้วและบัลลังก์
สิ้นแล้วเพราะแผ่วพละพลัง
ฤจะยั้งนะยับเยิน
0 เผาแผดเพราะแพศยะอธรรม
ทุระกรรมะก้ำเกิน
สิ้นชาติและวาสนะเผชิญ
สรเสริญก็สิ้นตาม
.. กรุงศรีอยุธยาจะสูญแล้ว
จะลับรัศมีแก้วเจ้าทั้งสาม
ไปจนคำรบปีเดือนคืนยาม
จะสิ้นนามศักราชห้าพัน
.. กรุงศรีอยุธยาเขษมสุข
แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์
จะเป็นเมืองแพศยาอาธรรม์
นับวันจะเสื่อมสูญ เอยฯ
.
.
.
ขออนุญาตเจ้าของภาพ
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=09-2025&date=27&group=11&gblog=1
O กำสรวลสมัย .. O
ยามสิ้นสุด .. ราชวงศ์บ้านพลูหลวง เดือนสิบ ๒๓๑๐ ..
.
.
๑๔
0 อาดูระพูนอยุธยา
ระบุภาวะพ่ายพัง
สิ้นสายเพราะหายนะพลัง
ปะทุถั่งก็ยากทาน
๘
0 โอ้ .. เมืองแก้วเมืองฟ้าถึงคราล่ม
บัลลังก์จมมอดไหม้ด้วยไฟผลาญ
ปราสาทยอดใหญ่โตสูงโอฬาร
ถูกพลม่านเหนี่ยวรั้งเผาพังยับ
0 ท่ามกลางคลุ้งคาวเลือดจากเชือดหลั่ง
คือสุดรั้งกายทอดลงมอดดับ
หลังพลุ่งเพลิงโหมซ้ำเกินรำงับ
คือชีพสรรพทอดเถ้า .. สิ้นเงาไท
0 โอ้ .. ว่ารอยโศกเศร้าในเงาเนตร
จากสุดเขตศักดินาเคยอาศัย
กระบวนทัศน์ศรัทธาล้วนปราชัย
เหลืออาลัยเรื่องหลังที่ยังคง
0 ต้องจำพรากจากถิ่นมาสิ้นศักดิ์
ละห้อยหักอาดูรประยูรหงส์
พลัดเวียงวังร้างหมู่มาอยู่ดง
กับอีกผู้ซื่อตรงมั่นคงนั้น
0 คือหนึ่งแกล้วผู้กล้ายังปรากฏ
ข่มกำสรดเพื่อใครสิ้นไหวหวั่น
เป็นปราการผ่อนค่ารอยจาบัลย์
ร่วมปกป้องคุ้มกันตราบบรรลัย
0 พระพายเฉื่อย .. เริ่มโหมเข้าโลมโลก
ดังโบยโบกศรัทธาให้อาศัย
หวังนิทราย้อนย้ำความอำไพ
สัมผัสใจเยียวยาทุกอารมณ์
0 พระเขนยเคยหนุน .. เป็นดุ้นพฤกษ์
แกล้วก็นึกกล้ำกลืนกับขื่นขม
โอ้ .. ดอกฟ้าร่วงผล็อยลิ่วลอยลม
ความขืนข่ม .. ฤๅจะกลบให้ลบเลือน
0 หัวอกเอ๋ย .. เคยหนักด้วยศักดิ์ราช
ต้องบำราศรูปรอยมาคล้อยเคลื่อน
เคยสูงส่งสุกสกาวดุจดาวเดือน
กลับแล่นเลื่อนลอยล่างลงข้างกาย
0 ทูลกระหม่อม .. เคยห่มล้วนรมย์รื่น
แต่เนตรตื่นชื่นฤทัยอยู่ไม่หาย
นางกำนัลหมอบเมียงเฝ้าเรียงราย
บัดนี้ดายเดียวเหงา .. ใต้เงาจันทร์
0 จักเค้นชีพบีบชาติมาลาดรับ
เพื่อสำหรับนอบน้อม .. ใจหม่อมฉัน
จักรองภาษพจนีย์ด้วยชีวัน
ทอนโศกศัลย์ห่างเหพระเทพินทร์
0 กระท่อมทับเปรียบว่าเช่นปราสาท
เรไรดั่งพิณพาทย์ระนาดศิลป์
ครวญขับกล่อมโสตแก้วให้แว่วยิน
ประโลมถิ่นห้วงฤดีดั่งมีมา
0 โกสุมกลีบดอกก้านประสานประดุจ
เช่นมงกุฏแห่งนาฏพิลาสสถา-
นะภาพในศักดิ์สกุลผู้บุญญา
แทนรูปทรงสูงค่ากลางป่าไพร
0 โสมกลางสรวงแทนดวงอัจกลับ
ทอดแสงโลมที่ประทับผู้หลับใหล
แผ่วลมผ่าวผ่านฤดีผู้มีใจ
กระซิบให้สุจริตสัมฤทธิ์รู้
0 บรรจถรณ์หมอนม่านย่อมลาญลับ
เยียรบับแพรผืนยากคืนสู่
อุบะกรองหอมร่ำสิ้นดำรู
