วันนี้มาแนะนำให้รู้จักกับออเดรย์ เฮปเบิร์น (Audrey Hepburn) by ช่องยูทูบ @letsgettoknowher (ep 41)

สวัสดีค่ะทุกคน... วันนี้ช่อง letsgettoknowher จะพาทุกคนเดินทางย้อนเวลากลับไปสู่ยุคทองของฮอลลีวู้ด เพื่อทำความรู้จักกับนักแสดงหญิงผู้เป็นดั่งภาพจำแห่งความสง่างามเหนือกาลเวลา เธอเป็นทั้งไอคอนด้านแฟชั่นและมีสไตล์ที่ยังคงอยู่ในใจใครหลายคน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า เบื้องหลังรอยยิ้มอันเจิดจรัสและดวงตาที่เปล่งประกายนั้น เธอต้องแบกรับเรื่องราวอันแสนโหดร้ายและเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในชีวิตแค่ไหน และอะไรหล่อหลอมให้เธอเป็นมนุษย์ที่งดงามที่สุดคนหนึ่งของโลก มาทำความรู้จักกับเธอคนนี้กัน กับ ออเดรย์ เฮปเบิร์น
   หลายคนอาจคุ้นเคยกับภาพของเธอในบทบาทเจ้าหญิงแอนน์ผู้หนีจากวังหลวงในภาพยนตร์เรื่อง Roman Holiday หรือสาวสังคมสุดชิคอย่าง Holly Golightly ในภาพยนตร์ Breakfast at Tiffany’s ในชุดราตรีสีดำกับฉากเปิดเรื่องที่กลายเป็นแฟชั่นสุดคลาสสิก ชุดกระโปรงสีดำทั้งสั้นยาวได้กลายเป็นเทรนด์แฟชั่นสุดไอคอนิกที่สุภาพสตรีทั่วโลกต้องมีเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าของพวกเธอจนถึงทุกวันนี้ นั่นเองคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้แวดวงแฟชั่นและสไตล์ตกหลุมรักผู้หญิงคนนี้แบบโงหัวไม่ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นรู้หรือไม่ว่า...ความผอมบางที่กลายเป็นรูปลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์ของเธอ แท้จริงแล้วคือร่องรอยแห่งสงครามที่เกือบจะพรากชีวิตเธอไปตลอดกาล
   จากจุดเริ่มต้น สู่ดวงดาว ออเดรย์ เฮปเบิร์น มีชื่อจริงว่า ออเดรย์ คาธลีน รัสตัน เป็นชาวอังกฤษเชื้อสายดัตช์  เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 1929 ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ชีวิตในวัยเด็กของเธอไม่ได้ราบรื่นนัก พ่อของเธอทอดทิ้งครอบครัวไปตั้งแต่เธออายุได้เพียง 6 ขวบ และเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น ออเดรย์ในวัย 10 ปี ต้องเผชิญกับความโหดร้ายของสงครามอย่างจัง เธอต้องย้ายถิ่นฐานและเปลี่ยนชื่อเป็น เอ็ดดา ฟาน ฮีมสตรา เพื่อปกปิดเชื้อชาติอังกฤษ และเข้าร่วมกับกลุ่มต่อต้านชาวดัตช์ เธอทำหน้าที่เป็นนักเต้นบัลเลต์เพื่อหาเงินทุนสนับสนุนขบวนการต่อต้านเยอรมัน และยังเสี่ยงชีวิตช่วยแจกจ่ายหนังสือพิมพ์ที่ซ่อนไว้ในถุงเท้า ขี่จักรยานไปแจกจ่ายตามบ้านเรือน การกระทำของเธอนับว่าอันตรายอย่างยิ่ง เพราะหากถูกจับได้ ชะตากรรมของเธอและครอบครัวก็คงไม่พ้นต้องถูกส่งเข้าค่ายกักกันและจบชีวิตลงที่นั่น
ในช่วงสงคราม ออเดรย์ต้องเห็นภาพลุงของตนเองถูกฆ่า ต้องทนทุกข์กับความอดอยากอย่างแสนสาหัสจนเกือบเสียชีวิต เธอต้องใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยการกินหัวทิวลิปเป็นอาหารหลัก ซึ่งความอดอยากนี้เองที่ทำให้เธอมีร่างกายที่พัฒนาไม่เต็มที่มากพอ เธอจึงผอมบาง และส่งผลกระทบต่อสุขภาพกล้ามเนื้ออย่างถาวร เธอเองเคยยอมรับว่าไม่เคยพอใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง และมองว่าความผอมนั้นคือรอยแผลเป็นจากสงครามที่เธอนึกภูมิใจไม่ลง