ที่ยังอยู่เคียงใจ .. ย่อมใจคน
0 อัสสาสะในครานิทราสนิท
พาดวงจิตเรื่อยเร่กลางเวหน
หมายลับล่วงเรื่องหลังสิ้นกังวล
วางชีพชนม์เคียงแกล้วผู้แววไว
0 สิ้นสุดแล้วไอศูรย์จำรูญรัศมิ์
สิ้นจำรัสบริบทเคยสดใส
สิ้นประยูรวงศ์นาถบำราศไกล
สิ้นจากไร้รอยบุญเคยหนุนนำ
0 อุษาสาง .. พลางถวิลถึงปิ่นเกล้า
เคยแหนเฝ้ากลับผวนเป็นครวญคร่ำ
คง .. อำนาจกฎเกณฑ์ของเวรกรรม
มาช่วยย้ำช่วยยุดจนสุดรอย
0 ปานฉะนี้ปิตุลามาตุเรศ
จะเทวษกำสรดใจถดถอย
จักลำบากสร้อยเศร้ากลางเฝ้าคอย
หรือละห้อยถึงบุตรก็สุดเดา
0 สิ้นแผ่นดินสิ้นบุญสิ้นคุณค่า
แต่นองหน้าหยาดรอยล้วนสร้อยเศร้า
เพียงหนึ่งผู้คู่เข็ญยังเห็นเงา
ช่วยบรรเทาทดท้อให้พอทน
0 แต่เหลือบเหลียวลืมเนตรสบเลศหนึ่ง
แววซาบซึ้งถนอมรับสิ้นสับสน
อุ่นหทัยเคียงข้างใครบางคน
พาอึงอลขวยเขินสะเทิ้นอาย
0 แม้นอยู่สองต่อสองในห้องเก่า
ยังลงเข่ากราบก้มประนมถวาย
คงสำรวมใจอยู่ ..ใจผู้ชาย
ว่าอย่าหมาย .. สูงส่ง .. เกินวงศ์ตน
0 เอื้อมหัตถ์เนียนจับกรที่ซ่อนอยู่
ย้อนนัยสู่รำงับความสับสน
ว่าสิ้นแล้วช่วงต่างระหว่างคน
สร้อยกุณฑลจะพาดสายบนกายนี้
0 แล้วเลื่อนองค์ทรงร่างอยู่กลางอก
แกล้วก็ปกกรป้องตระกองศรี
สะท้านด้วยแววตาและท่าที
อ้อมอารีก็โอบอุ้มเข้าหุ้มเนื้อ
0 วิเวกแว่วลมไหวยอดไม้แกว่ง
แม้นโศกแห่งเบื้องหลังจะยังเหลือ
หากอาวรณ์อบอุ่นได้จุนเจือ
สองใจเอื้อปลิดสร้อยกลบรอยกรรม
0 อธิษฐานผ่านวาสน์ให้พาดช่วง
ทุกภพล่วงพบเจอให้เพ้อพร่ำ
ใจทั้งดวงรอคอยทุกรอยคำ
จนเนื่องนำน้อมสู่เป็นคู่เคียง
0 ใจต่อใจดังว่าร่วมสาธก
ท่ามกลางนกเขาไพรที่ให้เสียง
พระพายเอื่อยคนแนบแก้มแอบเอียง
เสนาะเพียงสองใจเต้นไหวรับ
0 กรุ่นมาลีไหนเห็นจะเช่นหอม
ดั่งใจหลอมลึกล้ำเป็นลำดับ
วงแขนแกร่งโอบย้ำดั่งกำชับ
ว่าแม้นยับชีพวายไม่คลายคลอน
0 แรงสุดถิ่นดินฟ้ามหาสมุทร
ฤๅอาจฉุดจิตชายให้ถ่ายถอน
ลึกล้ำห้วงน้ำสวรรค์สีทันดร
ฤๅเทียบตอนลึกล้ำแห่งจำนง
0 ถ้วนถิ่นแถนแมนสรรพ .. โปรดรับรู้
จักเชิดชูอยู่ข้างด้วยนางหงส์
ตราบสุดช่วงชีวิตถึงปลิดปลง
ขอร่วมวงเวียนวัฏฏ์ .. เป็นสัจจัง
๑๔
0 โอ ! .. ศัพท์สดับนยะวะแว่ว
ปุระแก้วและบัลลังก์
สิ้นแล้วเพราะแผ่วพละพลัง
ฤจะยั้งนะยับเยิน
0 เผาแผดเพราะแพศยะอธรรม
ทุระกรรมะก้ำเกิน
สิ้นชาติและวาสนะเผชิญ
สรเสริญก็สิ้นตาม
.. กรุงศรีอยุธยาจะสูญแล้ว
จะลับรัศมีแก้วเจ้าทั้งสาม
ไปจนคำรบปีเดือนคืนยาม
จะสิ้นนามศักราชห้าพัน
.. กรุงศรีอยุธยาเขษมสุข
แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์
จะเป็นเมืองแพศยาอาธรรม์
นับวันจะเสื่อมสูญ เอยฯ
.
.
.
ขออนุญาตเจ้าของภาพ
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=09-2025&date=27&group=11&gblog=1