   เมื่อสงครามจบลงในปี 1945 ออเดรย์กลับไปใช้ชีวิตในอังกฤษและเริ่มต้นสานฝันในการเป็นนักบัลเลต์มืออาชีพ เธอได้เซ็นสัญญากับคณะบัลเลต์แห่งหนึ่ง แต่ความฝันนั้นก็ต้องพังทลายลงในเวลาต่อมา เนื่องจากร่างกายที่ขาดสารอาหารในช่วงสงครามทำให้เธอมีพละกำลังไม่เพียงพอ เมื่อความฝันแรกจบลง ในปี 1951 ออเดรย์จึงหันเหมาสู่เส้นทางสายการแสดง และช่วงเวลานี้เองต้องเรียกว่า เธอก้าวขาเข้ามาในโลกฮอลลีวู้ดได้อย่างถูกที่ถูกเวลา เพราะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากนิยามความงามแบบเก่าซึ่งละลานตาไปด้วยเหล่าผู้หญิงสไตล์สาวยั่วสวาท (Sex Symbol) และผู้หญิงสไตล์ Girl Next Door สำหรับออเดรย์ เฮปเบิร์น เธอเป็นผู้หญิงที่มีความงามหวานหยดย้อย น่าทะนุถนอมที่เป็นจุดเด่นมากพอที่สปอตไลต์ทุกตัวที่หันหาผู้หญิงจำพวกนั้นมาเป็นเวลานาน จะหันกลับมาส่องสว่างให้เธอกลายเป็นดวงดาวแห่งฮอลลีวู้ดอย่างง่ายดาย ประกอบกับทักษะด้านบัลเลต์ที่เธอเคยศึกษาในช่วงวัยเยาว์ ก็ยิ่งทำให้การแสดงของเธอนั้นไหลลื่นและเป็นที่ชื่นชอบของคนอเมริกันได้ไม่ยาก

   ก่อนจะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ในปี 1953 เธอในวัยเพียง 25 ปี เป็นนักแสดงหญิงคนแรกที่สามารถคว้ารางวัลใหญ่ของวงการถึง 3 รางวัล ทั้งรางวัลออสการ์, ลูกโลกทองคำ และ BAFTA จากภาพยนตร์เรื่อง Roman Holiday ได้สำเร็จ ตามมาด้วยผลงานสร้างชื่ออีกมากมาย เช่น Sabrina, Charade, My Fair Lady และ Breakfast at Tiffany’s ที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกและกลายเป็นดวงดาวอันเฉิดฉายแห่งฮอลลีวู้ดและผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ เธอถูกจัดอันดับว่าเป็น 1 ใน 10 นักแสดงที่ดีที่สุดตลอดกาลของโลกใบนี้ อีกทั้งยังได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เจ้าหญิงแห่งวงการฮอลลีวู้ดยุคทอง’

   แม้ว่าความงามของออเดรย์จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางก็ตาม ทว่าในบทสัมภาษณ์กับสื่อ Vanity Fair เธอกลับเคยยอมรับว่าเธอไม่ได้พอใจในรูปลักษณ์ของเธอขนาดนั้น เธอบอกว่า ความงามของเธอคือส่วนผสมอันลงตัวของความบกพร่อง ทั้งจมูกที่ดูโตเกินไป เท้าของเธอที่ใหญ่เกินไป กระทั่งหน้าอกที่แบน และความผอมที่เป็นร่องรอยจากสงคราม ไม่ได้ทำให้เธอภูมิใจสักเท่าไหร่นัก กระนั้น ‘ความงามที่ไม่งาม’ ในแบบฉบับของออเดรย์ก็ยังคงเป็นอมตะมาจนถึงทุกวันนี้

   เธอโลดแล่นในวงการบันเทิงยาวนานกว่า 19 ปี ก่อนที่ในปี 1969 เธอในวัย 40 ปี จะประกาศอำลาวงการฮอลลีวู้ดอย่างเป็นทางการ ทว่ายังคงปรากฏตัวตามงานต่างๆ ให้สาวกแฟนคลับของเธอหลายคนได้หายคิดถึงอยู่เรื่อยๆ ประสบการณ์ชีวิตในวัยเด็กได้หล่อหลอมให้เธอเป็นคนที่มีความเมตตาและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นอย่างลึกซึ้ง และเรื่องราวในสงครามนี้เองที่ทำให้เธอตัดสินใจถอนตัวจากวงการแสดง เพื่ออุทิศชีวิตที่เหลืออยู่ให้กับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าหลังจากเกษียณจากงานแสดง ออเดรย์ เฮปเบิร์น ได้เดินทางบนเส้นทางใหม่ที่ยิ่งใหญ่และงดงามกว่า นั่นคือการเป็นทูตด้านมนุษยธรรมให้กับองค์กร UNICEF เธอเดินทางไปยังประเทศที่ขาดแคลนและด้อยโอกาสกว่า 120 ประเทศทั่วโลก เพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ เธอลงพื้นที่จริงในหลายประเทศที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ตั้งแต่ในทวีปแอฟริกา, เอเชีย และอเมริกาใต้ เธอไม่เคยบ่นถึงความเหน็ดเหนื่อยหรือหวาดกลัวต่อความเสี่ยงภัยในการทำงาน และพูดอยู่เสมอว่า “เราไม่สามารถช่วยทุกคนได้ แต่เราสามารถช่วยเด็กที่อยู่ตรงหน้าเราได้”
ในเรื่องชีวิตส่วนตัว เธอสามารถพูดภาษามากถึง 6 ภาษา และแต่งงานสองครั้งรักแรกของออเดรย์คือ เมล เฟอร์เรอร์ (Mel Ferrer) ทั้งสองมีลูกชายคนแรกชื่อ ฌอน เฮปเบิร์น เฟอร์เรอร์ (Sean Hepburn-Ferrer) หลังจากแท้งมาสามครั้ง และครองชีวิตคู่กับเฟอร์เรอร์นาน 14 ปี และหย่าร้างกัน ต่อมาเธอแต่งงานกับ อันเดรีย ดอตติ (Andrea Dotti) จิตแพทย์ชาวอิตาเลียน มีลูกคนที่สองชื่อ    ลูคา ดอตติ ซึ่งลูคาได้เขียนไว้ในหนังสือชีวประวัติว่า “ช่วงเวลาในสงครามทำให้แม่เป็นอย่างที่แม่เป็น” และเชื่อว่าความทรงจำที่เจ็บปวดจากวัยเด็กนี้เองที่ทำให้แม่ลุกขึ้นมาต่อสู้และอุทิศตนเพื่อเด็กที่ต้องเผชิญกับความโหดร้ายเฉกเช่นเดียวกับที่แม่เคยเจอ
   แม้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตที่ต้องต่อสู้กับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เธอก็ยังคงทำงานเพื่อการกุศลจนถึงลมหายใจสุดท้าย ออเดรย์ เฮปเบิร์นเสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านพักในสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 1993 ด้วยวัย 63 ปี และหลังจากการจากไปของเธอ เธอได้รับรางวัลเกียรติยศด้านมนุษยธรรม Jean Hersholt Humanitarian Award ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ปี 1993 เพื่อเป็นการยกย่องการทำความดีของเธอ
   เป็นอย่างไรบ้างกับเรื่องราวชีวิตของเธอคนนี้ ออเดรย์ เฮปเบิร์น เธอสอนให้เราได้เห็นว่า ความงดงามที่แท้จริงของเธอไม่ใช่ความผอมบางหรือใบหน้าอันงดงามที่โลกตะลึง แต่เป็นหัวใจอันยิ่งใหญ่ที่พร้อมจะส่งต่อความสุขและมอบความหวังให้กับเด็กๆ ทุกคน เธอคือข้อพิสูจน์ที่บอกเราว่า... คนเราสามารถเลือกที่จะเปล่งประกายในด้านที่สว่างที่สุดได้เสมอ แม้ในอดีตจะเคยผ่านเรื่องราวที่เลวร้ายมามากแค่ไหนก็ตาม และแสงสว่างนั้นเองที่จะทำให้เราเป็นที่จดจำในฐานะมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุดอย่างแท้จริงค่ะ สุดท้ายนี้บอกช่องของเราหน่อยว่าชอบคอนเท้นท์แบบนี้ไหม และอยากให้เรานำเรื่องราวของสาวคนในมานำเสนอบ้างพิมพ์ชื่อทิ้งไว้ได้เลยนะ สำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อนแล้วพบกันใหม่... บ้ายบาย
 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่